สวัสดีครับ สำหรับทริปนี้เป็นหนึ่งในทริปแห่งความทรงจำทรงท้ายปีของผมเลยครับ เพราะว่าเป็นทริปที่ผมพาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันเป็นครั้งแรก ซึ่งปกติแล้วคุณพ่อของผมท่านไม่ค่อยชอบเที่ยวเลยครับ อยู่บ้าน ไม่อยากไปไหนไกลๆ ด้วยเหตุผลก็คือท่านบอกว่าเหนื่อยกับการเดินทางครับผม ทีนี้ผมเองก็บอกกับพ่อว่า พ่อครับ โอกาสที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน มันก็ไม่ได้เยอะนะครับ ระหว่างที่ยังมีโอกาสเราน่าจะไปเที่ยวด้วยกันสักหน่อย ผมอยากให้พ่อได้ไปเห็นประเทศอื่นๆ อยากพาพ่อขึ้นเครื่องบิน ก็พยายามเชียร์เรื่อยๆ พ่อก็กลัวลูกจะหมดตังค์เยอะ ก็อิดๆออดๆ ผมก็โน้มน้าวใจ เปิดสารคดีให้ดูบ้างอะไรบ้าง จนในที่สุดพ่อก็ยอมออกเดินทางไปด้วยกัน และการเดินทางของผมกับพ่อแม่ก็เริ่มต้นครับผม
โดยผมวางแผนไว้ว่าจะมาพ่อแม่ไปที่เมืองมัณฑะเลย์ครับผม เพราะว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวเยอะมาก ไปแล้วได้เห็นหลายอย่าง เป็นการไปเที่ยว 3 คืน 4 วัน และมีรุ่นพี่กับลูกสาวไปด้วย ทริปของเราจึงมีสมาชิกในกลุ่มทั้งหมด 5 คนครับ
ผมไปรับพ่อกับแม่มากรุงเทพก่อน โดยพาเที่ยวกรุงเทพฯสองวัน จากนั้นก็ค่อยไปพม่าครับ นี่เป็นรอบสิบกว่าปีเลยที่พ่อไม่ได้มาเหยียบกรุงเทพฯ เราก็ไปเที่ยวดูต้นไม้ประดับไฟคริสต์มาสครับ ช่วงนั้น กทม ก็อากาศหนาวด้วย พาพ่อแม่ไปเดินซื้อของ
ระหว่างที่อยู่กรุงเทพฯ ผมก็พาไปทานข้าวในห้างครับ พาไปร้านดีๆ บอกพ่อแม่ว่า อยากกินอะไรก็สั่งเลยนะครับ เอาแบบที่ไม่เคยกินก็ได้ แต่พอมาเป็นที่เค้าสั่งแล้ว อืม…แกงจืดวุ้นเส้นงี้ ไข่เจียวงี้ โอ้ยยยย
ดื่มด่ำกับแสงสีในกทม พอหอมปากหอมคอ เราก็พร้อมที่จะออกเดินทางครับ พ่อผมเองก็ตื่นเต้นมากกับการนั่งเครื่องบิน บอกว่า อะไรกันทำไมนั่งแป็บเดียว ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ฮ่าๆ
เมื่อถึงที่สนามบินมัณฑะเลย์ ผมก็ใช้บริการรถตู้ครับ คนละ 4,000 จ๊าด จริงๆผมลืมไปว่าพวกเราสามารถเหมารถได้เลย เพราะว่ามันแค่ 20,000 จ๊าดเองครับ แต่เอาเถอะซื้อแล้วก็ปล่อยไป รถตู้ก็จะรอให้คนขึ้นเยอะๆค่อยออกครับ ที่นี่ผมก็ซื้อซิมพม่าด้วย เน็ตโอเคเลยนะครับ ซื้อที่สนามบินนั่นแหละครับ ไม่แพง คิดเป็นเงินไทยร้อยกว่าบาทเอง
แผนการเดินทางในวันนี้จะเที่ยวในมัณฑะเลย์ก่อนครับ โดยเริ่มต้นที่พระราชวังมัณฑะเลย์ โดยผมให้โรงแรมหาแทกซี่ให้ เค้าคิดที่ 50,000 จ๊าด เป็นรถตู้ จริงๆ ถ้าเรียกเองจะได้ราคาถูกกว่ามากเลยครับ ที่นี่มี GRAB บริการด้วย เรียกได้เลย แต่ว่าผมก็มองว่าราคานี้ก็ไม่ได้แพงมาก สบายๆ ก็เลยจัดไปครับ คนขับรถเป็นผู้หญิงด้วย ตะลึงเลย เค้าบอกว่ามีเค้าคนเดียวนี่แหละที่เป็นผู้หญิงขับรถ
