แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที 2 ชมมัสยิด และ พิพิธภัณฑ์ ณ อิสตันบูล

May 28, 2019
Scroll Down

เช้าวันถัดมา กับการ แบกเป้เที่ยวตุรกี พวกเราตกลงกันว่าเราต้องรีบไปเข้าแถวเพื่อชมพิพิธภัณฑ์ Hagia Sophia ครับ หลังจากที่เมื่อวานเราเห็นแล้วว่าคนล้นหลามขนาดไหน เราก็เลยรีบตื่นนอนกันแต่เช้า แล้วหาอะไรทานกัน แต่ที่นี่ร้านอาหารเปิดช้ามากครับ เลยต้องฝากท้องไว้กับ Burger King ครับผม เสร็จแล้วก็ไปต่อแถวกัน ซึ่งคนก็เยอะอยู่ดี สงสัยทุกคนคิดแบบเรา 55

แต่ด้วยความเรามีบัตร Museum Pass อยู่แล้ว การเข้าแถวก็ง่ายครับ เข้าตรง Fast Track ได้เลย แป็บเดียว

เมื่อผ่านเครื่องแสกนเรียบร้อยแล้ว เราก็จะเห็นว่าอาคารแห่งนี้ยิ่งใหญ่มากเลยครับ นี่คือหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางเลยแหละครับ เป็นอาคารที่เป็นที่หมายตาของนักท่องเที่ยวทั้งหลายว่ามาตุรกีแล้วห้ามพลาด เพราะการก่อสร้าง และการตกแต่งภายในนั้นเลอค่าแก่การต่อคิวเข้าชมเป็นอย่างมาก อายุของที่นี่ก็มากกว่า 1,500 ปีเข้าไปแล้ว ยังคงงามสง่าอยู่เลย


Hagia Sophia มหาวิหารฮาเกียโซเฟีย

Hagia Sophia Museum

พอลอดซุ้มเข้าไปแล้ว ก็จะมองเห็นภาพโมเสคสวยงามที่อยู่ด้านบนโค้งประตูครับ เป็นภาพของพระเยซูคริสต์ เพราะว่าก่อนหน้านี้นั่น ครั้งแรกที่สร้างขึ้นมา สร้างเพื่อจะเป็นโบสถ์สำหรับชาวคริสต์นิกายออธอดอกซ์ แต่พอมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่แห่งนี้ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นมัสยิด และถูกทาปูนขาวทับเพื่อปกปิดการตกแต่งดั้งเดิม เนื่องจากชาวมุสลิมไม่อนุญาตให้ใช้รูปสิ่งมีชีวิตพวกคน สัตว์ประดับประดาครับ พอถึงยุคการรวมชาติฝรั่งเศสในสมัยท่านอตาเติร์ก บิดาแห่งชาวตุรกี ก็เปลี่ยนที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์และมีการเลาะปูนขาวออก ทำให้เราได้เห็นความสวยงามดั้งเดิมที่มีมา . ในภาพโมเสค คนที่กำลังก้มกราบพระเยซูคือจักรพรรดิ์ลีโอที่ 6 ครับ อีกฝั่งคือภาพของพระแม่มารี ซึ่งในสมัยยุคไบเซนไทน์นั้น คนที่มีสิทธิ์เข้าออกประตูนี้ต้องเป็นจักรพรรดิ์เท่านั้นนะครับผม

โมเสคนี้ตั้งอยู่ที่ประตูจักรพรรดิ กระเบื้องโมเสคของจักรพรรดิ์ลีโอที่ 6 สร้างในช่วงศตวรรษที่ 9 กระเบื้องโมเสคที่น่าสนใจนี้มีเรื่องราวอันน่าขำขัน จักรพรรดิลีโอที่ 6 แต่งงานกับหญิงเคร่งศาสนาที่ต้องการนอนหลับบนเสื่อเพื่อให้สามารถสวดภาวนาได้บ่อยขึ้น แต่เพราะไม่มีทายาทด้วยกันจักรพรรดิก็แต่งงานกับคนใหม่ทันทีที่ภรรยาคนแรกเสียชีวิต ภรรยาคนใหม่ชื่อว่าโซอี้ (Zoe) อย่างไรก็ตามโซอี้ก็เสียชีวิตเมื่อคลอดบุตรสาวให้กับเขา เมื่อลีโอที่ 6 แต่งงานครั้งที่สามเขาถูกประณามจากนักบวช ภรรยาคนที่สามของเขาให้กำเนิดบุตรชายแต่ว่าก็บุตรก็เสียชีวิตทันที่คลอดออกมาครับ

