แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอน 1 อิสตันบูล โคตรคูลเลย

May 25, 2019
Scroll Down

สวัสดีครับผม กลับมากันอีกครั้งกับบันทึกเรื่องราวการเดินทางแบกเป้ของผมนะครับ ครั้งนี้ผมจะมาเล่าการเดินทางที่เพิ่งกลับมาสดๆร้อนๆ ที่ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ เต็มไปด้วยอารยธรรม ศิลปะ และผู้คนที่เป็นมิตรมากๆ นั่นก็คือประเทศตุรกี ไล่ตั้งแต่ อิสตันบูล ไปสิ้นสุดที่อิสเมียร์ครับ

นี่เป็นประเทศแรกที่ผมไปไกลขนาดนี้ ปกติลัดเลาะแต่แถบเอเชียใกล้ๆ อยู่ๆก็อยากจะไปเที่ยวไกลๆดู ก็ลองหาประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า แล้วก็เหมาะเจาะที่ประเทศตุรกีพอดีครับ ประเทศนี้เคยได้ยินมาบ้างสมัยเรียนหนังสือ แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดเชิงท่องเที่ยวมากนัก แล้วผมก็ชวนเพื่อนๆน้องๆไปด้วย รวมกันเป็นสี่คน การเดินทาง 2 – 15 พ.ค. 2019 ครับ

แพลนการเดินทางนะครับ

  • DAY 1 นั่งสายการบิน​ Gulf Air ไป อิสตันบูล ทรานสิทที่บาเรห์น
  • พักที่โรงแรม จองผ่าน AirBnb
  • DAY 2 เที่ยว Nuruosmaniye Mosque, พระราชวัง Topkapi และ Harem ต่อด้วยสวนสาธารณะ GÜLHANE PARK และเลาะทะเลตรงช่องแคบบอสฟอรัส
  • DAY 3 Hagia Sophia , Blue Mosque , Mosaic Museum, Archeological Museum, Underground Cistern
  • DAY 4 ล่องเรือชมวิวช่องแคบบอสฟอรัส, พระราชวัง Domabahce Palace + Harem, จตุรัส Taksim
  • DAY 5 บินไปยังเมือง KAYSERI เช่ารถเที่ยวในแถบ Cappadocia, Pasabagi, Panoramic View Point
  • พักที่โรงแรม Caravanserai Inn Hotel
  • DAY 6 ไปเที่ยว Uchisar, เมืองใต้ดิน Kaymakli Underground City
  • DAY 7 เที่ยวในเมือง Cappadocia ไปเดิน Treking ชมวิว ตอนดึกนั่ง Night Bus ไปยัง Antalya
  • DAY 8 เที่ยวเมืองเก่า Antalya, ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน, หอคอยเก่า, Hadrian’s Gate, Antalya Museum
  • พักโรงแรม Hotel Twenty
  • DAY 9 นั่งรถบัสไปยังเมือง Pamukkale
  • พักที่โรงแรม Aspawa Hotel
  • DAY 10 เที่ยวข้างใน Pamukkale
  • DAY 11 นั่งรถไฟไปยังเมือง Selcuk เที่ยว Roman Aqueduct, Ephesus, Basilica of St. John, Ayasuluk Fortress, Isa Bey Mosque
  • พักโรงแรม Homeros Pension & Guesthouse
  • DAY 12 เที่ยว Ephesus Museum
  • DAY 13 บินไปยัง Istanbul
  • พักโรงแรม
  • เที่ยว Grand Bazaar, Spice Bazaar
  • DAY 14 บินกลับไทยสายการบิน Gulf Air
  • งบประมาณต่อคน รวมทุกสิ่งอย่าง 40,000 บาท