เมื่อถึงพระราชวัง พ่อกับแม่ก็ตื่นเต้นมาก พ่อผมนี่ชอบตั้งแต่นั่งรถออกจากสนามบินแล้วครับ เพราะว่าชอบธรรมชาติ เหมือนได้ย้อนอดีต
เมืองมัณฑะเลย์เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของพม่านะครับ อยู่ในแถว Mandalay Hill ซึ่งเป็นเขาที่สูงที่สุดในเมือง โดยชาวพม่ามีความเชื่อว่าครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเคยมาประทับรอยพระบาทไว้ที่เขาแห่งนี้ ดังนั้นจึงมีการสร้างพระราชวังไว้ที่ด้านล่างของภูเขา เพื่อเป็นการรำลึกของการดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนาที่อยู่มาแล้วถึง 2400 ปีบนโลกใบนี้ กษัตริย์ที่ย้ายเมืองหลวงมายังที่เมืองนี้ชื่อว่ามินดง พระองค์มีความตั้งใจว่าจะให้เมืองแห่งนี้เป็น “เมืองหลวงทางพระพุทธศาสนาของพม่า”
พระราชวังใหญ่มาก ใหญ่จนเดินไม่ไหว เราใช้เวลากันนานมาก ดูนั่นดูนี่ ผมเองก็ถ่ายภาพให้พ่อกับแม่เพลินเลยครับ
พระราชวังมัณฑะเลย์ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2,850 ไร่ครับ เป็นพระราชวังที่มีชื่อเสียงในเรื่องของระบบผนังที่แข็งแรงและซับซ้อนมาก เนื่องจากที่แห่งนี้เป็นที่พำนักของกษัตริย์มินดาเนาและกษัตริย์ธีบอ (เป็นกษัตริย์สององค์สุดท้ายของประเทศพม่า) ดังนั้นทุกส่วนของวังจะต้องสวย วิจิตร บรรจง
พระราชวังมีกำแพงรอบล้อม ซึ่งกำแพงนั้นรอดจากการถูกระเบิดทำลายล้างครับ รอบกำแพงก็มีประตูทางเข้าอีก 12 ประตู เป็นตัวแทนของ 12 จักรราศี ซึ่งผนังแต่ละด้านก็จะมีประตูอยู่สามประตู ด้านนอกกำแพงเป็นคูน้ำ ความกว้าง 64 เมตร ลึก 4.5 เมตร มีสะพานหลายแห่งไว้ข้ามไปมา
คอสตูมของคุณแม่ วันนี้ใส่ชุดที่ผมซื้อให้นางเนปาลครับ เป็นชุดที่แม่ชอบมาก แม่เป็นคนชอบเสื้อผ้าลายดอก ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมชอบลายดอกอะไรขนาดนี้ แต่พอเห็นเสื้อผ้าลายดอก ก็อดใจซื้อให้แม่ไม่ได้ ฮ่าๆ
ก่อนจะเข้าพระราชวัง เราต้องซื้อตั๋วก่อนนะครับ ราคา 10,000 จ๊าด เป็นตั๋วที่เข้าชมสถานที่หลักๆได้ครบถ้วน คุ้มครับ จัดเลย
เนื่องจากเป็นทริปที่พาพ่อแม่เที่ยว ก็จะมีแต่รูปพ่อแม่นะครับ 55 ผมก็เลยคุยกันขำๆว่าเป็นทริปถ่ายภาพ Post Wedding
แม้พระราชวังแห่งนี้จะเป็นการสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ก็ยังยิ่งใหญ่อยู่ครับ ผมอยากรู้มากกว่าตอนที่ก่อนจะโดนระเบิดมันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนนะ
ในพระราชวังจะมีหอคอยให้เราเดินขึ้นไปชมวิวด้วยครับ ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว พ่อผมก็บอกว่าเสียวหน่อยๆ ส่วนแม่ได้แต่ร้อง ว้าว ว้าว ว้าว
สีหน้าที่บ่งบอกว่ามีความสุขมากๆของแม่ เดินไปก็หันมาหากล้องเรื่อยๆ จะได้มีภาพตัวเองเยอะๆ