จักรพรรดิ์ลีโอที่ 6 ก็ไม่ยอมแพ้และตัดสินใจแต่งงานใหม่อีกครั้ง ในที่สุดเขามีลูกชายกับภรรยาคนที่สี่ของเขา แต่คราวนี้เขาถูกลงโทษโดยคริสตจักร

ในงานโมเสกชิ้นนี้เราเห็น จักรพรรดิ์ลีโอที่ 6 แสดงท่าทางแบบ proskynesis (เป็นการแสดงความเคารพ) พระคริสต์ประทับอยู่กับ 2 ท่านคือพระแม่มารีและเทพกาเบรียล พระองค์แต่งกายด้วยชุดทูนิค รัดเอว (เรียกว่า Chiton) มือของพระแม่แมรี่ยื่นมือออกไปถึงพระคริสต์เพื่อให้อภัยแด่ลีโอ พระเยซูคริสต์กำลังถือถ้อยความที่เขียนว่า: “สันติสุขจงมีแด่ท่าน ข้าพเจ้าคือแสงสว่างของโลก

พอเข้าไปข้างในก็อึ้งกับความยิ่งใหญ่ ในการก่อสร้างที่มีชั้นเชิง และดีเทลประดับประดามากเลยครับ ที่นี่ไม่ใช้เสาสักต้น แต่มีการกระจายน้ำหนักโดมลงด้านข้างครับ เป็นอาคารที่สูงมากๆ แสงแดดสาดส่องเข้ามาให้เราได้เห็นความสวยงามที่คงเหลืออยู่ ในวันที่ผมไปแสงจ้ามากครับ ถ้าใครชอบถ่ายภาพด้านใน อาจจะไปช่วงเย็น น่าจะได้ภาพที่สวยกว่านะครับ

จากที่ผมสังเกต ที่นี่จะชอบใช้โคมไฟประดับครับ เราจะเห็นว่ามีโคมแนวนี้ แบบหรูๆ ประดับทั่ววิหาร และมัสยิดอื่นๆ

เห็นแบบนี้แล้วน่าจะหนักเอาเรื่องเหมือนกันนะครับ

สิ่งพิเศษอีกอย่างของที่นี่คือ ด้วยความที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทั้งโบสถ์คริสต์ และมัสยิดชาวมุสลิม เราก็จะเห็นการผสมผสานของสองศิลปะเข้าด้วยกันครับ มีภาพพระเยซูคริสต์ และมีป้ายอักษรจากศาสนามุสลิม

โถงที่เราเห็นขนาดมหึมานั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 32 เมตร สูง 56 เมตรครับ ตอนนั้นผมรู้สึกว่า มันสมควรแล้วที่ได้เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก รายละเอียดที่ประดับประดา ผมสามารถใช้เวลาได้หลายชั่วโมงในการดื่มด่ำแน่นอน ที่นี่มีหน้าต่าง 40 ช่องช่วยให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาภายใน

คือตัวอาคารมันใหญ่มากครับ ใหญ่จนกล้องผมเก็บไม่ได้ และผมก็ไม่รู้ว่าถ่ายพาโนผ่านกล้องโอลิมปัสนี่มันถ่ายยังไง เอาเป็นว่าชมเป็นส่วนๆไปด้วยกันละกันนะครับ ตอนที่ผมไปก็มีการปรับปรุงพื้นที่บางส่วนด้วย

ผมเดินถ่ายภาพอาคารเพลินเลยครับ ระหว่างนั้นก็มีเด็กนักเรียนชาวตุรกีมาขอถ่ายภาพด้วยครับ น้องๆแลดูตื่นเต้นมากที่ได้ถ่ายภาพกับนักท่องเที่ยว ดูแล้วน่าจะเรียนชั้นประถมต้น น้องๆพยายามหัดใช้ภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆ ถามว่า พี่มาจากไหนครับ ผมก็บอกว่าจากประเทศไทยครับ น้องๆก็มองหน้ากัน แล้วคุยกันว่า ไทยแลนด์ สงสัยไม่รู้จักครับ 55 ตอนนั้นมาขอถ่ายรูปด้วยเยอะจริงๆ แล้วก็แนะนำตัวว่าหนูชื่อนี้นะ ผมชื่อนี้นะ เราก็แบบเออ เป็นดาราวุ้ยทริปนี้ 55