เอาละครับ ทีนี้มาเริ่มอ่านบันทึกการเดินทางของผมกันได้เลยครับ

การเดินทางครั้งนี้ด้วยความที่ต้องการประหยัดงบ เพราะเป็นประเทศแรกที่ต้องแลกเงินยูโรไปด้วย ก็แบบโอเค ยอมนั่งสายการบินที่ทรานสิทก็ได้ ฟรีแลนซ์แบบผมไม่มีปัญหา เพื่อนที่ไปด้วยทำงานประจำก็ไม่มีปัญหา ก็เลยจบที่สายการบิน Gulf Air ครับ ไม่เคยนั่งเหมือนกัน พยายามหาอ่านรีวิวก็มีเขียนทั้งดีและไม่ดี ก็ได้แต่คิดว่า เอาหนะ ไม่ลองไม่รู้ ปรากฎว่ามันก็ดีมากนะครับ ยกเว้นตอนบินจากไทยไป เครื่องบินกระจกสกปรกมาก ถ่ายภาพวิวด้านนอกไม่ได้เลย และแอร์แอบเห็นหยากไย่ 55 แต่ขาบินไป อิสตันบูล และตอนขากลับไทยก็ดีมาก โดยรวมผมให้ 8.5/10 ครับ มีอาหาร มีน้ำเสิร์ฟ แต่ก็มีเรื่องดีเลย์ครับ เกือบ ชั่วโมง

เราไปทรานสิทกันที่บาเรห์นก่อน ที่นี่ Duty Free แพงไม่ดูโลกภายนอกเลยจ้า เห็นราคาแล้วสะอึก นี่คือ Duty Free มิติไหนกันเนี่ย แพงกว่าร้านช้อปในห้างอีกครับ ก็ได้แต่เดินดูเฉยๆ เพราะไม่มีเงิน มีสิ่งเดียวที่เราซื้อได้คือ Coke เพราะราคาแค่ 1 USD ครับ ที่นี่รับบัตรเครดิตไม่มีขั้นต่ำ พวกผมก็นั่งๆทำไรฆ่าเวลาตลอด 6 ชั่วโมงครับ เป็นสนามบินที่เล็กมาก และมีเน็ตฟรีบริการแค่ 45 นาที รู้สึกแบบ อืม ผิดหวังหน่อยสำหรับคนติดเน็ตแบบผมครับ 55

พอมาถึงสนามบินอิสตันบูล โอ้โห สนามบินเค้าใหญ่มากๆ มารู้ว่าเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ การเข้าประเทศเขาก็ง่ายมากครับ เดินไปที่ ต.ม. เลย ยื่นพาสปอร์ต จบปิ้ง ไม่มีถามไรสักคำ ไม่ต้องกรอกใบขาเข้า คือเป็นประเทศที่ชิลจริง แต่แสกนกระเป๋าไม่ชิลนะครับ อย่างผมมีคอมพิวเตอร์ มี iPad เค้าให้เปิดเครื่องให้ดูทุกครั้งเลย ไม่เข้าใจเหมือนกัน แถมเป็นแค่ของผมนะ เพื่อนไปด้วยก็ไม่เจอ หรือเขาสงสัยอะไรก็ไม่รู้ครับ บางทีอาจจะสงสัยพวกแบตเตอรี่มั้ง แบบในหนังที่เอาระเบิดพ่วงกับแบตอะไรทำนองนี้ ก็เดาไปนะครับ

ทีนี้ด้วยความที่เราไปถึงอิสตันบูลตอนตีหนึ่งกว่า กว่าจะได้กระเป๋า ก็เกือบตีสอง ตอนนั้นก็ไม่มีรถสาธารณะแล้วครับ ผมก็ใช้วิธีเรียก Taxi ที่สนามบิน ได้มาราคา 25 EUR ที่นี่จ่ายเงินด้วยเงินลีร่า หรือยูโร ก็ได้ เอาที่สะดวก จริงๆเป็นค่ารถที่แพงนะครับ แต่ก็ซื้อเวลาครับ เพราะเจ็ทแล็คกันหมดเลย เหนื่อยมาก อยากไปถึงที่พักเร็วๆ ตอนนั้นก็หกโมงเช้าไทยแล้ว แต่ที่นั่นเพิ่งตีสอง พอไปถึงที่พักก็รีบนอนเอาแรงกันครับ เพลีย นั่งเครื่องนาน แถมเวลาถอยหลังอีกครับ


DAY 2 MERHABA ISTANBUL!