เรียกได้ว่าเป็นทริปที่ภาพพ่อแม่เยอะสุดๆ เยอะจริงๆครับ ระหว่างที่เดินเที่ยว เราก็หิวข้าวหน่อยๆ แต่ข้างในไม่มีข้าวขายนะครับ ผมเห็นตรงพิพิธภัณฑ์ข้างในเค้ามีคนขายขนม เลยซื้อขนมมาทานแก้หิว แม่กับพ่อบอกว่า อ้าว ทำไมฉลกเป็นภาษาไทย ก็เลยบอกไปว่า เค้าก็สั่งจากไทยมาขายครับ นี่ขนมไทยทั้งนั้น ราคาไม่แพงมากนะครับ ถุงละ 300 จ้าด ก็ประมาณ 6 บาท
พ่อเป็นคนไม่ค่อยชอบออกกล้องเท่าไหร่ครับ เวลาถ่ายรูปก็ไม่ค่อยยิ้ม วันหลังๆผมเลยถามพ่อว่า พ่อไม่มีความสุขหรือครับ ทำไมถ่ายรูปถึงไม่ยิ้มเลย บอกว่าอ่อ เปล่าหรอก ยิ้มแล้วหน้ามันเหี่ยว เลยไม่ยิ้ม โอ้ย พ่อออ
พระราชวังแห่งนี้ เดิมทีนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในพระราชวังที่สวยที่สุดในเอเชียเลยนะครับ เป็นพระราชวังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง มีคูน้ำล้อมรอบพระราชวังยาวแปดกิโลเมตรกว่า เป็นพระราชวังแห่งสุดท้ายของพระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์คองบองและในประวัติศาสตร์พม่าด้วยครับ วังแห่งนี้ สร้างขึ้นโดยพระเจ้ามินดง หลังจากที่ย้ายเมืองหลวงจากเมืองอมรปุระมายังมัณฑะเลย์ เพราะว่าต้องการหนีทหารของจักรวรรดิ์อังกฤษ และสงครามกับอังกฤษ โดยตั้งชื่อว่า Mya Nan San Kyaw แปลว่า พระบรมราชวังมรกตอันลือเลื่อง แต่คนมักจะรู้จักในนามพระราชวังทองคำ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง วังแห่งนี้ถูกระเบิดทำลายย่อยยับจากการกระทำของอังกฤษ เพราะเจ้าใจว่าทหารญี่ปุ่นให้วังเป็นที่ซ่องสุม เสียดายมากเลยครับ ต่อมารัฐบาลพม่าจึงได้บูรณะโดยลอกแบบโครงสร้างดั้งเดิม แต่ความวิจิตรนั้น ทำไม่ได้แล้ว เพราะไม้สักก็ไม่ได้เยอะแบบเมื่อก่อน
เสร็จจากพระราชวังแล้ว เราก็ไปกันต่อที่วัด Kuthodaw Pagoda ครับ วัดนี้มีศิลาจารึกพระไตรปิฎกถึง 729 แผ่น ทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “หนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ด้วยครับ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นโดยกษัตริย์มินดงมิน ซึ่งสร้างในช่วงเวลาเดียวกันกับการสร้างพระราชวังมัณฑะเลย์ครับ โดยพระองค์สร้างขึ้นเพื่อเป็นการทำการกุศล ทำบุญทำนุพระศาสนา ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้สืบทอดต่อไป ถือว่าเป็นอีกวัดที่สวยงามมากๆ เพราะเราจะเห็นเจดีย์หลายร้อยเจดีย์ที่ทาทับด้วยสีขาว ครอบแผ่นหินอ่อนที่มีคำจารึกคำสอนทางพระพุทธศาสนาอยู่
สิ่งที่น่าสนใจของสถานที่แห่งนี้ก็คือบรรดาหินที่ถูกจารึกหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนานี่แหละครับ เพราะหินแต่ละแผ่นมีความสูงประมาณ 1.4 เมตร กว้างประมาณ 1 เมตร ตั้งแต่ที่พระเจ้ามินดงมิน มีคำสั่งให้จารึกคำสอนลงบนแผ่นหินและแปะทับด้วยทองคำเปลว ก็ใช้เวลายาวนานถึง 8 ปีเลยนะครับ กว่าจะจารึกเสร็จ เสร็จแล้วก็เอาหินนี้ไปไว้ตรงกลาง แล้วสร้างเจดีย์ขาวครอบทับอีกที
