บาหลีอีกแล้วเหรอวะ? ทำไมกลับไปบ่อยจัง เวลาที่เพื่อนๆผมได้ยินว่าผมจะไปบาหลี หลายคนก็พากันถามแบบนี้ ผมได้แต่หัวเราะ เพราะเอาจริงๆแล้วบาหลีคือสถานที่แห่งเดียวที่ผมกลับไปเยือนซ้ำบ่อยมาก บาหลีเป็นมากกว่าแค่คำว่าเกาะท่องเที่ยวสำหรับผม แต่มันคือ ครอบครัว มันคือบ้านอีกหลังที่ผมกลับไปทีไร เหมือนได้ไปชาร์ตพลังชีวิตของตัวเอง
“สนจำไว้นะว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่สนว่าง อย่าลืมกลับมาเยี่ยมครอบครัวที่บาหลีนะ มาอยู่นานๆเลยก็ได้ ประตูบ้านทุกหลังเปิดต้อนรับสนอยู่เสมอ ถ้าเป็นไปได้กลับมาหาเราอย่างน้อยก็ปีละครั้งนะ” คำเชิญชวนของครอบครัวที่บาหลีบอกกับผมก่อนที่ผมจะบินกลับไทย เมื่อคราวก่อนนู้น
“ได้ครับ แล้วผมจะกลับมาหา จนกว่าทุกคนจะเบื่อผมเลยแหละ” ผมตอบกลับพร้อมกับโผเข้ากอดครอบครัวที่นั่นเพื่ออำลา
“เราไม่เบื่อแน่นอน สนไม่ใช่คนอื่นคนไกล อย่าลืมสิว่าสนคือลูกคนโตในครอบครัวเรา” นิกมัน คุณแม่ของน้องชายผมพูดขึ้นในภาษาบาหลี โดยมีน้องชายผมที่บาหลีคอยแปลให้
“ขอบคุณมากครับ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง รอผมนะ อีกหนึ่งปีผมจะกลับมาเยี่ยม”
บทสนทนาเหล่านั้น เกิดขึ้นเมือปีที่แล้วนี่เองครับ ไม่น่าเชื่อว่าเวลาหนึ่งปีมันจะผ่านพ้นไปเร็วเสียเหลือเกิน
1 สิงหาคม 2016
ผมนั่งมองตั๋วเครื่องบินในมือ เนี่ยผมกำลังจะบินกลับไปบาหลีอีกรอบแล้วนะครับเนี่ย ผมไปรอบที่เท่าไหร่แล้วนะ ช่างมันเหอะ ใจจริงผมอยากกลับไปบาหลีเดือนละครั้งเสียด้วยซ้ำ แต่เงินไม่ได้มีขนาดนั้นไง ปีละครั้งสองครั้งไปก่อนละกัน ฮ่าๆ
ผมกลับไปบาหลีรอบนี้ แรกเริ่มเดิมทีผมต้องการกลับไปเยี่ยมครอบครัวของผมที่บาหลีเท่านั้นครับ อารมณ์ไปนั่งๆนอนๆอยู่บ้าน ตื่นเช้ามาก็ไปเดินเล่นแถวท้องทุ่งนาขั้นบันได ออกไปหาอาหารอร่อยๆแถวตลาด แบกคอมไปนั่งทำงาน นั่งดูดน้ำมะพร้าวสดๆ อาห์ แค่คิด ก็ฟินเสียจริง
แต่ก่อนที่ผมจะเดินทางนั้น ผมได้โพสต์ลงในเฟสบุคส่วนตัวว่า ผมจะไปบาหลีนะ แล้วบังเอิญมีเพื่อนและรุ่นพี่สนใจอยากไปเที่ยวบาหลีพอดี เลยขอไปเที่ยวกับผมด้วย ผมก็เลยบอกว่าเดี๋ยวผมเป็นเพื่อนพาไปเที่ยวได้ แต่การเดินทางเที่ยวกับผม แน่นอนว่าผมไม่ใช่คนเที่ยวแนวเน้นเช็คอินครบทุกจุด ผมเป็นประเภทถ้าชอบที่ไหนก็แช่ได้เป็นวัน เพื่อนๆและพี่ๆก็บอกว่า นี่แหละอยากไปเที่ยวแบบบักสน ผมก็เลยโอเค และผมประสานงานกับน้องที่บาหลีที่อาสาพาเที่ยวบาหลีแบบคนท้องถิ่น เพื่อให้น้องเคาะราคาค่าบริการมาให้ หลังจากที่ทุกคนโอเคกับรูปแบบการเดินทางแล้ว ทริปการเดินทางไปบาหลีรอบนี้ของผมก็เริ่มต้นขึ้นครับ
การเดินทางจากกรุงเทพฯไปยังเกาะบาหลีน้ันใช้เวลา 4 ชั่วโมงครับ นั่งๆนอนๆ แป็บเดียวก็ถึงแล้ว เมื่อถึงสนามบิน น้องชายผมที่บาหลีก็มารับครับ เราเจอกันก็กอดกันตัวกลมเลย ครั้งนี้ผมเดินทางไปกับเพื่อนร่วมทริปสองท่าน คือพี่นางและน้องต้น (ป้าหลาน ผู้บินมาจากแดนอีสาน เพื่อไปจอยทริปร่วมกัน) สำหรับพี่นางนั้นเคยไปบาหลีมาแล้ว แต่ก็หลงรักมนต์เสน่ห์ของบาหลี เลยอยากกลับไปซ้ำ ส่วนน้องต้น เป็นทริปการออกเดินทางนอกประเทศครั้งแรกครับ
