สำหรับวันนี้ผมจะเริ่มออกเดินทางเที่ยวอยางจริงจังแล้วครับ เพราะว่าเป็นสถานที่ในลิสต์ที่เรากำลังจะไปกันเลย ผมเลือกซื้อการเดินทางแบบ One Day Trip จากโรงแรมครับ ด้วยราคาคนละ 260 หยวน ซึ่งถูกกวาตอนแจ้งพวกผมในอีเมลอีก เหตุผลที่ผมเลือกเดินทางแบบ One Day Trip เพราะว่าคำนวณดูแล้ว ไปเองขี้เกียจต่อรถครับ ฮ่าๆ แบบนี้เค้ามีรถมารับถึงโรงแรมด้วย สะดวกดี เดี๋ยวลองไปดูกัน
สตาฟที่โรงแรมพาพวกผมมาส่งที่ป้ายรถบัสครับ แล้วก็นั่งรถบัสไปเปลี่ยนคันที่สถานีอีกที่หนึ่ง (จริงๆก็ไมไกลจากโรงแรมมากนัก)
การเดินทางไปยัง Dazu เดินทางนานได้เรื่องเลย กว่าผมจะไปถึงก็คือบ่ายโมงแล้ว ออกจากโรงแรมตั้งแต่ 8:00 AM ฮ่าๆ แถมทริปนี้ต้องผ่านร้านขายของ แบบไปนั่งดูเขาขายมีดครับ คนขายก็บรรยายซะเวอร์วัง เรียกลูกค้าได้เยอะมาก คนในทริปก็ซื้อกันหลายคน ส่วนผมไม่ได้ซื้อหรอกครับ เพราะไม่รู้จะซื้อไปทำไม ทำกับข้าวก็ไม่เป็น ฮ่าๆ
หลังจากดูเขาขายมีดเสร็จแล้ว ก็ไปทานข้าวเที่ยงที่อาคารนั่นแหละครับ เป็นแบบนั่งล้อมวงเป็นโต๊ะๆ มีอาหารมาเสิร์ฟ อาหารเมืองนี้อร่อยทุกจาน ผมชอบมาก กินอย่างมีความสุข หลังจากกินอิ่ม ก็ยิ้มได้ เตรียมตัวเข้าไปยังอุทยานกันนะ
ก่อนจะถึงอุทยาน เราแวะที่เมืองกู้เฉิงอะไรสักอยาง อ่านไม่ออกครับ
เนื่องจากทริปนี้มีเราสองคนที่เป็นต่างด้าว แถมคนบริการก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ด้วย มีนักท่องเที่ยวสองสามีภรรยาวัยสามสิบกลางๆ เลยมาอาสาคุยกับพวกผมครับ นิสัยดีมากๆๆๆ ชื่อว่าพี่หวังเล่ย ส่วนพี่ผู้หญิงชื่อพี่หยู อะไรสักอย่าง เป็นอีกหนึ่งมิตรภาพที่ตราตรึงจริงๆ
งั้นเราเริ่มต้นทริปวันนี้ด้วยหมู่บ้านเล็กๆนี้ก่อนละกัน จริงๆผมก็งงกับเสกลเล็กใหญ่ของคนจีนนะครับ เล็กของเขานี่คือมหีมาสำหรับเรา แต่เอาหนะ เขาบอกว่าเล็กก็เล็ก
ผมชอบสถาปัตยกรรมจีนจริงๆครับ ดูมีเสน่ห์ แถมวันนี้ต้นไม้ข้างหน้ามีประดับโคมด้วย ยิ่งชอบ เพราะดูจี๊นจีน เห็นพี่หวังเล่ยบอกว่าน่าจะมาจากเดือนที่แล้วมีเทศกาลเฉลิมฉลอง Spring Festival ครับ