การมาเที่ยวตุรกี ถ้าอ่านประวัติศาสตร์และที่มาก่อน หรือมีหนังสือนำเที่ยว หรือมีไกด์พาชม ผมว่าจะเที่ยวอย่างสนุกและมีคุณค่ามากขึ้นครับ เพราะแต่ละที่ล้วนผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน เคยผ่านจุดรุ่งเรือง จุดตกอับมาแล้ว

ด้วยความที่เป็นสายแช่ ผมเป็นคนคลั่งไคล้งานศิลปะ ประวัติศาสตร์ ครับ เข้าไปในพิพิธภัณฑ์ทีเหมือนได้อยู่ในโลกที่เราอยากค้นหา จึงค่อยๆดื่มด่ำไปเรื่อยๆ จนเพื่อนๆผมหนีไปก่อน ฮ่าๆ ผมก็เดินชมอะไรเรื่อยเปื่อยครับ ที่วิหารฮาเกียโซเฟียนั้นมีสองชั้นนะครับ อย่าลืมเดินเข้าไปดูชั้นสองด้วยนะครับ

เมื่ออยู่ชั้นสองและมองลงมา จะเห็นว่ามันยิ่งแสดงความยิ่งใหญ่ของวิหารนี้เลยทีเดียว

บรรดานักท่องเที่ยวเองก็ไหลหลั่งเข้ามาเรื่อยๆครับ อย่างว่าครับที่นี่คือ The Must มาแล้วต้องห้ามพลาด

ภาพนี้เป็นอีกหนึ่งโมเสคที่สวยงามมากครับ แต่ก็น่าเสียดายมากที่มันเสียหายจากการเวลา

เป็นโมเสคที่ชื่อว่า Deesis Mosaic ครับ สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 นี่ถือว่าเป็นผลงานสุดยอดเกี่ยวกับศิลปะโมเสคจากสมัยไบเซนไทน์ครับ Deesis Mosaic ถูกวาดในสไตล์มนุษยนิยม  และเพราะหน้าต่างที่เปิดทิ้งทางด้านซ้าย ส่งผลให้ภาพของพระแม่มารี ได้รับความเสียหายมานานหลายศตวรรษ

เรื่องราวในโมเสกก็คือ  พระแม่มารี และ เซนต์จอห์นเดอะแบปทิสต์และพระคริสต์ กำลังถูกขอร้องให้มีการทักทายมนุษย์โดยแสดงอารมณ์ในแบบที่เสมือนจริงครับ โมเสคชิ้นนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในฐานะผู้บุกเบิกศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาด้วย

ด้านบนเป็น กระเบื้องโมเสกเซราฟิมครับ (Seraphim Mosaic) เป็นผลงานที่สร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 9 ครับผม ตั้งอยู่ตรงแถวตรงกลางโดม ในภาษาฮิบรู คำว่า เซเซราฟิมหมายถึง ‘ผู้เผาไหม้’ ภาพผลงานเราจะเห็นว่าเซราฟิมจะถูกปิดใบหน้าไว้ด้วยดวงดาวครับผม คือภาพต้นฉบับเราจะเห็นหน้าเซราฟิมนะครับ แต่ว่าด้วยความที่ในยุคออตโตมัน คือยุคมุสลิมเค้าห้ามมีภาพคนไงครับ ก็เลยวาดดาวทับเลย ฮ่าๆ

ทูตสวรรค์เซราฟิมมี 6 ปีกเลยครับ 2 ปี คลุมเท้า 2 ปีก ปิดหน้าและ 2 ปีก กางออกพร้อมที่จะบิน เซราฟิมส์ทางด้านตะวันออกเป็นภาพต้นฉบับในขณะที่ภาพอื่น ๆ เป็นเพียงภาพวาดเลียนแบบครับ

ส่วนตัวอักษรยึกยือที่เขียนบนแผ่นไม้กลมๆรอบๆมหาวิหารนั้นเป็นผลงานเขียนอย่างวิจิตรบรรจงโดย M. Izzet Efendi ครับ  ซึ่งถูกนำมาประดับเพิ่มในช่วงรัชสมัยของสุลต่านอับดุลเมจิด (Abdulmejid) เป็นชื่อของพระอัลเลาะห์ โมฮัมเหม็ดและหลานชายของเขา ฮะซันและฮุสเซน และกาหลิบสี่คน ในตอนที่มีการเปลี่ยนจากมัสยิดมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ภาพเหล่านี้เกือบจะถูกถอดทิ้งไปแล้วนะครับ แต่สุดท้ายก็ยังคงอยู่ครับ