หากต้องการไปเที่ยวบาหลี หรือโซนอื่นในอินโดนีเซีย ให้แลกเงินเป็นเงินดอลลาร์ไปนะครับ อย่าแลกเงินไทยเป็นเงินรูเปีย ในกรณีที่แลกเยอะ เพราะเรตแลกเปลี่ยนที่เมืองไทยราคาโหดมาก น้องต้นแลกไป แทนที่จะได้ประมาณ 7 ล้านรูปีถ้าแลกเป็นเงินดอลลาร์ กลับได้แค่ 4 ล้านรูปีเองครับ ให้แลกเป็นเงินดอลลาร์แล้วไปแลกเป็นรูปีที่อินโดดีกว่า ที่บาหลี แถวอูบุดเรตจะดีกว่าสนามบินครับ ส่วนแถวคูต้าบีช ระวังร้านแลกเงินด้วยนะครับ บางร้านเขียนให้เรตดีมาก แต่ลูกเล่นแพรวพราว พยายามแลกในร้านที่ติดถนนใหญ่เข้าไว้ครับ
ในวันแรกของเรา พี่นางบอกกับผมว่า ทริปนี้พี่ขอให้สนเป็นผู้วางแผนการเดินทางทั้งหมด หากวันไหนเหนื่อยก็พักที่บ้าน ไม่ซีเรียส ผมก็เลยบอกว่างั้นวันแรกเราจะเริ่มต้นทริปด้วยการไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่วัดทานาล็อตกันดีกว่าเนาะ วัดนี้เป็นวัดที่มีชื่อเสียงของบาหลี เป็นวัดที่ตั้งอยู่กลางทะเล ยามน้ำขึ้นก็จะเป็นเกาะเลยทีเดียว แต่ยามน้ำลดเราก็สามารถเดินไปยังตัววัดได้ครับ แต่ไม่มีสิทธิ์เดินขึ้นไปนะครับ เพราะเค้าสงวนสิทธิ์ไว้ให้ชาวบาหลีที่มีพิธีกรรมเท่านั้น วัดนี้รายทางจะเต็มไปด้วยร้านค้า ราคาสินค้าก็มีทั้งถูกและแพง ผมไปทีไรเหมาะเสื้อมาใส่ทุกที เพราะราคาถูกมาก ตัวละ 40 บาทเท่านั้นเอง แถมคุณภาพดีด้วยครับ ส่วนใหญ่คนมาวัดนี้ยามเย็น เพราะมาดูพระอาทิตย์ตกดิน แต่ผมไม่ค่อยมีโชคเรื่องพระอาทิตย์ตกดินที่วันนี้ครับ มาทีไร ฟ้าก็ปิดตลอด
วันนี้ก็เช่นเดียวกันครับ ไม่มีบุญได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน แต่ผมไม่ได้ซีเรียส เพราะผมว่าวัดนี้มีเสน่ห์ตรงที่คลื่นทะเลที่สาดซัดเข้าปะทะกับแนวโขดหิน มันดูทรงพลัง และน่าเอามาเป็นฉากถ่ายรูปเสียเหลือเกิน ผู้คนที่มาเที่ยวที่นี่ก็ดูสนุกกับการถ่ายรูปกับคลื่นยักษ์ไม่แพ้กัน
การมาเที่ยวแลนด์สเคปก็แบบนี้แหละครับ เราไม่อาจจะคาดเดาได้ว่าเราจะเจออะไรบ้าง บางทีก็ฟ้าปิด บางทีก็ฝนตก ดังนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะต้องเข้าใจธรรมชาติครับ และเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ อย่างพวกผมแม้ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกดินที่เขาร่ำลือ แต่การได้ดูวิถีชีวิต การได้ถ่ายภาพกับคลื่นสวยๆเหล่านี้ผมว่ามันก็คุ้มแล้วนะ
พี่นางกับน้องต้นดูสนุกกันมาก พี่นางบอกว่าแม้จะเคยมาวัดนี้ แต่มาเยือนถึงแค่ที่ตรงตัววัด ผมบอกไปว่า พี่นาง มันยังมีอีกนะครับ วัดนี้ไม่ได้มีให้ดูแค่วัดนี้วัดเดียว พูดแล้วผมเลยพาทั้งคู่เดินตรงไปขึ้นไปยังหน้าผาที่มีวัดอยู่ลิบๆ ที่นี่พอพระอาทิตย์ตกดิน จะมีฝูงค้างคาวบินออกมาให้ว่อนเลยทีเดียว