เช้าวันถัดมา พวกเราก็ตื่นนอนกันแบบสลืมสลือครับ ในที่สุด ทริปแดนไกลของพวกเราทั้งสี่คนก็พร้อมแล้วครับ ทริปนี้มีน้องผู้หญิงไปด้วยคนหนึ่ง หนึ่งสาวกับชายหนุ่ม อย่างแรกที่เราต้องทำคือ “แลกเงิน” ครับ และนำว่าไปแลกตรงแถว Grand Bazaar ได้เรทดีครับ ตรงประตูทางเข้า ตอนผมไปก็ได้ราวๆ 1 EURO = 6.6 TL ครับ

ช่วงที่อยู่ตุรกี จะมีคนมาขอถ่ายรูปด้วยหลายคนครับ รู้สึกเหมือนตัวเองหน้าตาดีมากเลย 55 มีครั้งหนึ่งมีคนเดินมาบอกว่า น้องของฉันอยากถ่ายรูปกับคนญี่ปุ่น เราขอถ่ายรูปกับคุณด้วยได้ไหม พวกเราก็บอกว่าเราเป็นคนไทย ไม่ใช่คนญี่ปุ่น เค้าก็บอกว่า ไม่เป็นไร อยากถ่ายด้วย เราก็ฮากันไปครับ

ที่อิสตันบูลวันนี้อากาศดีมากครับ เย็นสบายมาก เดินกันเพลินเลยทีเดียว บ้านเมืองเค้าก็สะอาดด้วยครับ ตรงจุดที่ผมพักนั้นจะเดินลงเนินไปหน่อย ใครที่มีกระเป๋าลากก็อาจจะต้องเดินหอบนิดนึงนะครับ

ระหว่างทางก็จะเห็นอาชีพที่หาไม่ได้แล้วในเมืองไทยคือ อาชีพช่างขัดรองเท้าครับ ผมเคยอ่านเจอมีคนรีวิวบอกว่าที่นี่จะมีพวกที่มาทำท่าทำแปรงขัดรองเท้าตก พอเราหยิบให้ เค้าก็จะเสนอขัดรองเท้าให้ฟรี แต่พอขัดเสร็จก็ขอเงินเราอะไรแบบนี้ อันนี้ก็ต้องระวังนะครับ แต่ถ้าคนที่นั่งขัดอยู่กับที่ พวกนี้คืออาชีพเค้าอยู่แล้ว ใช้บริการได้เลย

ที่ตุรกีมีร้านขายของแบบรถเข็นเหมือนบ้านเราด้วยนะครับ ส่วนมากจะขายขนมปัง ขายผลไม้ แล้วก็พวกไอติม

หลังจากที่ได้เงินลีร่าตุรกีมาแล้วแล้ว กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องครับ ผมกังวลเรื่องอาหารมาก หลังจากไปอินเดียก็ทำให้รู้ว่า ผมไม่สามารถทานอาหารได้ทุกชาติ ทริปนี้จึงพกมาม่าคัพไป 6 ถ้วย และน้ำพริกปลาย่าง 2 กระปุก เผื่อพลาด ก็ปรากฎว่าจริงด้วยครับ อาหารที่นั่นไม่ค่อยถูกปากผมเลย ก็ได้เจ้าน้ำพริกนี่แหละครับ ที่มาทาขนมปังกินกับข้าวได้ ไม่งั้นนะ โอ้ย น้ำหนักคงลดมากกว่านี้ ทุกครั้งที่เราทานอาหารจะพากันขำตลอด ขำกับรสชาติอาหารที่แปลกลิ้น ลุ้นกันทุกมื้อว่าจะรสชาติเป็นอย่างไร

ในเมืองอิสตันบูล เค้าจะให้ถนนร่วมกันระหว่างคนเดิน รถราง และรถอื่นๆครับ นั่งรถรางที่นี่ถูกมากๆ ราวสองรีล่ากว่า หรือประมาณสิบสองบาทครับ และต้องใช้บัตรแตะ ซึ่งบัตรนี้สามารถใช้ร่วมกันได้ด้วย คือถ้าผมแตะแล้วก็ส่งให้เพื่อนอีกคนแตะเข้ามาก็ได้ ข้อดีของมันก็คือ คนที่สองจะได้รับส่วนลด! ประหยัดไปอีก เป็นนโยบายให้คนของเค้าใช้รถสาธารณะกันครับ