The Zoe Mosaic เป็นอีกหนึ่งผลงานโมเสคที่น่าสนใจครับ โมเสคนี้ถูกค้นพบในปี 1934​ โดยสถาบัน Byzantine Institute เป็นโมเสคที่มีอะไรมากมายที่จะบอกเราเกี่ยวกับจักรพรรดินีโซอี้ โซอี้เป็นลูกสาวของคอนสแตนตินที่ 8 ที่มีความต้องการอยากให้เธอแต่งงานกับอาร์รีรอสก่อนที่เขาจะเสียชีวิต (ผมคิดว่าน่าจะเป็นคนละ Zoe ที่แต่งกับจักรพรรดิ์ลีโอที่ 6 นะครับ) เมื่อเธอแต่งงานกับอาร์กีรอส โซอี้อายุ 50 ปีแล้วและยังเวอร์จิ้นอยู่ หลังจากการแต่งงานของพวกเขา โซอี้ตกหลุมรักหนุ่มน้อยชื่อว่าไมเคิล

พอตกหลุมรักกัน พวกเขาทั้งคู่ก็พากันฆ่าอาร์กีรอสครับ โดยจับถ่วงน้ำในอ่าง และไมเคิลก็กลายเป็นจักรพรรดิแทน อย่างไรก็ตาม ประมาณ 7 ปีถัดมา ไมเคิลที่สี่ก็เสียชีวิต และหลานชายของเขา ไมเคิลที่ 5 ก็กลายเป็นจักรพรรดิ์แทน และจับโซอี้ไปกักขัง สิ่งนี้กลายเป็นเรื่องที่นำไปสู่การจลาจลต่อต้านจักรพรรดิ์องค์ใหม่ และเขาถูกปลดบัลลังก์โดยคอนตแสนตินที่ 9 ที่ชื่อว่า  Constantine IX Monomachos ซึ่งเป็นสามีคนที่สามของจักรพรรดินีโซอี้ ในช่วงชีวิตของโซอี้ เธอไม่มีลูกเลยครับ

ดังนั้นสามีแต่ละคนที่โซอี้มี ภาพใบหน้าในโมเสคก็เปลี่ยนไปตามยุคของสามีครับ ดังนั้นภาพที่เราเห็นจึงเป็นภาพของสามีคนสุดท้ายของจักรพรรดินีโซอี้

ข้อความที่อยู่ด้านบนภาพศีรษะของจักรพรรดิ์ Constantine IX Monomachos เขียนว่า “ศาสนาแห่งจักรพรรดิของชาวโรมัน คนรับใช้ของพระเยซู Konstantinos Monomakhos” ส่วนข้อความบนจักรพรรดินี เขียนว่า “ศรัทธาต่อศาสนา ออกัสต้า โซอี้” และยังมีตัวย่อ IC XC ซึ่งเป็นตัวย่อของพระคริสต์ครับ

จริงๆแล้วในมหาวิหาร Hagia sophia ยังมีผลงานจัดแสดงอีกเยอะมากเลยทีเดียวครับ แต่ผมขอนำเสนอเพียงเท่านี้ก่อน เพราะว่าเดี๋ยวจะเยอะและยาวไป ฮ่าๆ อีกอย่างเพื่อนๆผมหนีไปเที่ยวที่อื่นแล้วครับ ผมต้องรีบไปสมทบกับเพื่อนๆแล้ว โดยสถานที่ต่อไปคือ มัสยิดสีน้ำเงินครับ


Blue Mosque มัสยิดสีน้ำเงิน

ด้วยความที่มัวแต่ดื่มด่ำกับความงามของมหาวิหาร Hagia Sophia ผมก็เลยไปต่อคิวคนเดียวที่มัสยิดสีน้ำเงินครับ เพื่อนๆผมไปต่อคิวก่อนแล้ว ตอนนั้นคนเยอะมากๆ เราต้องใส่ถุงพลาสติกหุ้มรองเท้าเราด้วยครับ ที่นี่เข้าฟรีครับผม

คนต่อคิวยาวเหยียดมากๆ ช่วงที่ผมไปก็มีการปรับปรุงอีกแล้วครับ ผืนผ้าใบเต็มทั่วทั้งอาคาร เพื่อนผมเข้าไปแล้วบอกว่า ไม่ค่อยมีอะไร เพราะมีแต่การก่อสร้าง ผมก็บอกว่า ไม่เป็นไร ไหนๆก็มาถึงแล้ว ขอเข้าไปเห็นกับตาครับ