วันนี้ทะเลคลื่นแรงเสียเหลือเกิน จนทำให้บรรดาการ์ดที่นี่พากันเป่านกหวีดเรียกให้นักท่องเที่ยวถอยออกจากริมชายทะเล เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตราย อย่างที่เคยบอกไปครับว่าคลื่นที่นี่แรงมาก พัดมาทีนี่บางทีก็แอบสะพรึงว่ามันคือคลื่นขนาดปกติ หรือว่าคลื่นสีนามิ? ฮ่าๆ
2 สิงหาคม 2016
เช้านี้เราตื่นขึ้นมา พร้อมกับรับประทานอาหารเช้าอันขึ้นชื่อของชาวบาหลี นั่นก็คือบาบีกูลิง ใครที่ไปบาหลีไม่อยากให้พลาดเลยครับ แต่ก็ต้องเลือกร้านดีๆด้วยนะครับ บางร้านก็รสชาติไม่อร่อยเสียเลย ผมเจอมาแล้วแถวอูบุด ราคาแพงมาก แต่รสชาตินี่อยากร้องไห้ ปีที่แล้วร้านที่ทำอร่อยมากเป็นร้านที่ขายอยู่หน้าบ้านครอบครัวผมที่บาหลีครับ แต่ปีนี้เหมือนกับว่าเขาหมดสัญญาเช่าพื้นที่เลยย้ายไปขายแถวอื่น เจ้าใหม่ที่มาเช่าที่แทนก็ทำไม่อร่อยเหมือนเจ้าเก่า ผมละเสียดายจริงๆ
วันที่สองของการเดินทาง ผมเลือกสถานที่ที่อยากไปคือวัดทัมมันอยุน มรดกโลกที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงค์เม็งวี วัดแห่งนี้เป็นวัดที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของพวกเราด้วย วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส เหมาะกับการออกไปรับอากาศบริสุทธิ์และถ่ายรูปกันเพลินๆ สำหรับเรื่องประวัติต่างๆของวัดนั้น สามารถที่จะหาอ่านได้จาก Google ครับ และผมก็เคยพูดถึงวัดนี้ไปหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เลยจะเน้นการเล่าเรื่องอื่นแทนละกันนะครับ
วันนี้นักท่องเที่ยวบางตาครับ ทั้งๆที่เป็นช่วงพีคซีซั่นของบาหลี แต่ผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะมันยังเช้ามากๆอยู่ก็เป็นไปได้ มาเที่ยวที่บาหลี ถ้าเที่ยวแบบเต็มที่แบบได้ดื่มด่ำและซีมซับ หนึ่งวันจะได้แค่ประมาณ 3-4 ที่ครับ เพราะการเดินทางยังลำบาก รถก็ติดด้วยในย่านอูบุด ต้องประเมินเวลาให้ดีๆนะครับ
ผู้คนที่บาหลีนี่ส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู นับถือทั้งเทพเจ้าและผีสาง เขาเชื่อว่าโลกใบนี้ประกอบไปด้วยทั้งสิ่งดีและสิ่งไม่ดี ไม่มีอะไรสมบูรณ์ไปเสียทั้งหมด เปรียบดั่งหยินและหยาง มีขาวมีดำมีเทา พิธีกรรมที่เราเห็นบางครั้งก็เป็นพิธีไหว้เจ้า บางทีก็เป็นพิธีไหว้ผี
หนึ่งในพิธีกรรมที่มีผีสางมารร้ายมาเกี่ยวข้องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จะจัดขึ้นในเดือนมีนาคมครับ หนุ่มน้อยวัยรุ่นอายุไม่น่าจะเกิน 18 ปีทั้งหลาย จะพากันมารวมตัวกันเพื่อ “สร้าง” หุ่นผีขึ้นมา เราเรียกมันว่า “โอโกะ โอโกะ” หุ่นผีตัวนี้คือตัวแทนของมารร้าย ผีสาง ปีศาจ ที่เป็นฝ่ายอธรรมคอยต่อสู้กับบรรดาเทพเจ้าของพวกเขา หุ่นที่ว่ามีขนาดใหญ่โตมาก ผมเองเห็นฝืมือของเด็กน้อยเหล่านี้แล้วได้แต่ร้องโอ้โห ลงสี วางอนาโตมีได้เป๊ะสุดๆ