เดินเล่นได้เรื่อยๆครับ อากาศแบบนี้ อยากให้เมืองไทยมีอากาศเย็นๆแบบนี้บ้าง ฮ่าๆ

จุดแรกที่เราไปเที่ยวกันนั้น เป็นมัสยิดที่เราก็ไม่รู้จักหรอกครับ ทริปนี้ชิล ทุกคนไม่ได้วางแผนอะไรเลย มานั่งหาจุดท่องเที่ยวกันสองสามวันก่อนเดินทาง ระหว่างเดินในถนนก็เห็นป้ายแนะนำว่า ตอนนี้คุณอยู่ตรงไหน มีอะไรล้อมรอบที่น่าสนใจ ซึ่งมันประหลาดมาก เพราะมีภาษาตุรกีกับภาษาเกาหลี และอักษรเบรล!! แต่ไม่มีภาษาอังกฤษ ก็ได้แต่ร้อง อะไรวะเนี่ย 5555 พวกเราก็เลยเดินไปดู เพราะมันอยู่ใกล้ๆกันครับ

นี่คือตัวมัสยิดเมื่อมองจากภายนอกครับ ยิ่งใหญ่ตระการตา เชื้อเชิญให้เข้าไปสัมผัสเสียเหลือเกิน เอาจริงๆแค่ความยิ่งใหญ่ของตัวอาคารภายนอกมันก็ดูไม่ธรรมดาแล้วแหละ

ตัวอาคารใหญ่มากจริงๆครับ โดดเด่นเห็นแต่ไกล

พอไปถึง โอ้โห แม่เจ้าโว้ยยย นี่มันมัสยิดอะไร ทำไมสวยแบบนี้ บ้านเราไม่มีด้วยไงครับ ก็พากันถ่ายภาพกันยกใหญ่ แล้วก็เดินเข้าไปข้างใน ไปดูกันว่าข้างในมัสยิดนั้นจะเป็นแบบไหนนะ

พอไปเห็นสถาปัตยกรรมข้างในแล้ว อึ้งครับ สวยจริงๆ มันสวยแบบคลาสิค และเงียบสงบ เพราะแทบจะไม่มีคนเลย ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นมัสยิดที่สวยงามแบบนี้  ที่นี่เข้าชมฟรีด้วยครับ แต่ผู้หญิงต้องมีผ้าโพกศีรษะครับ

มัสยิดนี้คือมัสยิด Nuruosmaniye Mosque ครับ เป็นมัสยิดที่ได้สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 1 สั่งให้ดำเนินการก่อสร้างในปี 1749 แต่ว่าสุลล่านก็สิ้นพระชนม์ก่อนที่จะสร้างเสร็จ มัสยิดนี้สร้างเสร็จในปี 1755 ในช่วงการปกครองของออสมันที่ 3 และได้รับการตั้งชื่อว่า Nuruosmaniye ที่แปลว่า “แสงกว่าแห่งออสมัน” เนื่องมาจากการที่มีหน้าต่างจำนวนมากที่เปิดให้แสงส่องเข้ามาในมัสยิดครับ

ที่นี่มีการก่อสร้างที่มีโครงสร้างซับซ้อนอยู่ภายในตัวมัสยิดเอง คือมีทั้ง มาดราซ่า (โรงเรียนสอนศาสนา) ห้องครัว ลานน้ำพุ ห้องสมุด หลุมฝังศพ โดยมัสยิดนี้สร้างโดยสถาปนิคสองคนได้แค่ มุสตาฟาอากา และ ไซเมียนคาลฟ่า โครงสร้างนี้เป็นโครงสร้างที่เป็นตัวอย่างผลงานของสถาปัตยกรรมออตโตมันบาร็อคเนื่องจากองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมบาร็อค เช่นการตกแต่งที่อวดโดมขนาดใหญ่ ให้ความสำคัญกับแสงที่สอดส่องลงมา มีหน้าต่างหลายบาน เป็นต้น

ตามความหมายของ “แสงสว่างแห่งออสมัน” มัสยิดแห่งนี้มีหน้าต่างจำนวน 174 บานเลยครับ ทำให้แสงที่สอดส่องเข้ามาสว่างไสวไปทั่วภายในตัวอาคาร

ภายในโดมของมัสยิด Nuruosmaniye นั้นได้รับการตกแต่งด้วย “verse of light” จากอัลกุรอาน