โชคดีมากที่ที่นี่อากาศไม่ค่อยร้อนครับ คือแดดแรงจริง แต่มันไม่ร้อน ทำให้เราอยู่กลางแดดได้นาาน และผิวถูก UV ทำร้ายโดยไม่รู้ตัวครับ ฮ่าๆ เอาน่าอย่างน้อยก็ไม่ต้องร้อนด้วยได้ยูวีด้วยเนอะ

บลูมอสก์ หรือ Blue Mosque สุเหร่าสีน้ำเงินนี้ เดิมมีชื่อว่า สุเหร่าสุลต่านห์อาร์เหม็ดที่ 1 (Sultan Ahmed Mosque) ครับ และเนื่องจากว่าเป็นมัสยิดสำหรับทำพิธีกรรมทางศาสนา เวลาเข้าไปเราก็ต้องสำรวมให้เกียรติศาสนสถานด้วยครับ  เป็นมัสยิดที่สร้างขึ้นในปี 1609 และสร้างเสร็จในปี 1616 ครับ เป็นการสร้างเสร็จหนึ่งปีก่อนที่สุลต่านอาห์เหม็ดจะสิ้นพระชนม์ด้วยวัยเพียง 27 พรรษาเท่านั้น

โดยส่วนตัวแล้วผมชอบมากๆเลยนะครับ งานข้างในคือละเอียดมาก เป็นงานกระเบื้องที่เข้าโค้งได้อย่างลงตัว มันมีความเยอะที่หรูหรา เอาจริงๆ ผมก็ว่าผมอยู่ดูได้เป็นชั่วโมงอีกนั่นแหละ บอกแล้วว่าผมสายเที่ยวแบบแช่ครับ 55

เหตุผลได้ที่ชื่อว่า  Blue Mosque ก็เพราะว่าภายในมัสยิดมีการประดับด้วยกระเบื้องสีฟ้าจากอิซนิคครับ มีการประดับประดาด้วยลวดลายดอกไม้ต่างๆ เช่น ดอกกุหลาบ ดอกทิวลิป ดอกคาร์เนชั่น ที่นี่อนุญาตให้เข้าชมได้แค่ชั้นล่างเท่านั้น ชั้นสองจะห้ามขึ้นไปครับ

ดูสิครับ ลวดลายสวยงามเสียเหลือเกิน เสียดายนะครับที่ตอนผมมาเค้าก็ปิดซ่อมขนานใหญ่ อดเห็นความเป็นสีน้ำเงินภายในตัวอาคารเลย

เดินชมความงามของการตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตาไปครับ

มัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นอยู่ตรงข้ามกับวิหาร Hagia Sophia เลยครับ เพราะสุลต่านต้องการจะบอกว่า เห้ย เราก็สร้างสิ่งยิ่งใหญ่ได้เหมือนกันนะ ไม่แพ้วิหารนั้นหรอก ก็สร้างมัสยิดนี้ขึ้นมานั่นเอง

ผมใช้เวลาที่นี่พักใหญ่ ดื่มด่ำกับความงามของอินทีเรีย ก็ออกมาพบเพื่อนๆครับ เพื่อนผมถามว่าเป็นไงบ้างข้างใน ผมก็บอกว่าผมชอบนะ ผมทำงานสายออกแบบด้วยแหละ งานพวกนี้ผมก็ชอบดู จะได้เอามาประยุกต์ใช้กับการทำงานของตัวเอง พอเจอกันแล้วเราก็เดินไปตรงประตูด้านหลังมัสยิดครับ แล้วเราก็จะเจอตลาดขายของ และพิพิธภัณฑ์โมเสคด้วย


The Museum of Great Palace Mosaics

ต้องบอกก่อนเลยว่า ที่นี่จะเหมาะกับคนชอบงานโบราณนะครับ เพราะเป็นโมเสคที่สร้างขึ้นในช่วงปี คศ 450-550 ครับผม เราจะเห็นผลงานศิลปะวัตถุโบราณถูกจัดแสดงรอบพิพิธภัณฑ์เลยครับ

ผลงานโมเสคที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นภาพวิถีชีวิต สิงสาราสัตว์ สัตว์ในเทพนิยาย ครับ ไม่มีภาพเกี่ยวกับศาสนาใดๆ สามารถเดินชมได้เพลินๆ ที่นี้ใช้บัตร Museum Pass เข้าได้เลย