เมื่อถึงวันเฉลิมฉลอง ทั่วทั้งเกาะบาหลีจะพากันแห่หุ่นผีของแต่ละชุมชนไปทั่วทั้งเกาะ มีการแสดง มีการโบกหุ่นผีเหล่านี้ และสุดท้าย หุ่นผีเหล่านี้ก็จะถูก “เผาทิ้ง” อันเป็นสัญลักษณ์ของความ “พ่ายแพ้ของสิ่งชั่วร้าย” ดั่งที่ชาวบาหลีเชื่อว่าสุดท้ายแล้วธรรมะก็จะชนะอธรรม
แต่พิธีกรรมที่ว่า มีการจัดเพียงแค่ครั้งเดียวในแต่ละปี ถ้าใครที่ไปช่วงอื่นก็ไม่สามารถพบเห็นได้อย่างแน่นอน แต่ไม่เป็นไรครับ เพราะที่บาหลีมี “พิพิธภัณฑ์โอโกะ โอโกะ” ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัด Taman Ayun สามารถเดินไปได้ไม่ถึงสิบนาที
ข้างในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เต็มไปด้วยหุ่น OGOH OGOH ที่อลังการงานสร้างสุดๆ เพราะเป็นหุ่นที่ผ่านการคัดเลือกมาจัดแสดง แต่ละหุ่นจะมีเรื่องราวประกอบ ใครที่สนใจอยากจะเรียนรู้เรื่องราวผีๆ หรือเรื่องมารแต่ละตัวในทางความเชื่อของชาวบาหลี ไม่ควรพลาดเด็ดขาดครับ ผมอยากให้ไปดูพิพิธภัณฑ์นี้กันนะครับ
น้องที่บาหลีบอกผมว่า คนบาหลีไม่กลัวคนตายนะ เพราะถ้าหมายถึงคนตายนั้น เขามองว่าคือญาติพี่น้องของตัวเองที่เสียชีวิต และสุดท้ายวิญญาณของผู้ตายจะกลับไปอยู่รวมกับพระเจ้า แต่สิ่งที่พวกเขากลัวกันคือ มนต์ดำ คุณไสย์ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นอวิชชา คนบาหลีมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์มากเลยครับ ผมจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งผมไปเที่ยวในป่า มันดูสงบจนถึงขั้นวังเวง ผมไปกับน้องสองคน ผมถามน้องว่า ทำไมที่นี่มันดูเงียบแปลกๆ แถมวัดที่ตั้งอยู่ตรงนี้ก็ดูวังเวงจัง น้องบอกว่า อ๋อที่แห่งนี้คือป่าช้าครับพี่ เราไว้เผาศพคนตาย … ครับ ป่าช้า!! ผมถามต่อว่าน้องไม่กลัวเหรอ น้องบอกว่ากลัวทำไมพี่ ตรงนี้คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้ามากลางคืนชาวบาหลีก็จะกลัว แต่เป็นกลัวมนต์ดำนะครับไม่ใช่ผี ผมได้แต่พยักหน้า ผมก็ไม่ได้กลัวผีขนาดนั้นหรอกนะครับ แค่มันสัมผัสได้ถึงความวังเวง ที่ทั้งป่ามีแค่เราสองคน และมีวัดตั้งอยู่โดดเดี่ยว ฮ่าๆ
พวกเราทั้งสามคนต่างยืนทึ่งอยู่กับความสามารถในการประดิษฐ์ประดอยหุ่น Ogoh Ogoh ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ และยิ่งได้เห็นวีดีโอพิธีกรรมแล้วยิ่งทึ่งเข้าไปอีก หุ่นแต่ละตัวผ่านการใช้งานมาแล้วทั้งนั้น และมันก็ยังแข็งแรงดีมากเลย มีรอยบุบสลายไปเพียงเล็กน้อย สื่อให้เห็นถึงความมุ่งมั่นเอาใจใส่ในงานแต่ละชิ้นมากๆ
หลังจากที่เรารู้สึกอิ่มกับความมหัศจรรย์ในการสร้างสรรค์งานศิลปะของคนรุ่นใหม่แล้ว ก็ได้เวลาเดินทางไปยังเป้าหมายถัดไปของพวกเราครับ โดยสถานที่หน้าจะเป็นวัดที่โดดเด่นมาก ถึงกับได้ขึ้นธนบัตรใบละ 50,000 ของพวกเขาเลยทีเดียวนะครับ วัดที่ว่าชื่อว่าวัด ดานู เบอราตัน เบดูกุล ครับ