เดินเล่นในหมู่บ้านสักหน่อย
เงียบสงบจริงจังมาก ดูเหมือนเป็นทริปที่โชคดีเสียเหลือเกินครับ อากาศเย็นสบายๆ แต่เมืองนี้ท้องฟ้าจะไม่ฟ้าเหมือนบ้านเราครับ ดูขาวโพลน แวะมาหมู่บ้านเค้าแล้วก็เข้าห้องน้ำครับ สะอาดสะอ้านที่สุด ออกแบบสวยด้วย จีนเริ่มปรับปรุงห้องน้ำแล้วสินะ
ผมชอบหมู่บ้านนี้นะครับ สะอาดดี คนไม่พลุกพล่านด้วย จริงๆถ้าหากว่าเราจะมาชมผาหินแกะสลักต้าจู๋ ก็แวะมาเมืองนี้ได้ครับ มันห่างกันนิดเดียวเอง แนะนำอีกเช่นเคย
หลังจากเดินกันได้สักครึ่งชั่วโมง พวกเราก็เตรียมไปดูไฮไลท์จริงๆของกิจกรรมวันนี้แล้ว นั่นก็คือการไปชมผาหินแกะสลัก หน้าตามันจะเป็นอย่างไรนะ แม้ผมจะเคยเห็นผ่านรีวิวต่างๆมาบ้าง แต่ผมก็อดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้เห็นของจริงกับตาตัวเอง
ถึงทางเข้าแล้วครับ ใครไม่อยากเดินก็นั่งรถกอล์ฟไปได้นะครับ แต่เสียเงิน ส่วนผมนะเหรอ เลือกเดิน เพราะมันไม่ได้ไกลอะไรนัก เดินชิลๆ สิบนาทีก็ถึงแล้วครับ จะได้ชมวิวไปด้วย
อย่างที่บอกตอนต้นครับว่า ตอนเข้าไปยังอุทยาน Dazu ระหว่างจุดที่จอดรถ กับทางเข้า พวกเราสามารถเดินไปได้นะครับ แต่ถ้าไม่อยากเดินก็นั่งรถบัสเล็กๆได้ ผมไม่แน่ใจว่าราคาเท่าไหร่ น่าจะไม่เกิน 5 หยวนต่อคน แต่สำหรับผมเนี่ย เดินดีกว่าครับ เพราะว่าจะได้ถ่ายรูปได้ด้วย โชคดีจริงๆที่วันนี้คนไม่พลุกพล่านเลยยยยย ถ่ายรูปกันสนุกสนาน และนี่คือทางเข้าครับ เป็นจุดไว้เช็คตั๋ว Let’s Go!!
เราทั้งสี่คน เดินไปชมอุทยานต้าจู๋ด้วยกัน ข้างในมันอลังการมากครับ สมกับฐานะแหล่งท่องเที่ยวระดับ 5A ของจีน เห็นแล้วได้แต่ทึ่งว่าคนสมัยก่อนเขาว่างกันเนาะ และมีความศรัทธาแรงกล้าจริงๆ การแกะสลักหินก็ว่ายากแล้ว นี่แกะเป็นเลเยอร์ซ้อนกันได้ขนาดนี้ ฝีมือไม่ธรรมดาแน่ๆ มันใหญ่โต มันเยอะ และมีความสวยงามอยู่ในตัว ยิ่งพอไปเจอที่แกะสลักเจ้าแม่กวนอิมพันกร อารมณ์แบบว่า เอาโล่ไปเหอะ ทำได้ขนาดนี้ กราบ
มีเหตุผลอะไรถึงได้มาฉงชิ่ง?
