กลับมาพบกันอีกแล้วนะคร้าบ กับบันทึกการเดินทางของบักสน วันนี้ผมเขียนสดๆร้อนจากเมืองกระบี่ครับ จริงๆผมเพิ่งกลับมาจากเมืองจีน แต่ก็นะครับ รูปในทริปเมืองจีนมันเยอะมาก และตอนอยู่จีนก็เน็ตเข้าเฟส เข้าอะไรลำบาก เลยคิดว่าเดี๋ยวขอเวลาเตรียมข้อมูลอีกสักหน่อย เลยแทรกด้วยทริปกระบี่ก่อนดีกว่า
ทริปนี้ผมได้รับการติดต่อจากพี่ที่เกาะลันตาครับ ถามว่า น้องสน สนใจอยากเที่ยวกระบี่ไหม? ผมเองก็ชอบบรรยากาศทะเลของจังหวัดกระบี่อยู่แล้ว เลยตอบไปว่า สนใจครับ พี่เค้าก็เลยบอกว่า งั้นมาเที่ยวเลย เดี๋ยวพี่อำนวยความสะดวกเอง เอาแค่ชีวิตมาให้ถึงกระบี่ก็พอ นั่นแหละฮะ ทริปนี้ก็เลยเกิดขึ้นแบบกลับจากจีนปุ๊บ มากระบี่ปั๊บ ฮ่าๆ
ผมเดินทางด้วยสายการบินไทยไลออนแอร์ครับมายังตัวเมืองกระบี่ ใช้เวลาเดินทางหนึ่งชั่วโมง ผมว่าสายการบินนี้ราคาถูกมากเลยนะครับ (แต่รอบนี้ผมมาฟรี) เสียอย่างเดียวคือที่นั่งค่อนข้างแคบครับ คนตัวเล็กแบบผมอาจจะไม่มีผลมากนัก แต่บรรดาฝรั่งทั้งหลายนี่ขาชนเบาะข้างหน้าเลย น่าสงสาร
พอมาถึงที่สนามบินกระบี่ บังจากลันตาทูเดย์ ก็มารับผมที่สนามบินครับ ชูป้าย น้องสน อยู่ตรงทางออก ผมก็เดินเข้าไปไหว้ทักทาย แล้วเราก็นั่งรถตู้กันไปยังที่พักก่อน โดยอยู่ที่อ่าวนางครับ ห่างจากตัวสนามบินราว 40 นาที
เราก็ทำความรู้จักกับกันก่อน บังพูดคุยสนุกครับ เล่าเรื่องราวในกระบี่ให้ฟังคร่าวๆ พอมาถึงโรงแรม Andaman Pearl Resort ผมก็เช็คอินและเข้าห้องพัก โรงแรมนี้วิวสวยมากๆเลยครับ มองเห็นหน้าผาของภูเขา มีสระว่ายน้ำด้วย ห้องพักก็ดีเลยทีเดียว แต่ก็มีข้อเสียนิดหน่อยนะครับ
- พื้นห้องน้ำค่อนข้างลื่นครับ ผมว่าเค้าเลือกใช้กระเบื้องไม่เหมาะสม ห้องน้ำกระเบื้องควรจะสากมากกว่านี้ครับ เสี่ยงกับการลื่นล้มได้
- ปุ่มปรับความร้อนของน้ำที่จะอาบอยู่สูงมาก ขนาดผมสูง 173 เซนติเมตร ยังเอื้อมไปเกือบสุดแขน แบบนี้นักท่องเที่ยวที่สูงราว 160 คงต้องทนอาบน้ำเย็นในหน้าหนาวแน่ๆ ตรงนี้ผมว่าออกแบบได้ไม่เฟรนด์ลี่ครับ
- พื้นห้องน้ำมีระดับต่างกัน แต่ดันใช้กระเบื้องลายเดียวกันเลยครับ ถ้าใครดูเผินๆ คงนึกว่าพื้นระนาบเดียวกัน นี่ก็เสี่ยงกับการเกิดอุบัติเหตุในห้องน้ำด้วยเช่นเดียวกัน หกล้มหัวฟาดพื้นได้ถ้าสลึมสลือ
- โรงแรมที่นี่ ณ ตอนที่ผมเข้าพัก ไม่มีพวกแปรงสีฟัน ยาสีฟัน ให้นะครับ (อันนี้บอกไว้เผื่อใครไม่ได้เตรียมมาจากบ้าน จะได้ทราบว่าที่นี่ไม่มีบริการนะครับ)