วัดนี้เป็นวัดที่อยู่บนภูเขาสูงมาก อากาศระหว่างทางก็เย็นสบาย บรรยากาศภายในวัดก็เป็นแบบวัดที่อยู่ในทะเลสาบครับ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นมาเพื่อบูชาดานูเทวี เทพแห่งทะเลสาบ
เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของวัดในบาหลีก็คือ “หลังคา” ครับ หลังคาของวัดจะทำมาจากหญ้าอลังอลัง ปูซ้อนทับกันหลายๆชั้นๆ จำนวนชั้นของหลังคาจะเป็นเลขที่ ยิ่งจำนวนมากยิ่งหมายถึงมีไว้บูชาเทพเจ้าระดับสูง วัดแห่งนี้มีหลังคา 11 ชั้น ซึ่งเป็นชั้นมากสุดแล้วครับ
ในพื้นที่ข้างๆผมก็เห็นกับสิ่งนี้ครับ “สถูป” เย้ย นี่มันของพุทธนี่นา ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ จริงๆด้วย! ข้างในเป็นพระพุทธรูปครับ
สถานที่แนะนำให้ไปเยือนถ้ามาแถววัดเบเดกุล ก็คือ Big Gate ครับ นั่งรถไปแค่ประมาณห้านาทีเอง ที่นี่อากาศดีมาก วิวหลังประตูนี้ก็สวยมาก
3 สิงหาคม 2016
มาบาหลี ควรได้เข้าร่วมพิธีกรรมกับเค้าบ้าง หนึ่งในพิธีกรรมที่เข้าร่วมง่ายที่สุดก็คือ “การอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ชำระร่างกาย” ครับ คนบาหลีเรียกว่า เซบาตู (SEBATU) ซึ่งก็มีหลายแห่งในบาหลี ครั้งนี้ผมจะไปอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่วัดเซบาตู ที่มีน้ำตกคับ เหตุผลที่เลือกเพราะว่า คนน้อย และวิวสวยด้วย แต่ปรากฎว่าวันนี้คนเยอะมาก เพราะเป็นวันดีของชาวบาหลี ชาวบาหลีจึงไปอาบน้ำกันเพียบ เรายืนต่อคิวกันนานเลย น้ำเย็นเจี๊ยบ
น้องที่บาหลีบอกว่า ชาวบาหลีจะมาอาบน้ำแบบนี้ในวันดีๆของตัวเอง เช่น วันเกิด วันเพ็ญ บลาๆ ซึ่งผมว่า บางทีก็เหมือนอยู่ที่เรานะ ถ้าเรามองว่าทุกวันเป็นวันดี เราก็ไปอาบก็ได้ครับ ฮ่าๆ ก่อนจะทำการอาบน้ำ เราต้องทำพิธีไหว้พระเจ้าก่อน ด้วยการเตรียมกระทงดอกไม้ (เรียกว่าบันทัน) และธูปคนละดอกครับ
ขั้นการตอนทำพิธีไหว้พระเจ้าก่อนลงไปชำระล้างจะเริ่มต้นด้วยการจุดธูปหนึ่งดอกวางไว้ข้างหน้าตัวเองแล้ว แล้วเอามือลูปกันเหนือควันธูปครับ เป็นสัญลักษณ์ของการชำระมือของเรา จากนั้นกวักควันธูปเข้าหาหน้าเราสามรอบ สื่อถึงการชำระร่างกายด้วยไฟ เสร็จแล้ว ประนมมือเหนือศีรษะครับ แล้วก็อธิษฐาน เสร็จแล้วหยิบดอกไม้มาวางไว้ระหว่างนิ้วชี้ แล้วก็ประนมเหนือศีรษะและอธิษฐาน จากนั้นก็เอาดอกไม้นั้นทิ้งไป แล้วก็เอาดอกใหม่มาประนมอีก พร้อมกับอธิษฐานเช่นเดิม เสร็จแล้วก็ทิ้งดอกไม้ และหยิบดอกใหม่มา ทำเหมือนเดิมครับ แต่รอบนี้จะไม่ทิ้งดอกไม้นะครับ พอขออธิษฐานเสร็จ เราจะเอาดอกไม้รอบสุดท้ายนั้นทัดหูครับ บางคนก็ทัดตรงผม เสร็จแล้วประนมมืออธิษฐานด้วยมือเปล่าอีกครั้ง เป็นอันเสร็จสิ้นการไหว้พระ แล้วเราก็เปลี่ยนชุดเตรียมลงไปชำระร่างกายในน้ำได้เลย