ตรงกลางวัดจะมีเจดีย์ปิดทองตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ครับ เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2402 จำลองมาจากเจดีย์ชเวซีกองในพุกาม โดยมีลักษณะเป็นทรงระฆังคว่ำ วางอยู่บนฐานของชั้นสามชั้น แต่ละมุมทั้งสี่มุของเจดีย์มีตัวชินเต ซึ่งเป็นสิงห์สไตล์พม่าตั้งอยู่ครับ เชื่อว่าเป็นสิงห์โตในตำนานที่คอยปกป้องเจดีย์ครับ
พวกเราใช้เวลาอยู่ตรงนี้ประมาณ 40 นาทีครับ เพราะว่าก็เริ่มมืดแล้ว ตอนนั้นทุกคนก็หิวข้าว เลยพากันออกไปหาอะไรทานกันครับ แต่ก่อนที่จะแวะร้านอาหาร เราไปอีกวัด เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปทำมาจากหยกขาว ใหญ่มาก ชื่อว่าวัด Kyauk Taw Gyee Pagoda ครับ วัดนี้มีพระหินอ่อนสีขาว หรือบางคนก็เรียกว่าหยกขาว แนะนำนะครับ
วันที่สอง เมืองมิงกุน สกาย อังวะ สะพานอูเบ็ง
เช้าวันที่สอง เรามีนัดกับคนขับรถตู้ตอน 9:00 น. ครับ ก็พากันตื่นมาทานข้าวเช้าที่โรงแรม ซึ่งโรงแรมนี้ก็ดีมากครับ มีการทำอาหารแบบบัฟเฟต์ และอร่อยมาก พ่อแม่ทานได้สบาย คุ้มราคาจริงๆ ทานเสร็จก็นั่งรถออกไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเก่ารอบๆมัณฑะเลย์ครับ โดยจุดแรกที่เราไปก็จะเป็นวัดดั่งภาพด้านบนครับผม
วัดนี้มีชื่อว่า HSINBYUME OR MYATHEINDAN PAGODA เป็นวัดที่สวยมาก ทาด้วยสีขาวล้วน รายล้อมด้วยปูนทรงโค้งๆ ซึ่งสร้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนคลื่นทะเลสีทันดรครับ เจดีย์แห่งนี้ถือว่าเป็นทัชมาฮาลแห่งลุ่มแม่น้ำอิรวดี เพราะว่าก่อสร้างเพื่อระลึกถึงคนรักครับ
อย่างไรก็ดี วัดนี้เพราะมีสีขาวดังนั้น จึงแสบตามาก ตาจะพังเอาได้ง่ายๆ แนะนำมากๆว่าให้เตรียมแว่นกันแดดไปด้วยนะครับ
พื้นที่เจดีย์ก็ใหญ่สุดๆครับ ที่นี่มีคนมาถ่ายรูปกันบ้าง ช่วงที่ผมไป ถือว่าคนยังไม่พลุกพล่านมากนัก ก็ให้พ่อแม่เป็นแบบสำหรับทริปนี้ไปอีกครับ วันนี้พ่อใส่สูทตัวใหม่ที่ซื้อให้ เปลี่ยนลุคหน่อย
ซื้อดอกบัวไปไหว้พระด้านบนครับ มาพม่านี่เด็กน้อยจะชอบเดินตามเยอะมาก โดยส่วนตัวไม่ชอบให้ใครเดินตามครับ 55 เลยบอกเด็กๆไปว่า หนูๆ ไม่ต้องตามมานะ เราต้องการเวลาส่วนตัว ไม่ต้องการให้ใครมาจอแจด้วย แต่พ่อผมก็บอกว่าสงสารเด็กน้อย ผมก็บอกว่า สงสารได้ แต่บางอย่ากง็ต้องใจแข็งครับ เคยเจอประสบการณ์เอ็นดูเด็ก แล้ววิ่งมาเป็นโขยง หลอนไปเลยครับ
จับจองพื้นที่เก็บภาพกันไปครับ ตอนนี้คนเริ่มเยอะแล้ว รอบนี้ผมมาพม่า โอ้โห คนจีนเยอะมาก เยอะแบบเหมือนมดไหลหลั่งเข้ามา ชาวพม่าเล่าให้ผมฟังว่าเป็นทัวร์ที่เข้ามาแต่เงินตราแทบจะไม่ถึงคนท้องถิ่น เพราะคนจีนเข้ามาดำเนินการเองหมด เข้าร้านอาหารที่จีนเปิด ร้านขายของที่จีนทำ ไกด์จีน โรงแรมคนจีน เค้าเรียกว่าทัวร์ศูนย์เหรียญแบบบ้านเราเลย จริงๆนักท่องเที่ยวเค้าก็ไม่รู้เรื่องหรอกครับ มันผิดที่กลุ่มนายทุนนั่นแหละ ที่เอาเปรียบกันเกินไป