นอกนั้นผมก็ว่าโอเคครับ ไวไฟ แรงมาก ห้องสะอาด มีระเบียง มีทีวี มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีตู้เซฟให้ครับ ราคาที่พักผมดูใน Booking.com ในช่วงวันผมเข้าพักก็ไม่เกิน 1,500 บาทต่อคืนครับ
เอาหละครับ ทีนี้มาดูกิจกรรมในวันนี้บ้างดีกว่าว่าในแถวเมืองกระบี่มีอะไรให้ทำให้เที่ยวบ้างเนาะ
เนื่องจากว่าผมมาถึงโรงแรมก็เที่ยงแล้ว ตอนบ่ายโมงบังก็มารับไปทานข้าวที่ร้านอาหารกลางน้ำครับ กินอาหารทะเลสดๆเลย ตักขึ้นมาสดๆ ด้วยความหิวผมก็เลยสั่งมาเสียเต็มโต๊ะเลยครับ คิดถึงอาหารไทยมากๆ มื้อนี้ขอจัดเต็มหน่อยนะครับ แฮะๆ (ในรูปแค่ส่วนหนึ่งคับ จริงๆคือมาเต็มโต๊ะ)
พอกินอิ่ม ก็เริ่มมีแรงออกเที่ยว บังพาผมนั่งเรือหางยาวจากที่ร้านกลางน้ำนั่นแหละครับ เลาะเส้นทางป่าโกงกาง ระหว่างที่อยู่ในป่าโกงกางผมได้แต่ร้องโอ้โห!! เพราะบรรยากาศสวยมากๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นโกงกางเขียวขจี เรียงตัวเหมือนเป็นซุ้มประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ แล้วรากต้นโกงกางก็แข่งกันแทงไปยังพื้นดิน แตกแขนงออกมาประหนึ่งงานศิลปะชิ้นเอก เห็นแล้วโดนใจสุดๆเลย
บังเล่าให้ผมฟังว่าช่วงนี้เป็นช่วงน้ำตายนะครับน้องสน
ผมก็ฮะ? อะไรคือน้ำตายครับบัง?
“อ่อ น้ำตายก็คือน้ำมันขึ้นน้อยลงน้อย เลยเหมือนน้ำมันอยู่นิ่งๆอ่ะครับ”
ผมกลับมาก็เลยหาข้อมูลเพิ่มเติม ก็ค้นพบว่ามันเป็นปรากฎการณ์ที่โลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ อยู่อารมณ์เหมือนทำฉากกันหนะครับ ทำให้แรงดึงดูดมันน้อยกว่า ช่วงนี้เลยมีน้ำขึ้นน้ำลงน้อยกว่าปกติ แต่ถ้ามันเรียงตัวแนวเดียวกันเมื่อไหร่ น้ำก็จะขึ้นลงเยอะมาก แบบนี้จะเรียกว่าน้ำเป็น
ผมชอบการเดินทางก็ตรงนี้แหละครับ เที่ยวไปได้ความรู้ไป บางเรื่องคนอื่นอาจจะรู้ แต่ผมก็ยังไม่เคยรู้มาก่อนก็มี
เมื่อผ่านเส้นทางป่าโกงกางออกมาแล้ว เรือหางยาวที่บังคับโดยคุณลุงผู้ใจดี ยิ้มแย้มตลอดที่บังคับเครื่องยนต์ ก็พาเราไปยังเขาขนาบน้ำครับ แม้ผมจะเคยมากระบี่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ไปที่เกาะ ในเมืองยังไม่ค่อยได้เที่ยว รอบนี้จึงค่อนข้างแปลกใหม่กับสิ่งที่ไปเหมือนกันครับ
บังเล่าให้ผมฟังระหว่างที่เดินเข้าไปยังอุทยานนั้น