เสน่ห์ของภาพโมเสคก็คือ มันเป็นกระเบื้องชิ้นเล็กๆ ที่ศิลปินนำมาต่อต่อกันเป็นเรื่องราว และมีการไล่เฉดสีอีก เป็นงานที่ต้องอาศัยระยะเวลาและความพยายามมาก

นี่ครับผม ลองดูใกล้ๆ โมเสคกระเบื้องชิ้นเล็กมากเลยครับ

ชิ้นนี้ค่อนข้างสมบูรณ์ครับ เป็นภาพนายพรานกำลังออกไปล่าสัตว์

ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์เพิ่มเติม เราจะอินกับที่นี่มากครับ เพราะว่าครั้งหนึ่งนั้นที่นี่เคยถูกสร้างประดับประดาด้วยงานโมเสคหรูหราที่เป็นผลงานของศิลปินชั้นครูในยุคนั้น แค่เราได้เห็นถนนที่หลงเหลือที่ทำเป็นโมเสคละเอียดๆแบบนี้ ก็พอทำให้เราเห็นภาพความเจริญในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่งในสมัยนี้ผมก็คิดว่ายังไม่มีที่ไหนมีถนนที่ละเอียดได้แบบยุคนั้นกระมัง


Basilica Cistern

เที่ยวชมทั้งวิหารทั้งมัสยิดจนตะวันเริ่มบ่ายแล้ว เราก็พากันหาอาหารเที่ยงทานกันครับ แถวนั้นมีร้านอาหารหลายร้าน สามารถเลือกดูได้เลย ราคาอาหารตอนผมไปก็ราว 30-70 TL ครับ เรทเหมือนเรานั่งกินข้าวในห้างทุกมื้อ ผมชอบฮอตชอคโกแลตและน้ำผลไม้ที่นี่นะครับ มันคือผลไม้จริงๆ ไม่ใช่เน้นน้ำแข็งเยอะๆแบบบ้านเราอ่ะ บ้านเราได้แต่น้ำแข็ง น้ำผลไม้จริงประมาณ 2/10 ฮ่าๆ

กินข้าวอิ่มแล้ว ก็พากันเดินไปยังจุดต่อไปครับ ทีนี้เราจะต่อแถวลงไปใต้ดินกันจ้า ไปดูความมหัศจรรย์ของคนโบราณที่สร้างความยิ่งใหญ่ใต้พื้นพิภพได้ขนาดนี้เลยหรือเนี่ย มันคืออ่างเก็บน้ำใต้ดิน หรืออุโมงค์ส่งน้ำครับ สร้างในีปี คริสตศักราช 532  ก็เกือบ 1,500 ปีมาแล้วครับ สร้างในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน เพื่อที่ต้องการจะให้เป็นที่เก็บน้ำเอาไว้ใช้สอยภายในพระราชวัง

เข้าไปแล้วจะเห็นว่าเสาที่ตั้งตระหง่านเป็นร้อยๆเสานั้นดูน่าทึ่งเสียเหลือเกินครับ เป็นเสาคอลัมน์ที่ค้ำยันหลังคาอยู่ใต้ดิน เป็นศิลปะแบบคอรินเทียนของโรมันครับผม มีทั้งหมด 336 ต้น สูงต้นละ 9 เมตรเลยนะครับ!! เรียงๆกันทั้งหมด 12 แถว แถวละ 28 ต้น เมื่อก่อนก็จะเต็มไปด้วยน้ำเต็มเพดานเลย เราเข้าไม่ได้ แต่ตอนนี้เค้าสูบน้ำออกหมดแล้วครับ ที่นี่เคยเป็นที่ใช้ในการถ่ายทำหนัง Hollywood ด้วยนะครับ คือเรื่อง “Inferno”

หนึ่งในสิ่งที่คนให้ความสนใจคือเสาที่มีหัวเป็นเมดูซ่าแต่ว่าหันข้างและกลับหัวครับ คือเป็นเคล็ด เพราะว่าใครก็ตามที่จ้องตาเมดูซ่าจะกลายเป็นหิน จึงต้องออกแบบแบบนี้ ให้ปกปักสถานที่แห่งนี้อยู่ใต้บาดาล