วัดที่ผมมานี้นักท่องเที่ยวมาน้อยครับ เพราะค่อนข้างไกล ส่วนมากจะมีแต่ชาวบาหลี และวัดนี้เราต้องอาศัยการเดินลงบันไดไต่เขาไปเรื่อยๆครับ หลายขั้นมาก ถ้าใครร่างกายไม่ฟิตเรียกได้ว่ามีหอบขึ้นเลยแหละ แต่วิวระหว่างทางผมก็ว่าสวยดีนะครับ มีการแกะสลักหินข้างๆเป็นรูปต่างๆ ดูเพลินดี
ถัดจากวัดนั้น ก็มาวัดนี้ครับ อยู่ไม่ไกลกันเลย นั่งรถแป็บเดียว ชื่อว่าวัด Gunung Kawi temple ครับ เป็นวัดที่ให้เรามาอาบน้ำได้ด้วย อาบแบบใช้สบู่ ยาสระผมนี่แหละคับ และน้ำที่ไหลลงมา ชาวบ้านก็มากรอกไปกินไปใช้ด้วย เจ่งสุดๆ น้ำเย็นมาก วัดแห่งนี้เงียบสงบสุดๆ ผมเข้าไปแล้วรู้สึกว่าน่าจะเหมาะกับการไปนั่งทำสมาธิ น้องที่บาหลีบอกว่า วัดนี้นักบวชมานั่งสมาธิจริงๆ เพราะทำเลให้เป็นจุดที่สงบร่มเย็น
มาบาหลี บางทีเห็นชาวบาหลีแก้ผ้าอาบน้ำก็อย่าตกใจนะครับ ชาวบาหลีมองว่าการแก้ผ้าอาบน้ำเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เป็นการโป๊เลย แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นแก้ผ้าอาบกันก็จะเป็นเด็กๆกับผู้สูงวัยครับ วัยรุ่น ส่วนมากผมเห็นมีแต่ผู้ชายแก้ผ้านะ เวลาไปเล่นน้ำตก ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงแก้ผ้าเลย ฮ่าๆ
วัดกูนุงกาวี เป็นวัดที่น้ำข้างในใสมากๆ มีปลาเลี้ยงในนั้นด้วยครับ และสถาปัตยกรรมที่นี่ก็สวยไม่แพ้วัดอื่นๆเลย โดยส่วนตัวผมชอบวัดนี้นะครับ ผมว่ามันสงบเงียบดี ไม่เหมือนวัดดังๆหลายๆแห่งที่ไปแล้วเจอแต่คน
5 สิงหาคม 2016
เมื่อวานนี้พวกเราทั้งสามนอนพักผ่อนกันอยู่ที่บ้านครับ ไม่ได้ออกไปไหน เพราะสภาพอากาศไม่เต็มใจ ตอนแรกว่าจะไปวัด Uluwatu กัน แต่ฟ้าครึ้มมาเสียก่อน ก็เลยเอาวะ พากันกินๆนอนๆ อยู่ห้อง ฝึกโยคะกันสนุกสนาน น้องต้นก็นั่งเล่นเกมส์ไปกับน้องที่บาหลี พอวันรุ่งขึ้น วันนี้เราจะออกไปยังวัดเบซากิห์ Mother Temple ของชาวบาหลีกันครับ มาบาหลี หัวเด็ดตีนขาด ก็ไม่ควรพลาดที่จะไปเยือนวัดนี้ เพราะสวยมาก มีวัดรายล้อมเยอะมาก และเป็นวัดที่สำคัญที่สุดของชาวบาหลี ผมแนะนำให้มีไกด์เล่าเรื่องด้วยจะฟินมากครับ เพราะแต่ละวัดที่อยู่รายล้อมจะเป็นวัดประจำวรรณะของแต่ละคน ชาวบาหลีมีวรรณะย่อยๆเยอะมาก ผมก็จำไม่ไหวครับ
วันนี้อากาศเป็นใจมากครับ คงสงสารที่เมื่อวานเราไม่ได้ออกไปไหน ฟ้าเปิดสวยงาม ใครจะไปวัดนี้ให้รีบออกไปตั้งแต่เช้านะครับ เพราะระยะทางค่อนข้างไกล และมีการขับรถขึ้นเขาด้วย ผมใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าจะไปถึง วิวระหว่างทางสวยสุดยอด ขนาดผมเคยมาแล้ว ยังตื่นเต้นไม่หาย
วันนี้คณะของเราเป็นกลุ่มใหญ่ครับ เพราะมีน้องชาวอินโด พอรู้ว่าพวกเรามาบาหลี ก็อยากมาสมทบพากันนั่งเครื่องมาจอยทริปวันนี้ เป็นวันที่ครึกครื้นกันมากเลย และที่วัดเบซากิห์ คนก็ไม่พลุกพล่านด้วยครับ ดีงามพระรามแปด