“เขาขนาบน้ำเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกระบี่นะครับน้องสน เขาแห่งนี้สูงประมาณ 100 เมตร มากระบี่ก็ต้องมองเห็นเขาแห่งนี้แหละ ภายในเขามีถ้ำที่ข้างในมีหินงอกหินย้อยด้วยนะครับ วันนี้เราจะไปดูกัน”
ทางขึ้นไปยังถ้ำที่ว่าทำดีมากๆครับ เป็นการเดินถ้ำที่สบายที่สุดตั้งแต่เดินทางเที่ยวมาในชีวิต ฮ่าๆ
ภายในถ้ำก็ประกอบไปด้วยหินงอกหินย้อยอยู่จำนวนหนึ่งนะครับ และมีภาพวาดคนโบราณด้วย บังบอกว่าเมื่อก่อนที่นี่เป็นที่อยู่ของคนโบราณ และเป็นที่ทหารญี่ปุ่นมาอาศัยด้วย ข้างในถ้ำจึงมีพวกรูปปั้นจำลองเรื่องราวในสมัยก่อน ประกอบกับมีป้ายเล่าเรื่องด้วย หุ่นจำลองนี่ก็สัดส่วนเหมือนจริงมาก ถ่ายรูปอยู่หันมาเจอก็แอบตกใจไปหลายทีเหมือนกัน แฮะๆ
ค่าเข้าไปยังเขาขนาบน้ำ ผู้ใหญ่คนละ 30 บาท เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เข้าฟรีครับ
พอขึ้นไปเที่ยวบนนั้นเสร็จ อากาศวันนี้ก็ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ เพราะเป็นช่วงปลายหน้าฝน ฝนก็เลยตกหนัก บังบอกว่า งั้นวันนี้เราก็พักก่อนดีกว่า ไปเที่ยวไม่น่าจะสนุกมันเปียก เดี๋ยวเป็นหวัด ผมก็เห็นด้วยครับ เมื่อคืนผมเองก็นอนแค่สองชั่วโมง พอเย็นๆมาหัวเริ่มตุ๊บๆแล้ว ไปนอนพักที่โรงแรมก็เป็นไอเดียที่ดีครับ
ระหว่างเดินทางกลับที่โรงแรมก็ผ่านรูปปั้นนกออกครับ ผมสังเกตดูว่าจังหวัดกระบี่จะมีรูปปั้นหลายจุดนะครับ เหมือนอยู่แถวๆแยกต่างๆ ตรงแยกรูปปั้นนกออกอยู่ตรงกิโลเมตรที่ศูนย์ของกระบี่พอดี
“นกออกเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของพวกเรา เหมือนพระเอกเลยครับน้องสน นกออกก็คือเหยี่ยวนี่แหละ มันจะบินวนๆอยู่แถวนี้ พวกเราใช้มันเป็นเครื่องเตือนใจว่า บินสูง มองไกล ไปให้ถึง” บังเล่าให้ผมฟังระหว่างที่ผมยืนถ่ายรูปเจ้าปฏิมากรรมวิหคเหินหาวตัวนี้อยู่
กลับถึงที่พักผมก็หลับไปสองสามชั่วโมงครับ ตื่นมาอีกทีก็หิว น้องที่กระบี่ที่เคยคุยกันในเฟสบุคก็เลยขอแวะมาหา เพราะอยากเห็นตัวจริง (รู้สึกเหมือนเป็นเซเลปเบาๆ ฮ่าๆ) แล้วก็ไปกินข้าวกันครับ อาหารแถวนี้ราคาไม่แพงเลยนะครับ แล้วก็อร่อยด้วย
เอาละครับ วันนี้สิ้นสุดบันทึกการเดินทางเพียงเท่านี้ก่อน พรุ่งนี้ยังมีกิจกรรมให้ทำอีกครับ ลุ้นแค่สภาพฟ้าฝนนี่แหละฮะ ว่ามันจะเต็มใจไหม ฮ่าๆ แล้วเจอกันใหม่กับเรื่องราวการเดินทางในตอนถัดไปครับผม