จากนั้นเราก็เดินทางไปยังวัดต่างๆครับ วัดตรงนี้อยู่สกาย ผมก็เพิ่งเคยมาเหมือนกัน เป็นวัดที่เคยใช้สำหรับประชุมพุทธศาสนาโลกด้วย ใหญ่มากครับ Thidagu World Buddhist University
และแดดก็เปรี้ยงปร้างเช่นเคย จริงๆมันมีที่เที่ยวเยอะมากครับ แต่พวกเราเที่ยวไปถ่ายรูปไป เลยไม่สามารถไปเก็บได้ทุกจุด ต้องเลือกว่าจะไปตรงไหน ผมตัดไปหลายวัดครับ ผมบอกว่า เดี๋ยวพาไปนั่งรถม้ากันเนาะ
พวกเรานั่งรถข้ามฟากไปกลับคนละ 4,000 จ๊าด ไปยังเมืองหลวงเก่า อังวะ ครับ เมืองนี้ผมชอบมาก มีรถม้าให้นั่ง พ่อแม่ผมก็ชอบมากและตื่นเต้นมาก ไม่เคยนั่งรถม้ามาก่อน
อังวะนั้นเป็นเมืองหลวงเก่าที่น่าสงสารครับ ร่องรอยที่เหลืออยู่ก็เหลือจากการถูกขุดเพื่อย้ายเมืองหลวงบ้างอะไรบ้าง แต่ก็ทิ้งความยิ่งใหญ่ในอดีตไว้ให้เราได้จินตนาการถึงยุคนั้นได้เป็นอย่างดี คนสมัยก่อนนี่ทำอะไรก็เน้นใหญ่ๆทั้งนั้นเลยนะครับ
เราจะเห็นวิถีชีวิตที่หาได้ยากแล้วในบ้านเรา มาเมืองนี้พ่อผมจะชอบเป็นพิเศษ เพราะเหมือนว่าได้ย้อนเวลากลับไปในสมัยที่ตัวเองยังเด็ก มีนั่งเกวียน บ้านเรือนก็เก่าๆ ใช้ไม้ไผ่ขัดแตะทำเป็นผนังบ้าน
พ่อบอกว่าชอบเมืองอังวะมากๆ เพราะเหมือนได้ย้อนอดีตไปสมัยตัวเองยังหนุ่มๆ พ่อตื่นเต้นกับบ้านเรือนที่ผนังบ้านทำจากไม้ไผ่ขัดแตะ เห็นรถม้า เห็นคนขี่เกวียน มันคืออดีตที่พ่อรู้จัก
อังวะเป็นเมืองหลวงเก่าของพม่าครับ เคยเป็นเมืองหลวงเกือบห้าร้อยปีเลยทีเดียว
วัดแรกที่เรามาครับ ใหญ่มาก Maha Aung Mye Bon Zan Monastery วัดนี้มีความพิเศษแตกต่างจากวัดอื่นในพม่า เพราะว่าปกติเราจะเห็นวัดเก่าๆของพม่าทำจากไม้ แต่ที่นี่ทำจากอิฐและปูนครับ โดยมีคนสร้างก็คือพระนางเมห์นู มเหสีของพระเจ้าบาจีดอว์ (คนเดียวกันกับคนที่สร้างวัดขาวๆมีคลื่นล้อมรอบที่มิงกุนอะครับ) พระนางเป็นคนที่มีชาติกำเนิดเป็นสามัญชน เป็นแม่ค้าในตลาด แต่ดันต้องตาต้องใจราชา ในยามที่ออกไปแล้วเจอ ก็เลยนำมาเป็นมเหสี และพระนางเองก็แรงใช่เล่นครับ ค่อยๆเขี่ยเมียเอกออกจนตกกระป๋อง แล้วตัวเองก็มีอิทธิพลขึ้นมาแทน เป็นคนที่ช่วยตัดสินใจให้กับกษัติรย์ด้วย และก็ทำให้ต้องเสียเมืองหลายๆเมืองในอังกฤษ สุดท้ายตอนจบ กษัตริย์เกิดวิปลาส พระนางก็รวบอำนาจไว้เอง และจุดจบของพระนางคือถูกประหารชีวิตครับ
รอบๆวัดก็ถูกแผ่นดินไหวทำลายไปนะครับ ที่เหลืออยู่ยังยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ตอนนั้นจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน
พ่ออย่างเท่ครับ
แม่ก็ไม่เบา ชุดแต่ละวันไม่ซ้ำกันเลยจ้า เอาผ้าไหมที่คุณป้าทอเองไปใส่ด้วย
จากนั้นก็เดินทางไปยังจุดต่อไปครับ ทริปนี้นั่งรถม้าให้คุ้ม