สารภาพว่า แม้ว่าผมจะเคยมาวัดนี้หลายครั้งมาก แต่ผมก็ไม่เคยดูครบทุกวัดหรอกครับ มันเยอะมาก เยอะเสียจนดูไปเรื่อยๆ จะเริ่มคิดว่า พอแล้วมั้ง ฮ่าๆ แต่ใครที่ยังไม่เคยมา ผมแนะนำว่าให้เดินให้ทั่วครับ เดินไปให้ถึงจุดสูงสุดของวัดเลยนะครับ เพราะวัดที่จุดสูงสุดมันสวยมากๆๆ
วัดเบซากิห์ ตั้งอยู่บนเชิงภูเขาไฟกูนุงครับ ว่ากันว่าตอนที่ภูเขาไฟระเบิด ลาวาก็วิ่งลงมาทำลายร้างทุกอย่างที่ขวางกั้น แต่มันกลับมาหยุดอยู่ที่หน้าวัดแห่งนี้ครับ ชาวบาหลีก็ยิ่งกรี๊ดบอกว่านี่คือวัดศักดิ์สิทธิ์ของจริง ยิ่งศรัทธากันมากขึ้น
พวกเราดื่มด่ำกันจนได้เวลาอันสมควรเราก็พากันไปยังสถานที่ต่อไปคือ Batur Natural Hot Spring ครับ ผมแนะนำให้ไปอีกนั่นแหละ ถ้ามีเวลาพอ เพราะมันอยู่เส้นทางเดียวกัน อยู่ห่างจากวัดนี้ประมาณ 40 นาทีครับ วิวระหว่างทางก็สวยไม่แพ้กัน ต้องไปให้ได้ แต่พอไปถึงปรากฎว่าฝนตกหนักมาก! น้องๆพากันมองหน้ากันแล้วถามว่าจะลงไปเล่นน้ำร้อนดีไหมนะ ผมก็บอกไปว่า คือลงไปเหอะ เพราะยังไงมันก็เปียกอยู่แล้ว อย่าคิดมาก น้องๆจึงพากันลงไปแช่น้ำร้อนธรรมชาติ ในขณะที่ผม นั่งเฝ้าของให้ เพราะผมไม่อยากลงไปครับ ไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน อิอิ (จริงๆเคยไปมาหลายครั้งแล้วด้วย และรอบนี้ไม่อยากตัวเปียก)
ครั้นเมื่อทุกคนเล่นน้ำเสร็จ สักพักฝนก็หยุดครับ คือมันช่างเป็นใจมาก พอฝนหยุด ทะเลสาบเบื้องหน้าก็ปรากฎสิ่งอัศจรรย์ขึ้นมาครับ สายรุ้งทอดตัวลงไปยังท้องทะเลสาบเบื้องหน้า มันสวยมาก!! รุ้งอยู่ใกล้มาก พวกเราตื่นเต้นกันใหญ่ พากันหยิบทุกอย่างที่ถ่ายภาพได้มาบันทึกโมเมนต์นั้น โอย ฟิน ฟิน ฟินนนนน
ด้วยความที่พื้นที่แห่งนี้มันอยู่บนยอดเขา พอหลังฝนตก ละอองหมอกทั้งหลายก็เริ่มสำแดงเดช เผยความงดงามขึ้นเรื่อยๆ เห็นแล้วต่างพากันกรี๊ด มันสวยสุดยอดจริงๆครับ เป็นทริปที่ฮือฮากันตลอดทาง มองทางซ้ายก็สวย ทางขวาก็สวย ยิ่งยามอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า โอย แสงสีทองส่องกับต้นไม้สีเขียว มีหมอกสีขาวล่องลอยประดับผืนป่า เห็นแล้วชื่นใจเสียเหลือเกิน
ยังครับ ยังไม่หมดความฟิน อย่างที่ผมบอกไปว่าเส้นทางระหว่างไปยังบ่อน้ำร้อนธรรมชาติมันสวยมาก พอตอนกลับเราเลยหยุดพักถ่ายรุปกัน เบื้องหน้าคือภูเขาที่ทอดตัวยาว มีเมฆลอยหนาตา ซ้ายขวาคือทุ่งหินที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นสุดๆ ยิ่งพอแสงยามเย็นปะทะนะครับ มันอย่างกะสวรรค์เลยแหละ ผมบอกน้องที่ขับรถว่า จอดดดด จะลงไปถ่ายรูปก่อน น้องหัวเราะ แล้วบอกว่า โอเคๆ รีบๆไปรีบๆกลับนะพี่ เดี๋ยวจะดึกเสียก่อน
ความรู้สึกในตอนนั้นมันอิ่มเอบใจอย่างบอกไม่ถูก ผมเป็นคนบ้าท้องฟ้าอยู่เป็นทุนเดิม แล้วดูสิครับ เบื้องหน้าคือท้องฟ้าแบบพาโนราม่า โอย สวย ชอบมาก
มีน้องหมาด้วย ผมเลยขอเก็บภาพน้องหมาให้มาเป็นแบบซะเลย พี่นางที่มาด้วยกันบอกว่า มันสุดยอดจริงๆน้องสน ทั้งฟ้า ทั้งภูเขา ทั้งทะเล วันนี้คือฟินเหลือหลาย ข้อยบ่อยากเมือบ้านเลยเด้!!