นี่คือคำถามที่หลายคนถามผม ผมตอบไปว่าเหตุผลที่ผมเลือกมาฉงชิ่งก็เพราะว่าผมต้องการที่จะเห็นผาหินแกะสลักและอุทยาน Wulong ครับ ผมเห็นในหนังสือนำเที่ยวของประเทศจีน ได้ทำการคัดเลือก 100 สถานที่ทั่วเมืองจีนมาแนะนำ และในฉงชิ่งมีสองเมืองนี้ด้วย ผมเองก็ต้องการจะไปเก็บให้ครบ ก็เลยมา (จริงๆก็คงไม่ไปทั้ง 100 ที่ เพราะบางที่ก็ไม่ได้สนใจมากครับ เช่น ฮ่องกง แต่โดยรวมแล้วก็มีจุดอยากไปเกิน 90 แห่ง)
และที่สำคัญครับ อุทยานผาหินแกะสลักและอุทยาน Wulong คือแหล่งท่องเที่ยวระดับมรดกโลก 5A ของจีนด้วย มันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
เป็นไปตามคาดพอเดินไปถึงตรงแกะสลักหินเท่านั้นแหละครับ โอ้วววว ยิ่งใหญ่ แกะได้ไง ความยาวประมาณ 500 เมตร ฟังดูเหมือนไม่ได้ยาวมาก แต่มันเยอะมากครับ ยิ่งสไตล์การเที่ยวแบบผมที่เดินไป ค่อยๆลัดเลาะไป ใช้เวลามากเอาเรื่องเลย พี่หวังเล่ยบอกว่า คนจีนสมัยก่อนนี่เก่งกันมากจริงๆ ผมถามไปว่าแล้วคนจีนสมัยนี้ พี่หวังส่ายหัว พวกเราหัวเราะ ฮ่าๆๆๆ
ผาแกะสลักแห่งนี้มีการแกะสลักศิลปะสามศาสนา ได้แก่ พุทธมหายาน เต๋า และขงจื้อ ใช้เวลาในการแกะสลักเป็นร้อยๆปี ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ถึงศตวรรษที่ 13 การแกะสลักที่นี่เรียกว่าใช้ความสามารถระดับเทพมากจริงๆ ผาแกะสลักนี้มีทั้งหมดสี่ขุนเขาครับ แต่เขาที่มีภาพแกะสลักอลังมากสุดที่เขา Beishan คนชอบศิลปะจีนอย่างผม เห็นแล้วใจละลาย ทั้งทึ้งทั้งอึ้งทั้งภูมิใจแทนคนจีน
ภาพแกะสลักมีเป็นหมื่นๆชิ้นๆ เชิญดูกันให้ตาแฉะไปเลยครับท่านผู้ชม!! ผมหยิบยาดมมาแป็บ อลัง อลัง อลังเหลือเกิน
ผมได้ศึกษาข้อมูลมาบ้าง และได้อ่านเจอว่า ผาหินแกะสลักที่ต้าจู๋ ถือว่าเป็นผาหินแกะสลักที่ยังสมบูรณ์ และงดงามที่สุดของเมืองจีนด้วยนะครับ เนื่องมาจากการเข้าถึงที่ยาก ทำให้รอดพ้นการทำลายล้างในยุคการปฏิวัติวัฒนธรรมสมัยท่านประธานเหมา
ภาพแกะสลักแต่ละอันก็ยิ่งใหญ่เสียเหลือเกินครับ ผมเกิดคำถามขึ้นมาว่า เขาทำกันได้อย่างไร การแกะสลักพวกนี้ไม่ใช่ใช้เวลาปีสองปีนะครับ แต่ใช้เวลาร่วมสี่ร้อยปีเลยทีเดียว ดูว่างกันมากเนาะ และที่สำคัญไม่เพียงแค่ภาพแกะสลักจะยิ่งใหญ่เท่านั้น สัดส่วน ความงดงามยังเป๊ะสุดๆ มันคือยอดฝีมือชัดๆ
ห้องนี่เป็นการเจาะเป็นโพรงเข้าไปยังหน้าผาอีกครับ ข้างในมืดมาก!! ผมเลยยิง ISO เต็มที่ เพื่อเก็บภาพมาฝาก เพราะมันสวยงามเหลือเกิน เป็นภาพแกะสลักพระไวโรจนะพุทธะ ครับ (นี่อ่านภาษาอังกฤษเอา เข้าใจยากมากกับคำศัพท์ศาสนา แถมนิกายมหายานอีก)
พระไวโรจนพุทธะ เป็นประธานของพระพุทธทั้งห้าครับ หมายถึงปัญญาอันสูงสุด มีตราประจำตัว คือธรรมจักร ที่หมายถึงความเป็นหนึ่งเดียว ร่างกายของพระองค์จะเป็นสีขาว มีรัศมีธรรมเป็นสีน้ำเงินอ่อน โดยในทางวัชรยานมองว่าสีน้ำเงินคือสีแห่งความจริงอันสูงสุด