มัสยิดนี้มีสิ่งที่แตกต่างจากมัสยิดออตโตมันอื่นๆ คือเสี้ยวที่อยู่ด้านบนของหออะซานของมัสยิด ทำจากหินแทนที่จะเป็นทองสัมฤทธิ์

มัสยิดแห่งนี้การตกแต่งภายนอกที่หรูหราและมีหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับแสงเข้าสู่ภายในตัวอาคาร เมื่อเราเดินเข้าไปข้างในก็ตะลึงกับการตกแต่งภายในที่เรียบง่ายแต่หรูหราเช่นเดียวกันครับ บอกไม่ถูกเหมือนกัน คือมันสวยอ่ะ เป็นการมาเจอมัสยิดแบบงงๆ แต่โดนใจเลยครับ ตอนนั้นผมคุยกันว่านี่ขนาดมัสยิดที่เราไม่รู้จักยังขนาดนี้  แล้วที่ดังๆจะขนาดไหน ตรงนี้ตั้งอยู่แถวสุลต่านอาเหม็ดเลยนะครับ มาง่ายมาก เปิดทุกวัน 09:00-18:00 น. ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมจ้า

พอดื่มด่ำกับเสร็จแล้วเราก็เดินกันไปยังจุดต่อไปครับ ที่พักของเราอยู่ในแถบ Sulatanahmed ซึ่งดีมาก เพราะใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ระยะทางคือเดินได้ครับ อากาศไม่ร้อนมาก (แต่แดดแรง) ตอนนั้นตั้งใจจะไปที่พิพิธภัณฑ์ Hagia Sophia แต่เห็นแถวยาวเหยียดแล้ว เลยเปลี่ยนแพลนไปพระราชวัง Topkapi แทนครับ

อย่างแรกเราต้องไปซื้อบัตรเข้าชมก่อน พวกผมใช้วิธีซื้อ Museum Pass 315 TL ใช้ได้ 15 วัน เข้าได้ที่ละครั้ง และใช้ในช่อง fast track ได้ด้วย ประหยัดเวลามาก คุ้มค่ามากครับสำหรับคนที่ชอบพิพิธภัณฑ์

Topkapi Palace Museum มีการเปิดให้เข้ามชม และมีบางจุดที่ห้ามถ่ายภาพครับ คือพวกแถบที่จัดแสดงเครื่องครัว เครื่องเรือน เครื่องใช้ครับ ไปเห็นแล้วก็อึ้งอีกครั้งกับความร่ำรวย อยากรวยแบบนี้บ้าง แค่เห็นกาน้ำชาก็หรูหรามากแล้วครับ 55

Topkapi Palace เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของของเมืองอิสตันบูลเลยครับ มีการเจริญและเสื่อมโทรมตามกาลเวลาและประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงสมัย ทุกวันนี้ที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดโอกาสให้คนเข้ามาสัมผัสว่าที่ที่ครั้งหนึ่งบรรดาเจ้าของจักรวรรดิเคยพักอยู่มันเป็นอย่างไร เราเข้าไปแล้วจะได้ได้ทำความรู้จักกับสุลต่านแห่งจักรวรรดิออตโตมันค่อนข้างใกล้ชิดผ่านแต่ละห้องที่มีการเปิดให้เข้าชมครับ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

พระราชวังนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1461 โดยสุลต่านเมห์เม็ตที่ 2 ที่แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นทั้งบ้านและสัญลักษณ์ทางการเมืองของจักรวรรดิ์ออตโตมัน จนกระทั่งยุคสมัยของสุลต่านอับดุล เมซิด ที่ 1 ได้ย้ายครอบครัวและข้าราชบริพารไปยังพระราชวัง Dolmabahce ในปี 1853 เท่ากับว่าในตลอดระยะเวลา 4 ศตวรรษ สถานที่นี้ทำหน้าที่เป็นที่พำนักให้กับสุลต่านถึง 22 พระองค์เลยครับ

ต่อมาก็ถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ครับ ภายหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมันและยุคการสร้างชาติสาธารณรัฐตุรกีในปี 1924

ภาพด้านบนนี้เป็นภาพของ “ช่องเพดาน” ครับ เค้าทำเป็นช่องๆ โปร่ง ให้อากาศถ่ายเทได้ แล้วตอนแสงส่องลงมา มันมีสีๆแบบดังภาพครับ ผมเลยถ่ายภาพมาฝากด้วย