วัดนี้เป็นวัดไม้สักบากะยาครับ เป็นวัดที่สร้างขึ้นในปี 2357 เป็นวัดไม้สักเก่าแก่มากๆ มีเสาไม้สักถึง 267 ต้น แบบเสาใหญ่โตมากจริงๆครับ ด้วยอาคารก็ใช่ย่อยนะครับ แกะสลักด้วยไม้สักทั้งหลังจาก เป็นศิลปะสมัยต้นๆของเมืองอังวะครับ และมีงานศิลปะแบบไทยอยู่ด้วย เพราะยุคนั้นเป็นช่วงที่กวาดเชลยชาวไทยเข้ามาครับ ว่ากันว่าชาวสยามนี่แหละครับเป็นผู้สร้างวัดนี้ครับ
เราแวะตามจุดในเมืองอังวะอีกหลายจุดครับ แล้วก็กลับไปยังที่ท่าเรือ เพื่อขึ้นเรือกลับไป เราจะไปต่อที่สะพานอูเบ็ง สะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก ไปฝ่าฝันมหาประชาชนคนจีนบนสะพานครับ
คุณแม่ผมชอบสะพานนี้มาก บอกว่าวิวสวย ตอนพระอาทิตย์ตกดินก็สวย แต่ตอนเรามามันแสงเหลือน้อยแล้วครับ วัดถัดมาเราเลยมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อมาเก็บบรรยากาศ เลยนำภาพของวันถัดมามาลงสำหรับจุดสะพานอูเบ็งนะครับ
เนื่องจากคนเยอะมาก การจะถ่ายภาพไม่ให้ติดคนนั้นช่างท้าทายเสียเหลือเกินครับ
ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันสองคน ทริปนี้ผมไม่ค่อยมีรูปตัวเองหรอกครับ ฮ่าๆ
บรรยากาศ ณ เวลานั้นครับ คนค่อนข้างเยอะมากๆ แต่ก็เป็นวิวที่สวยดี พ่อแม่ชอบมากเลยครับผม
หลังจากที่ชมวิวกันอิ่มแล้ว พวกเราก็เดินทางกลับครับ ไปทานอาหาร และพักผ่อน ทริปพรุ่งนี้ยังมีอีกครับผม
ก่อนจะกลับ เก็บภาพอีกสักใบครับ มาพม่าหลายครั้ง ยังไม่เคยนั่งเรือที่แม่น้ำนี้เลย หากมีโอกาสกลับมาคงต้องจัดอีกสักทริปครับ
วันที่ 3 เที่ยวรอบเมืองมัณฑะเลย์ เจดีย์หยก
เช้าวันใหม่ ผมก็ชวนพ่อแม่ไปเที่ยวต่อครับ วันนี้แดดเปรี้ยงปร้างมาก ร้อนมาก แต่เพื่อภาพสวยๆ คุณแม่ทนแดดทนร้อนได้ดีมากครับ
“แม่ทนได้เสมอ ถ้าได้ภาพสวยๆจ้ะ” แม่บอก
วัดแห่งนี้เป็นวัดที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Mandalay Hill ครับ เป็นวัดที่สร้างขึ้นมาในสมัยของพระเจ้า มินดง มิน ในปี 1874 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงพระอนุชาของพระองค์ที่ชื่อว่า กานวง มินธา (Kanaung Mintha) ที่ถูกลอบสังหารพร้อมกับเจ้าชายอื่นๆอีกสามคน คือ เจ้าชายมาลุน (Malun) สาคุ (Saku) และ เมนปอิน (Mainpyin) ในระหว่างช่วงการก่อกบฏของเจ้าชาย Myingun ในปี 1866
เจดีย์นี้มีหลุมฝังศพของเจ้าชายทั้งสี่ข้างต้น และยังมีพระพุทธรูปเหล็ก ที่หล่อขึ้นโดย โบดอวปยา (Bodawpaya) ในปี 1802 ที่ได้ย้ายจากเมืองอมรปุระ มาที่มินดงในปี 1874 ข้อมูลบอกไว้ว่าพระพุทธรูปนี้หนักถึง 18,500 กิโลกรัมเลยครับ
พ่อนี่ร้อนมาก ไม่ค่อยจอยกับการถ่ายรูป ในขณะที่แม่ ยิ้มแป้น
เสร็จจากถ่ายภาพกันที่วัดนี้ เราจะเดินทางไปอีกที่ครับ ครั้งนี้ผมใช้บริการคนขับรถตุ๊กๆ ชื่อว่า โกโกะ ครับผม
ตรงนี้เป็นอารามอีกที่ของมัณฑะเลย์ครับ ทำจากไม้สักทั้งหลังเลย สวยงามมาก ผมชอบตรงขอบประตูที่นี่ ทำเป็นทรงโค้งได้สวยสดงดงาม ชื่อว่าวัด Shweinbin Monastery ครับผม