ท่าทางเป็นท่าที่กำลังแสดงธรรมครับ เรียกว่าท่าธรรมจักรมุทรา คือสัญลักษณ์ที่สื่อถึงการหมุนกงล้อแห่งธรรมครั้งแรกต่อหน้าปัญจวัคีย์ทั้งห้านั่นเอง
ภาพแกะสลักทีอยู่ในโพรงครับ ซึ่งก็มีเยอะอีกเช่นเดียวกัน จะหันซ้ายก็เจอ หันขวาก็เจอ มองบนก็เจอ มองล่างก็เจอ มีแต่สวยๆทั้งนั้นเลย
แกะสลักได้ขนาดนี้ แค่ว่าปั้นธรรมดาผมก็ว่ายากแล้ว นี่อาศัยการค่อยๆกะเทาะหินไปทีละนิดทีละนิด ทำไมคนโบราณถึงเก่งกันขนาดนี้นะ ผมขอกราบอาเศียรวาทให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น
น้ำตาจะไหลกับความยิ่งใหญ่อลังการ
ต้องขอบคุณที่มันอยู่ไกล ทำให้รอดพ้นเงื้อมมือการทำลายวัฒนธรรมของท่านเหมา โพรงนี้สูง 690 เซนติเมตรครับ กว้าง 800 เมตร ลึก 500 เมตร ด้วยพื้นที่นี้ มีภาพแกะสลักถึง 287 ชิ้น!! เยอะมากๆๆๆ
นี่ขนาดเป็นเพียงแค่ผาแกะสลักที่เขาเดียวเท่านั้น ถ้าไปเห็นหมดทั้งสี่ห้าขุนเขา คงเป็นลมไปเพราะความตื้นตันใจ ภาพนี้น่าจะเป็นภาพเจ้าแม่กวนอิมครับ
พี่หวังเล่ย กับภรรยาก็ดีมากครับ พยายามอธิบายจุดต่างๆเป็นภาษาอังกฤษให้พวกเรารู้ แม้จะไม่สามารถเล่าได้ทั้งหมด แต่พวกเราก็ขอบคุณ เพราะอย่างน้อยเราก็ได้รู้อะไรมากขึ้นนอกเหนือแค่จากที่ได้อ่านผ่านหูผ่านตาในรีวิวต่างๆ
ถัดไปอีกหน่อย ก็เจองานแกะสลักขนาดมหึมา พระพุทธรูปปางไสยยาสน์ครับ วันนี้โชคดีจริงๆที่คนไม่พลุกพล่านเลย อย่างกะปิดอุทยานเที่ยว ฮ่าๆ
เกร็ดความรู้เล็กน้อย เผื่อจะทำให้เที่ยวได้สนุกขึ้น… เคยสงสัยกันไหมครับว่าทำไมปางไสยยาสน์ พระถึงได้องค์ใหญ่จริงๆ? ตามตำนานเล่าว่า มียักษ์องค์หนึ่งนามว่า อสุรินทราหู หรือพระราหูที่เราๆรู้จักนั่นแหล่ะครับ ก็ได้ยินสรรพคุณของพระพุทธเจ้าของเรา ก็เลื่อมใส่อยากจะไปเข้าเฝ้า แต่ก็คิดได้ว่า เอ้อ พระพุทธเจ้าเป็นเพียงมนุษย์นี่นา ตัวก็เล็กนิดเดียว ครั้นจะไปเข้าเฝ้า เขาก็ต้องก้มลงมองลำบากแน่ๆ อีกอย่างตัวเขาเองก็ไม่เคยก้มหัวให้ใครด้วย คิดได้แบบนี้ก็เลยไม่ไปเข้าเฝ้าซะงั้น แต่ยิ่งนานวันก็ยิ่งได้ยินบรรดาเทวดาพากันสรรเสริญพระองค์ ก็เลยเอาวะ งั้นก็ไปเข้าเฝ้าก็ได้ พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงทราบก็เลยแสดงปาฏิหารย์ให้พระวรกายของพระองค์ใหญ่มากๆ ใหญ่กว่าพระราหูหลายเท่า ทั้งๆที่อยู่ในท่านอน พระราหูเลยต้องแหงนหน้ามองดูพระองค์ และก็เกิดความเลื่อมใสครับ
อีกมุมครับ ยิ่งใหญ่ดีเนาะ ทริปนี้ใช้คำว่ายิ่งใหญ่ ฟุ่มเฟือยมาก อย่าว่ากันนะครับ เพราะไม่รู้จะบรรยายอย่างไร เพราะมันก็มีแต่อะไรที่ใหญ่โตจริงๆ
ยังครับยัง ความฟินยังไม่จบลงง่ายๆ เพราะบอกแล้วว่ายิ่งเดินยิ่งฟิน
ห้องถัดไปเค้าทำเป็นอาคารครอบเลยครับ ผมเดินไปดู
โอ้โห พระแม่เจ้า กวนอิมพันกร!!!!