ตามตำนานเทพกรีก เมดูซ่าเป็นผู้หญิงที่สวยและน่าสงสารมากครับ นางหลงรักเทพพอร์ซิอุลบุตรของซุส แต่เทพีอาธีนาก็ปลื้มเทพเพอร์ซิอุสเช่นเดียวกัน จึงเกิดความอิจฉา ก็เลยสาปเมดูซ่าว่า ขอให้เธอมีผมเป็นงู และใครจ้องมองเมดูซ่าจะต้องกลายเป็นหิน แหม่ เทพนี่ก็มีด้านร้ายไม่แพ้กันเลยครับ

ที่นี่ก็จะมีแต่เสาและเสา ครับ เราเลยไม่ได้ใช้เวลาอยู่นานเท่าไหร่ เรารีบออกไปยังจุดถัดไปก่อนที่มันจะปิดครับ นั่นก็คือพิพิธภัณฑ์งานศิลปะโบราณคดีครับ


Archeological Museum Istanbul

พิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล (Istanbul Archeology Museum) เป็นกลุ่มของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งจัดแสดงโบราณวัตถุ และผลงานทางศิลปะ ในด้านต่างๆ มากกว่าหนึ่งล้านชิ้น และครอบคลุมเกือบทุกยุค และทุกอารยะธรรมในประวัติศาสตร์โลกครับ โอ้ยยยย คนคลั่งพิพิธภัณฑ์อย่างผมอยากจะดิ้นแด่วๆ ชอบมาก ฮ่าๆ

ข้างในก็มีของโบราณเยอะมาก แบบเยอะ เยอะ เยอะะะะะะะะ ภาพนี้เป็นโลงศพจากอียิปต์ครับ มีอักษรภาพบนโลงศพด้วย

โอย ปลามปลื้ม ปลื้มปริ่ม มีความสุขกับการได้เห็นของเหล่านี้ ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงคลั่งไคล้งานโบราณ อาจจะมาจากเคยอ่านหนังสือสมัยเด็ก แล้วก็ใฝ่ฝันอยากจะเห็นสิ่งที่เราเคยอ่านด้วยตาตัวเอง พอมาเจอแล้วมันเหมือนฝันที่เป็นจริงครับ อักษรภาพแม้จะเคยเห็นผ่านหนังสือ แต่มันก็คนละความรู้สึกนะ ไม่เหมือนเวลาเห็นด้วยตาตัวเองจริงๆ

อักษรคูนิฟอร์ม!! วะ วะ วะ ว้าววววว นี่คืออักษรรูปลิ่ม เป็นรูปแบบของการเขียนอักษรที่เก่าแก่ที่สุดของโลกในยุคเมโสโปเตเมียเลยนะครับ!

และนี่คือสนธิสัญญาแห่งคาเดช (Treaty of Kadesh) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาสงบศึก ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก!! ถ้าไม่รู้ประวัติศาสตร์ก็คงจะเฉยๆใช่ไหมครับ บักสน แกจะตื่นเต้นทำไมนักหนา มาครับ มาดูเรื่องราวที่ว่าทำไมผมถึงตื่นเต้น

คลิกเพื่ออ่านบทความเกี่ยวกับ The Battle of Kadesh นี้ดูนะครับ เค้าเขียนได้ดีมากๆเลยครับ

เป็นไงครับ? อ่านหรือยัง แล้วก็คงจะเข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่าทำไมผมถึงตื่นเต้นที่ได้เห็นเจ้าตัวนี้ ฮะฮะฮ่า

ผลงานจัดแสดงหนึ่งล้านชิ้น ผมไม่สามารถเอามาฝากได้หมดครับ อยากเห็นต้องไปดูเองนะครับ ผมถ่ายมาเฉพาะบางจุดครับ มันเยอะเสียเหลือเกิน แล้วก็เสียดายมากที่ไปตอนเย็นแล้ว มีเวลาเที่ยวไม่เยอะ ไม่เป็นไร ไว้เก็บตังค์ไปใหม่ ฮิๆ ภาพนี้ผมก็กรีสอีกแล้วครับ เป็นผลงานจากประตูอิชตาร์แห่งบาบิโลน อ้ากกกกกก

คือในยุคสมัยของบาบิโลน พระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ ให้มีการสร้างกำแพงล้อมกรุงไว้ครับ โดยจะมีประตูหลวงที่เรียกว่า “ประตูอิชตาร์” (The Ishtar Gate) เค้าสร้างขึ้นมาเพื่อถวายแก่มหาเทวีอิชตาร์ ผู้ที่เป็นเทวีประจำเมืองและเทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่ชาวบาบิโลเนียนเคารพนับถือ