ต้องบอกเลยว่าที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผมแนะนำว่าต้องมาดูให้ได้ครับ ข้างในมีสวนที่ประดับด้วยดอกไม้หลากสี สนามหญ้าสวยๆ มีนิทรรศการจัดแสดงเยอะด้วยครับ ไล่ตั้งแต่คลังอาหาร ห้องครัว คลังอาวุธ คอลเลคชั่นชุดชงกาแฟ ภาพวาด โอย เยอะแยะจริงๆครับ ก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะที่นึ่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่คนเข้าเยี่ยมชมเยอะสุดในอิสตันบูล ผมอ่านเจอมีเขียนว่าปีนึงคนเข้าประมาณ 3 ล้านคนครับ และแน่นอน คิวก็จะยาวด้วย ดังนั้นก็วางแผนดีๆเด้อ ใช้บัตร Museum Pass ประหยัดเวลาสุดครับ อิอิ

คือข้างในนี้มันมีห้องหับเยอะมากครับ เยอะจนแบบถ่ายภาพกันเพลินเลย ลวดลายที่ประดับประดาก็จะเป็นลายแบบดังภาพครับ งานกระเบื้อง งานพรม คือดีจริงอะไรจริง

ตามกฎของมุสลิมจะไม่อนุญาตให้ใช้ภาพคนหรือสัตว์มาประดับครับ ดังนั้นข้างในก็จะเป็นพวกงานกระเบื้องที่มีการประดับด้วยภาพพืช ดอกไม้ อย่างตรงนี้จริงๆมันคือโดมที่ใหญ่มากครับ แล้วเค้าก็วาดต้นองุ่นลงไป คือสวยมากๆ

นอกจากนี้ที่พระราชวังแห่งนี้ยังมี Harem ด้วยครับ ใช่แล้ว สถานที่ไว้บำเรอกามของสุลต่านนั่นเอง คือสุลต่านเค้าจะมีนางสนมเยอะมากครับ ตามตัวเลขที่ผมเห็น ในช่วงรัชสมัยของAbdülaziz (2404-1919) มีมากถึง 800 กว่าคนเลยครับ ว่ากันว่านางสนามเหล่านี้มักถูกนำมาจากจอร์เจียหรือคอเคซัสหรือไม่ก็ถูกจับในฮังการีโปแลนด์และเวนิส

บางคนบอกว่าการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมัน  ส่วนหนึ่งเนื่องจากความบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นกับน้องชายที่โชคร้ายของสุลต่านผู้ถูกกักขังในคุก (ตั้งอยู่ในส่วนฮาเร็ม) เพื่อป้องกันสงครามสืบราชบัลลังก์ เมื่อถึงตาของพวกเขาที่จะขึ้นครองบัลลังก์ หลายคนดูเหมือนจะคลุ้มคลั่งและเป็นบ้าจากการถูกจำคุกเป็นเวลาหลายปีและก็เลยถูกลอบสังหารในเวลาต่อมา

ที่นี่จะมีส่วนที่จัดแสดงผนังที่ประดับด้วยเพชร 86 ชิ้น ที่เป็นเพชรเม็ดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลกด้วยครับ แต่ผมไม่เห็นนะ เพราะเค้าปิดซ่อม 55 พลาดไป เสียดายเหมือนกัน สงสัยต้องได้กลับไปแก้ตัว อิอิ

ในฮาเร็มมีหลายห้องมากครับ ผมว่าใช้เวลาทั้งหมด ราวสองสามชั่วโมงได้เลย ถ้าคนชอบงานดีเทลก็น่าจะมากกว่านั้น

ในห้องสุดท้ายของฮาเร็ม คือผมตื่นตะลึงยิ่งขึ้นไปอีกครับ งานข้างในคือสวยมาก สวย สวย สวยยยยยยย ถ่ายภาพมาก็ไม่ได้อย่างตาเห็น แอบเสียดายอยู่เหมือนกันครับ