การได้เห็นเพื่อนร่วมทางมีความสุข ผมก็มีความสุขไปด้วยครับ รู้สึกว่ามีพลังในการใช้ชีวิต การได้ไปเที่ยวแบบนี้ก็ดีนะครับ เหมือนได้พักผ่อนไปในตัว อย่างพี่นางนั้นเป็นนางพยาบาล งานโรงพยาบาลก็หาวันลายาวๆยากครับ แต่พี่นางก็บอกว่าถ้าเราตั้งใจจริงๆ วางแผนให้ดี ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ อยู่ที่เราจะบริหารเวลาชีวิตอย่างไรเสียมากกว่า
พอถึงวันที่ 6 สิงหาคม พี่นางกับน้องต้นก็ร่ำลาบาหลี โบยบินสู่เมืองไทยครับ ผมไปส่งที่สนามบิน จากนั้นผมก็จะอยู่บาหลีเพียงลำพังไปอีกระยะเวลาหนึ่ง เพื่อรอนักท่องเที่ยวกลุ่มต่อมามาสมทบใหม่ ระหว่างนี้ผมก็ถามน้องที่บาหลีว่า ผมเคยดูหนังเรื่อง Eat Pray Love แล้วมันจะมีฉากที่นางเอกขี่จักรยานในป่ามะพร้าว มันสวยมากๆ น้องพอจะรู้ไหมว่าเขาใช้ที่ไหนถ่ายทำ น้องบอกว่า พี่ครับ บาหลีมันใหญ่มากนะ ผมไม่รู้หรอก ฮ่าๆ แต่ถ้าพี่อยากหาโลเคชั่นที่มีต้นมะพร้าวเยอะๆ และสวยๆ ผมรู้จัก มันไม่ไกลจากบ้านเราเลย ผมว่าสวยกว่าในหนังด้วยซ้ำ พี่อยากไปไหม คิดว่าผมจะปฏิเสธหรือครับ? ผมไม่รีรอที่จะไปเยือน เราเลยนั่งมอไซด์กันไปเพราะมันก็ไม่ไกลจากบ้านพวกเรามาก
เมื่อผมได้เห็นดงมะพร้าวที่ว่า ผมได้แต่อุทานว่า โอ้ มาย ก็อตตตตต เน็สสสสสสสส มันสวยมากกกก ฝั่งหนึ่งนั้นต้นมะพร้าวตั้งตรงสูงตระหง่าน แต่อีกฝั่งกลับเบนลำต้นออกมาด้านข้าง ผมชอบมากๆ ดงมะพร้าวนี่แหละครับ ที่มันต้องผ่านป่าช้าเข้าไป ฮ่าๆ แต่มันก็สงบจริงๆ
การได้ออกเดินทางช่วยให้เราได้เรียนรู้โลกกว้าง เป็นประสบการณ์ที่ดีในชีวิตครับ เพราะสิ่งที่ได้กลับมามันคือประสบการณ์และความทรงจำที่เราไม่มีวันลืม สำหรับตัวผมผมมองว่าการเดินทางเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้มีการได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ทุกครั้งที่เราได้ออกไปยังที่ใหม่ๆ เราจะได้เห็นเรื่องราวที่เราอาจจะไม่เคยคิดมาก่อน มันยิ่งกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นของเรามากขึ้น อย่างทริปนี้ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมพิธี “หลังความตาย” ที่จัดตอนเที่ยงคืนถึงตีสอง ผมได้เห็นวิถีชีวิตอีกแบบของเพื่อนร่วมโลก ผมว่ามันทรงคุณค่ามากเลยนะครับ
ไม่รู้ว่าเพื่อนๆจะเป็นเหมือนผมไหมนะครับ ที่รู้สึกว่าสิ่งที่จำแม่นที่สุดก็คือบรรดาเรื่องราวระหว่างการเดินทางนีแหละครับ มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นาน ยิ่งประกอบกับเห็นภาพที่เราถ่ายมา เรื่องราวในวันนั้นมันก็ยิ่งชัดเจนประหนึ่งนั่งดูหนังย้อนหลัง ภาพด้านบนนั้นเป็นภาพน้ำตกที่อยู่แถวอูบุดครับ เป็นอีกหนึ่งจุดที่คนนิยมไปกัน อย่างที่บอกครับว่ามาบาหลี เที่ยวเกาะเดียว ได้เห็นครบเลย เดี๋ยวตอนหน้าผมจะพาไปเที่ยวในอีกรูปแบบครับ เพราะตอนนี้รู้สึกว่ามันยาวมากเหลือเกิน ฮ่าๆ
สำหรับใครที่อยากจะไปเที่ยวบาหลี แบบไปกันเองกรุ๊ปส่วนตัว หรือไปคนเดียวแล้วอยากมีเพื่อนคนบาหลีพาไปเที่ยว มีบริการขับรถพาเที่ยวหรือแวนซ์มอไซต์ ก็สามารถติดต่อน้องผมที่บาหลีได้นะครับ อย่างทริปนี้ก็ใช้บริการน้องนี่แหละครับให้เป็นคนขับรถพาไปยังสถานที่ต่างๆ สำหรับเว็บไซต์ติดต่อคือ familybali.com ครับผม แนะนำโดยบักสน ฮ่าๆ หรือจะติดต่อผ่านอีเมลผมก็ได้ครับที่ [email protected] ผมสามารถให้คำแนะนำการเดินทางได้ แต่ค่าบริการไปจ่ายกับน้องเองที่นั่นนะครับ ผมแค่ช่วยแนะนำเฉยๆ 🙂
ระหว่างนี้หากใครสนใจข้อมูลการเดินทาง ก็สามารถแชทมาถามหรือเมนต์ถามผมได้เลยนะครับ ผมยินดีตอบทุกคำถาม (ถ้าผมรู้ ส่วนอันไหนที่ไม่รู้ผมจะถามน้องที่บาหลีให้) เที่ยวบาหลีเองไปไม่ยากครับ มีหลากหลายรูปแบบให้เราเลือกเที่ยว และที่สำคัญ มันไม่ได้แพงเลยครับ แล้วเจอกันใหม่คร้าบ