อาราม Shweinbin ตั้งอยู่ที่ตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองมัณฑะเลย์ อารามที่น่าสนใจแห่งนี้สร้างขึ้นในแบบศิลปะพม่าดั้งเดิมครับผม เป็นหนึ่งในอาคารไม่กี่แห่งที่ยังเหลือไว้ให้เห็นจากยุคภาวะสงครามและผ่านกาลเวลามายาวนาน อารามนี้สร้างขึ้นในปี 1895 โดยพ่อค้าชาวจีน ตัวอารามประกอบไปด้วยงานแกะสลักไม้ที่น่าประทับใจมากมาย และยังมีงานศิลปะที่น่าชื่นชมอีกจำนวนมากเลยครับ แนะนำว่าให้มาให้ได้นะครับ สวยมากจริงๆ
ทำจากไม้สักครับ ตรงซุ้มประตูมีการทำเป็นทรงโค้งได้อย่างวิจิตรบรรจง
อาราม Shweinbin ตั้งอยู่บในเมือง Mahar Aung Myay จากข้อมูลบอกไว้ว่าเป็นอารามที่ได้รับการสร้างโดย U Set Shwin พ่อค้าชาวจีน เขาเกิดที่ประเทศจีนมณฑลหยุนนาน แล้วย้ายมาที่มัณฑะเลย์ พออายุได้ 14 ปีก็กลายเป็นเด็กกำพร้า และเขาดิ้นรนตลอดชีวิตเพื่อเป็นพ่อค้า เขาแต่งงานกับหลานสาวคนหนึ่งของกษัตริย์พุกาม ในที่สุดเขาก็สามารถบริจาคพระอารามอันยิ่งใหญ่นี้ได้ ที่นี่จัดว่าเป็นหนึ่งในอาคารไม้สักที่งดงามให้เราได้พบเห็น
สถานที่ต่อไปที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยสำหรับใครที่มาเยือนที่มัณฑะเลย์ ก็คือวัดนี้ครับ วัดชเวนันดอว์ มันเป็นวัดที่ถูกห่อหุ้มด้วยทองคำครับ!! คือทองอร่ามเอลื่องมากครับ ขนาดว่ามันเริ่มจางหายไปตามกาลเวลาแล้ว แต่มันก็ยังเจิดจรัส ผมคิดไม่ออกเลยว่า ในยุคที่มันรุ่งเรืองสุดๆ มันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน
วัดนี้เป็นวัดที่รอดพ้นจากการทิ้งระเบิดในสงครามโลกด้วยครับ แต่ก่อนวัดนี้เป็นวัดหลวง ตั้งอยู่ในเขตพระราชวังครับ เป็นวัดที่พระเจ้ามินดงมาใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เจริญภาวนา ตอนที่พระองค์ประชวร ก็มาพักทีนี่ และสิ้นพระชนม์ที่นี่เช่นเดียวกัน แต่ว่า พอสิ้นพระเจ้ามินดง กษัตริย์องค์ใหม่ คือพระเจ้าธีบอ ก็ย้ายวัดนี้ มาไว้นอกเขตวัง เลยเป็นจุดให้วัดนี้รอดพ้นจากระเบิดตอนที่โดยทิ้งระเบิดลงเขตพระราชวังนั่นเองครับ
ในช่วงที่ผมไปนั้น เห็นชาวพม่า มาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งกันด้วยครับ ผมว่าก็ไม่แปลกหรอก เพราะว่าวัดนี้มันโดดเด่น ยิ่งยามแสงอาทิตย์ลอดผ่านเข้ามาข้างใน ภายในมันเหมือนจะเรืองแสงได้เลย
ถ่ายภาพพ่อกับแม่เป็นที่ระลึกครับ พรีเวดดิ้งไม่ทันแล้ว 555
จากนั้นคนขับรถถามว่า พวกคุณอยากไปวัดหยกไหม? ผมเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็เลยบอกว่า ไปๆ วัดนี้อยู่ในเมืองสกายครับ ทางไปสนามบิน เราไปตอนเย็นแล้วครับ พอไปถึง โอ้โห ตะลึงมากๆๆ เป็นวัดที่ทำจากหยก แบบตั้งแต่ซุ้มประตู ม้านั่ง พื้น ฝาผนัง เจดีย์ พระพุทธรูป คือ ทุกจุดทำจากหยก!