พอชมพิพิธภัณฑ์ที่นี่เสร็จ ผมก็บอกกับเพื่อนๆว่า เราไปชม Archeological Museum Istanbul กัน เพราะมันอยู่ติดกัน แต่ปรากฎว่ามันปิดแล้วครับ ก็เลยเดินลัดเลาะตามทางเดินมาเรื่อยๆ คือต้องบอกเลยว่าช่วงที่ผมไปอากาศมันดีมาก แม้แดดจะแรงแต่มันไม่ได้ร้อนไงคับ แล้วตอนนั้นเราก็เห็นสวนสาธารณะข้างๆ โอ้โหหห ทุ่งดอกไม้กำลังผลิบาน ดอกทิวลิปหลากสี เห็นแล้ว อดรีนาลีนไหลพลุ่งพล่าน

เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นดอกไฮยาซินธิ์ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นดอกทิวลิปสาระพัดสี ใครที่ชอบอ่านตำนานกรีกอาจจะผ่านหูผ่านตาเกี่ยวกับความเป็นมาของดอกไฮยาซินธิ์นะครับ เพราะมันคือดอกที่เกิดจากเทพอพอลโลสร้างจากชายคนรักของตัวเองที่เสียชีวิตในอ้อมกอด เป็นความเศร้าของอพอลโลจึงสร้างดอกนี้เพื่อรำลึกถึงชายคนรักของตัวเองครับ ตำนานเทพกริกโรมัน ความรักไม่แบ่งเพศนะครับ ดังนั้นเราจะเห็นว่ามีคู่รักแบบเพศเดียวกันเยอะมาก ไล่ตั้งแต่เทพเจ้าซุสลงมาเลย

ดอกเป็นพุ่มๆ สวยดีครับ และมันเยอะมาก เยอะแบบละลานตาครับ สวนนี้ อยู่ติดกับพระราชวัง Topkapi และพิพิธภัณฑ์ Archeological Museum Istanbul เป็นสวนสาธารณะที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองนี้ครับ

สวนแห่งนี้เป็นสวนที่มีขนาดใหญ่มาก ทอดตัวยาวลงไปยังทะเล เราสามารถเดินเล่นไปเรื่อยๆ แล้วก็จะเห็นชายทะเลที่ช่องแคบบอสฟอรัสครับ

Gülhane Park เคยเป็นส่วนหนึ่งของสวนด้านนอกของพระราชวัง Topkapı และส่วนใหญ่ประกอบด้วยป่าละเมาะ ส่วนหนึ่งของสวนด้านนอกได้รับการวางแผนให้เป็นสวนสาธารณะโดยเทศบาล . และเปิดให้สาธารณชนเข้าชมในปี 1912 สวนสาธารณะแห่งนี้มีพื้นที่สำหรับสันทนาการ มีสนามเด็กเล่นและอื่น ๆ มีรูป รูปปั้นAtatürk แห่งแรกในตุรกีด้วยครับ รูปปั้นถูกสร้างขึ้นในสวนสาธารณะในปี 1926 โดย Heinrich Krippel

ส่วนบรรดาดอกทิวลิปนั้นก็เยอะมากเหมือนกันครับ ตอนแรกไม่คิดว่าจะได้เห็นด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าทิวลิปคงร่วมหมดแล้ว แต่ที่ไหนได้ ที่สวนนี้ยังมีให้เห็นเพียบ เป็นพันเป็นหมื่นต้น หลากสีสัน อ้อ ทิวลิปมีต้นกำเนิดที่ตุรกีนะครับ ตอนนี้ทางรัฐบาลตุรกีเองก็พยายามที่จะประชาสัมพันธ์ให้คนรู้ เพื่อทวงคืนตำแหน่งทิวลิปกลับมา

ดอกทิวลิปสีเหลืองอร่าม แต่ละสีเหมือนมีความหมายด้วยครับ

นี่ก็ครั้งแรกที่เพิ่งเคยเห็นดอกทิวลิปสีนี้ครับ เหมือนสีกำมะหยี่คล้ำๆ

เราเห็นว่ามีคนมาที่สวนนี้ค่อนข้างเยอะพอสมควรครับ น่าจะเป็นสวนที่สวยที่สุดของอิสตันบูลนะครับ คนมาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์เบิกบาน บางคนก็มานอนอ่านหนังสือกัน