เอาพระหัตถ์มาฝากก่อนครับ ใหญ่โตมากกกกกกกก
จีนนี่สร้างอะไรมีแต่เสกลบิ๊กๆจริงๆ
นี่ดูเหมือนภาพหล่อ จริงๆไม่ใช่นะครับ มันคือภาพแกะสลักหินหน้าผานี่แหละครับ!!! โอ้วพระเจ้าาาาา ขนลุกขนชัน เพราะมันอลังสุดๆ
แต่จีนเค้าทาสีทองครับ ก่อนหน้านี้ก็จะเป็นสีหินหน้าผาเลย
เห็นแล้ว ทึ่ง กราบบบบ อีกครั้ง
การแกะสลักว่ายากแล้ว แต่การแกะได้ขนาดนี้ยากยิ่งกว่า นี่แหละครับ ใช้เวลาเป็นร้อยๆปีกว่าจะเสร็จ ค่อยๆกระเทาะ ค่อยๆแกะ แกะได้อ่อนช้อยงดงามเหลือเกินครับ เป็นบุญชีวิตจริงๆที่ได้มาเห็น ทริปนี้แค่นี้ก็คุ้มสุดๆแล้ว
และนี่คือองค์เต็มครับ
ใหญ่สุดๆ ผมต้องเดินออกมาจนถึงประตูทางเข้า
เพื่อที่จะได้เก็บภาพได้หมด
ผมกราบขอพรให้ทุกท่านมีแต่ความสุขกายสบายใจมาฝากด้วยนะครับ
หวังว่าพรนี้จะสัมฤทธิ์ผล
หลังจากชมผาหินแกะสลักต้าจู๋แล้ว เราจะผ่านวัดหนึ่งที่อยู่ใกล้กัน ชื่อว่าวัด Shengshou Temple ครับ ในข้อมุลบอกว่าเป็นวัดเล็กๆ แต่ผมไปเห็นแล้ว เอิ่ม ผมงงกับสเกลเล็กใหญ่ของคนจีน เพราะพื้นที่ที่ไปเดินเนี่ย มันไม่น่าจะเรียกว่าเล็กแล้วนะครับ วัดนี้เสียค่าเข้าชม 20 หยวน แต่ผมซ้อแบบ One Day Trip ราคารวมไปแล้ว เลยไม่ต้องจ่าย เดินเที่ยวได้สบายครับ
ข้างในมีอะไรบ้าง? ก็มีรูปปั้นพระพุทธรูปครับ แล้วก็ห้องหับต่างๆเยอะไปหมด จะแบ่งออกเป็นห้าห้องหลักๆ ได้แก่
- ห้องพระอินทร์
- ห้องพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ห้องพระพุทธแห่งตรีกาล (Buddhas of Three Times… ผมแปลศัพท์ศาสนาอาจจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียวนะครับ) >> ประกอบด้วย พระทีปังกรพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าในอดีตของพระพุทธแห่งตรีกาล พระศากยมุนีพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าในกาลปัจจุบัน (พระพุทธเจ้าของเราๆนั่นแหละครับ…) และพระศรีอริยเมตไตรย ผู้ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
- อีกห้องหนึ่ง จำไม่ได้วาห้องอะไร ฮ่าๆ
- และห้องสุดท้าย ห้อง Vimalakirti ครับ ห้องนี้อยู่บนยอดเขาเลย ต้องเดินขึ้นไป
เดินขึ้นไปเรื่อยๆ อากาศดี ถ้ามีเวลาเหลือ แนะนำให้เดินชมวัดครับ
วันนี้เป็นวันที่ดีสุดๆเลยครับ ดีทั้งเรื่องสถานที่เที่ยว เวลา และมิตรภาพ คนไปเที่ยวไม่เยอะ ถ่ายภาพสนุกมาก อย่างกะทริปส่วนตัว