ตัวประตูที่สมบูรณ์นั้นจะอยู่ที่เบอร์ลินนะครับ อันนี้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ชอบมากๆ

เรียกได้ว่ามันเยอะมาก เยอะจนละลานตาครับ อยู่ได้ทั้งวัน หรือไม่แน่อาจจะสองวันเลยก็ได้ถ้าให้ดูละเอียดทั้งสามอาคาร ตอนนั้นผมเสร็จที่อาคารแรกก็เดินออกมายังสวนด้านนอกครับ เดินไปยังอาคารถัดไป สวนเข้าก็ทำสวยครับ ประดับด้วยวัตถุโบราณที่สวยมาก

และระหว่างที่ผมถ่ายรูปผมก็ได้ยินเสียงคนทัก ขอให้ถ่ายรูปให้ครับ เป็นหนุ่มน้อยชาวตุรกีที่มาทราบชื่อทีหลังว่า ชื่อ อาห์เหม็ด เป็นนักเรียนปีหนึ่งคณะ Biochemsitry ที่มหาลัย Ege University ที่อิซเมียร์ น้องบอกว่าเดินทางเที่ยวตุรกีคนเดียว คุยกันถูกคอเพราะชอบเที่ยวเหมือนกัน จากนั้นน้องก็เลยไปเที่ยวกับผมเกือบทุกเมืองเลยครับ

ในอาคารที่สองเป็นอาคารหลักครับ ถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุด และสำคัญที่สุดด้วย ก่อตั้งโดยโอซมัน ฮัมดีเบย์ (Osman Hamdi Bey) ในปี ค.ศ. 1891 เพื่อเก็บรักษาวัตถุทางวัฒนธรรม ที่ได้รับจากการขุดพบ ตามเมืองต่างๆ ในเขตปกครอง ของจักรวรรดิออตโตมันครับ

แค่ชั้นแรกที่เข้าไปเห็นบรรดาโลงศพที่มีการแกะสลักแบบไม่เกรงใจคนดู ก็ทึ่งละจ้า

แกะสลักได้งามงาม ควรค่าแก่การมาเยี่ยมชมมากเลยครับ

ถือว่าวันนี้เป็นอีกวันที่อิ่มมากๆครับ อิ่มอกอิ่มใจกับการได้เห็นงานศิลปะที่มีอายุนับพันปี และมีความสวยงาม จนเห็นแล้วก็ปลื้มใจแทนที่พวกเขามีสมบัติมรดกโลกกันเยอะแยะขนาดนี้

หลังจากเที่ยวเสร็จ พวกเราก็ไปยัง Grand Baazar เพื่อไปทานร้านอาหารที่โด่งดังจากท่าโรยเกลือครับ “Nur-Est”  เป็นร้านที่ดังมาก และค่าอาหารแพงมากจ้า แพงทุกอย่าง ตั้งแต่โค้ก แต่เอาหนะมาถึงแล้วก็ลองทานดูเนาะ

สาขานี้ตอนผมไปรอคิวประมาณครึ่งชั่วโมงครับ

ได้เนื้อบางๆหกชิ้น ราคาเกือบพันบาท ฮืออออออออ และบอกตามตรงว่า โดยส่วนตัวคิดว่าไม่อร่อยครับ ไม่คุ้มค่าเงิน อาจจะเป็นเพราะผมไม่ชินกับรสชาติอาหารที่นี่ด้วยแหละครับ ปากใครปากมันเนอะ แต่น้องที่ไปด้วยคนตุรกีแอบมาถามผมว่า พี่ว่าอร่อยไหม เอาจากใจจริงนะ ผมก็บอกว่าไม่อร่อยอ่ะ น้องบอกว่า ผมก็ว่าไม่อร่อย และแพงเกิ๊น 555 ส่วนขวดแยมนั้นคือน้ำพริกปลาย่างที่พกไปจากเมืองไทยครับ ช่วยชีวิตได้จริงๆนะ ฮ่าๆๆๆ

รวมเบ็ดเสร็จ มื้อเย็นในร้านดังของเรา ก็หมดไปราว 4,000 บาทครับ แพงสุดในบรรดาอาหารทุกมื้อของทริป

และเรื่องราวการเดินทางในตอนที่สองของผมก็ขอจบลงเท่านี้ก่อนนะครับ มันยาวมากอีกแล้ว ฮ่าๆ  แล้วเจอกันตอนที่สามนะครับ

EN / FR

© Copyright BackpackStory.com.

Close