พญานาคนี้ก็ทำมาจากหยกเช่นกันคับ ผมเพิ่งทราบว่าหยกมีสามสิบกว่าเฉดสี
และวัดนี้บริจาคโดยแค่ครอบครัวเดียวด้วย รวยอะไรปานนี้ คนขับรถบอกว่าคนที่บริจาคเป็นเจ้าของเหมืองหยกครับ
เป็นอีกจุดที่อยากให้มาชมครับ มันคือที่สุดจริงๆ เรื่องหยก ต้องยกให้พม่าเค้าเลยในเวลานี้
หยกมีตั้งแต่สีขาว เขียว น้ำตาล และอื่นๆ คืออย่างที่บอกไปครับว่า มันมีสามสิบกว่าเฉดสี ตามคุณภาพของหยก
เราใช้เวลาที่นี่กันนานเลยครับ เพราะตื่นตาตื่นใจกับความยิ่งใหญ่ และความศรัทธาของชาวพม่า พรุ่งนี้เราจะเดินทางไปยังวัดอีกจุดเพื่อสักการะบูชาพระคู่บ้านคู่เมือง ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทยครับผม
วันที่ 4 ตื่นเช้าไปสักการะพระมหาศักยมุณี พระที่ยังมีลมหายใจแห่งมัณฑะเลย์
เช้าวันใหม่ ผมนัดโกโกะให้มารับพาพวกเราไปชมเค้าล้างหน้าพระกันครับ
ชาวพม่าเป็นผู้คนที่ศรัทธาแรงกล้ามากจริงๆครับ เค้าพากันตื่นตั้งแต่เช้ามืด เพื่อมาทำวัตรเช้าที่วัดแห่งนี้
วัดนี้มีพระมหามัยมุนี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของประเทศพม่า เป็นหนึ่งในห้าของศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์มากของพม่า ผมเลยอยากพาพ่อแม่มาสักการะครับ พระมหามัยมุนี เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ วิจิตรสุดๆ แต่เดิมพระนี้เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่ครับ ตำนานบอกว่าสร้างขึ้นในสมัยพุทธกาล โดยกษัตริย์แห่งเมืองยะไข่ ทำมาจากทองสัมฤทธิ์ หนัก 6.5 ตัน
ตำนานกล่าวอีกครับว่า ก่อนที่จะมีการสร้างพระพุทธรูปนี้ กษัติรย์ แห่งเมืองยะไข่ผู้สร้างพระพุทธรูปแนี้ได้ฝันว่า พระพุทธเจ้ามาประทานพรเข้าฝันบอกให้ทราบว่าพระพุทธรูปที่จะสร้างนี้จะเป็นตัวแทนของพระองค์เพื่อเป็นเครื่องสืบพระพุทธศาสนาไปในภายภาคหน้า
ในอดีต เมืองยะไข่ถูกโจมตีโดยกษัตริย์เมืองอื่นหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครสามารถเคลื่อนย้ายองค์พระมหามัยมุนีนี้ออกจากเมืองได้ เพราะทุกครั้งก็จะมีเหตุให้ขัดข้องทุกครั้ง จนกระทั่งในสมัยของพระเจ้าปดุง แห่งราชวงศ์คองบอง ที่ตียะไข่ได้ ก็ได้อัญเชิญพระมหามัยมุนีออกจากเมืองยะไข่ในปี 2327 โดยล่องมาตามแม่น้ำอิระวดี มายังเมืองมัณฑะเลย์ พระมหามัยมุนีก็เลยตั้งประดิษฐานอยู่ที่เมืองนี้ถาวร นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ทุกวันนี้พระองค์นี้มีกายที่ใหญ่มากครับ เกิดจากการทับถมของทองคำเปลวที่ถูกชาวบ้านนำไปปิดติดต่อกันเป็นร้อยๆปี จนมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า พระเนื้อนุ่ม
ผู้หญิงจะถูกห้ามไม่ให้ไปติดทองคำเปลวนะครับ ต้องฝากผู้ชายไปติดครับผม
องค์พระที่ดูเป็นตะปุ่มตะป่ำ นั่นคือทองคำที่ถูกแปะๆโดยชาวบ้านครับ ศรัทธาแรงกล้ามาก เวลาเราเอานิ้วกดไป ก็จะเห็นว่ามันอ่อนๆครับ แต่มีจุดที่น่าสังเกตคือ แม้ว่าองค์พระกายของพระมหามัยมุนีจะใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม แต่พระพักตร์ขององค์พระมหามัยมุนีก็ยังแลดูใหญ่ตามขนาดลำตัวอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งๆที่ไม่มีการแปะทองที่พระพักตร์เลยครับ
พ่อกับแม่ชอบมากครับ ได้พามาสักการะพระคู่บ้านคู่เมืองแล้วพวกท่านก็อิ่มเอบใจ
ทริปนี้ก็จบลงอย่างสวยงาม การได้เห็นความสุขของพ่อแม่และเพื่อนร่วมทาง นี่มันดีนะครับ ผมเองเดินทางหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยไปเที่ยวกับพ่อแม่แบบครั้งนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกที่เราไปต่างประเทศด้วยกัน พ่อแม่ชอบ ผมก็มีความสุขมาก แม่ผมนี่ถึงกับเตรียมเสื้อผ้าไปใส่แบบเป็นนางแบบประจำทริปเลย
ขอบคุณทุกๆมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ขอบคุณพี่นางและน้องกล้วย ที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ขอบคุณโกโกะ คนขับรถที่นำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ และคอยให้บริการอย่างมีมิตรไมตรีครับ
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามการเดินทางของผมเสมอมา ไว้เจอกันใหม่สำหรับการเดินทางครั้งหน้านะครับ
“เจซูติน บาแด”