ตอนออกจากอุทยาน เรานั่งรถกอล์ฟคนละ 10 หยวนมั้ง ถ้าจำไม่ผิด เพื่อมายังจุดจอดรถ แต่พี่หวังเล่ย แย่งออกครับ บอกต้อนรับเข้าเมืองจีน และพยายามชวนพวกผมไปเที่ยวบ้านพวกเขาให้ได้นะ อยู่ที่เมืองชิงเต่า เราพากันแลก WeChat ID กัน และทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ครับ
หลังจากเที่ยว Dazu เสร็จแล้ว รถบัสพามาส่งที่หงหยาต้งครับ เราเลยพากันเที่ยวหงหยาต้งซะเลย ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ธรรมดานะครับ เป็นจุดเที่ยวระดับ 4A เลย เพราะอาคารที่สร้างยิ่งใหญ่มาก ทำเป็นสถาปัตยกรรมจีนโบราณด้วยความสูง 9 ชั้น แถมบางจุดดีไซน์เหมือนเดินทะลุถ้ำเดินขึ้นเขาด้วย แนะนำให้ไปมากๆ มันอนยู่ไม่ไกลเลย วิวกลางวันก็สวย วิวกลางคืนก็สวย ไปฉงชิ่ง ห้ามพลาดเด็ดขาดครับ
แต่เดี๋ยวข้อมูลเกี่ยวกับการเที่ยวหงหยาต้ง ผมค่อยแยกเป็นอีกตอนดีกว่าครับ เพราะแค่นี้ก็เปลือง 3G ไปมากแล้ว รูปเยอะจริงๆอะไรจริง ฮ่าๆ นี่แหละครับ สเน่ห์ของเมืองฉงชิ่ง เมืองที่มีประชากรมากที่สุดในโลก เมืองที่มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด เมืองในม่านหมอก เมืองที่คนผิวสวย เมืองที่อาหารอร่อย เมืองที่มีประวัติศาสตร์หลายอย่าง หากทริปหน้าไม่รู้จะไปไหน ก็ลองมาเที่ยวฉงชิ่งดู รับรองว่าต้องชอบครับ
สรุปการเดินทางวันนี้นะครับ
- ผมเลือกซื้อ One Day Trip จากทางโรงแรมเลย ราคาคนละ 260 หยวน
- มีรถรับส่งเดินทางสะดวกสบาย แต่ตอนส่งกลับ เหมือนเขาจะจอดส่งทีหงหยาต้งครับ ซึ่งมันไม่ไกลจากโรงแรมที่ผมพักเลย สะดวกมาก
- การเดินทางจากฉงชิ่งไปต้าจู๋ค่อนข้างไกล แต่จะไปเองก็ได้นะครับ แต่คำนวณราคาดูแล้วราคาไม่ค่อยต่างกันกับซื้อทัวร์เท่าไหร่ อีกอย่างต้องต่อรถเองหลายต่อ ผมเลยเลือกซื้อทัวร์ ซึ่งก็ถือว่าบริการดีมากครับ เพราะรวมค่าอาหารกลางวันด้วย กินกันอิ่มถ้วนหน้า
- ทัวร์พาไปดูร้านขายมีด ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงครับ
- หลังจากเที่ยวต้าจู๋เสร็จ มีเวลา อยากให้เที่ยววัดข้างๆด้วย แต่ถ้าไปเองก็ต้องซื้อตั๋วเพิ่มครับ 20 หยวน
- พอรถมาส่งถึงที่ฉงชิ่งแล้ว หากใครมีเวลาเที่ยวทั้งทริปน้อย วันนี้ก็ไปเที่ยวหงหยาต้งยามราตรีได้เลย สงยมากๆครับ