ทิวลิปสีชมพูก็สวยมากเหมือนกันครับ มีหลากสีจริงๆ

พอเราเดินสุดทางของสวนเราก็จะเห็นทางเชื่อมไปยังชายทะเลครับ ที่นี่ไม่มีชายหาดครับ ไปถึงปุ๊บ ก็ทะเลเลย แปลกดีครับ อีกฝั่งที่มองเห็นก็คนละทวีปแล้วนะครับ

อากาศที่นี่ก็เริ่มเย็นครับ เห็นแสงแดดแบบในภาพ อย่านึกว่าเพิ่งสี่ห้าโมงเย็นนะครับ นี่เกือบสองทุ่มแล้วจ้า มาเที่ยวช่วงนี้กำไรมากๆ เพราะกว่าพระอาทิตย์จะตกดินก็หลังสองทุ่มแล้วครับ ถ่ายภาพได้เพลินทั้งวัน

แถวนี้เราจะเห็นชาวตุรกีจูงคนรัก ลูก หลาน มาเดินเล่น และหลายคนก็มาตกปลาครับ

ตกปลาได้แล้ว ผมเห็นว่าเขาโยนให้แมวด้วย ที่นี่แมวเยอะมากๆ

น้ำทะเลสีเข้มมาก เข้มแบบไม่ต้องใช้ฟิลเตอร์ ไม่ต้องแต่งภาพใดๆ ส่วนคลื่นก็จะแรงๆหน่อยๆครับ

สาวๆบอกว่า หนุ่มตุรกีงานดี ดีจริงไหม ลองดูเองครับ จากที่ผมเห็น ผมรู้สึกว่าคนตุรกีมีความหลายหลายทางใบหน้าสูงมาก ส่วนใหญ่จะหน้าตาเป็นฝรั่งแต่ผมดำ บ้างก็เหมือนชาวอาหรับ บ้างก็คล้ายคนอินเดีย และหลายๆคนก็เหมือนคนเอเชียแบบจีนอะไรทำนองนี้ครับ

อ้อ มานี่คนจะทักพวกเราว่าเป็นคนจีน ไม่ก็ญี่ปุ่น ไม่ก็เกาหลี ผมเคยถาม เค้าบอกว่าเค้าแยกไม่ออก ก็คงเหมือนเราแยกฝรั่งไม่ออกว่าชาติไหนมั้ง มาที่นี่รู้สึกฮอตครับ ฮ่าๆๆๆๆๆ

อีกเรื่องที่ผมสังเกตที่นี่ครับ คือหาผู้หญิงตุรกียากมาก ที่เจอส่วนมากคือนักท่องเที่ยวครับ ไม่แน่ใจว่าเพราะกฎหมายมุสลิมหรือเปล่า แต่ก็ไหนบอกว่าเป็นประเทศมุสลิมที่ไม่เคร่ง แล้วผู้หญิงไปไหนหมด แทบจะไม่เคยเห็นผู้หญิงทำงานเลยครับ มานี่จะมีแต่ผู้ชายมาบริการเรา

ที่นี่แมวเยอะมากครับ เยอะแบบเยอะไปไหม แล้วผมก็ไม่รู้ว่าแมวมันสะอาดไหม มีเชื้อไหม แต่ก็เห็นบรรดาทาสๆทั้งหลายก็พากันวิ่งไปเล่นกับน้องแมวครับ แมวก็อ้วนพี เพราะคนตุรกีรักแมว ริมทะเลนี่เค้าตกปลาให้แมวกินจ้า

วันนี้เราทั้งสี่คนยังมีอาการเจ็ทแล็คกันอยู่บ้างครับ พระอาทิตย์ก็ตกดินช้าเสียเหลือเกิน ข้อเสียก็คือเราเดาเวลาไม่ถูกถ้าอิงแค่จากสภาพแสง ข้อดีคือ เราเที่ยวได้นานขึ้น และผมคิดว่าสำหรับบล็อกตอนนี้ผมขอจบการเล่าเรื่องของวันแรกก่อนละกันนะครับ ไม่งั้นมันจะยาวมหากาพย์อีก เดี๋ยวติดตามการเดินทางวันต่อไปครับ ขอบอกก่อนเลยว่า อิสตันบูลนะ สามสี่วันมันไม่พอหรอกครับ ผมชอบมากๆ แล้วเจอกันตอนต่อไปนะครับ

EN / FR

© Copyright BackpackStory.com.

Close