เมื่อคืนตอนกลับโรงแรม ผมลงไปนั่งเล่นเน็ตที่ล็อบบี้ ก็ได้เพื่อนใหม่อีกครับ ชื่อว่า Sandip เป็นน้องชายของเจ้าของโรงแรม มาช่วยพี่ชายทำงานครับ ผมถามเขาว่า อย่าหาว่าละลาบละล้วงเลยนะ จริงหรือเปล่าที่ผมอ่านเจอในเน็ตเขาบอกว่าคนเนปาลทำงานได้เงินวันละ 100 รูปีหนะ
เขาก็ตอบว่า คนส่วนใหญ่ก็ได้ประมาณนั้น อย่างเขาทำงานในโรงแรมก็ได้เดือนละ 7000 รูปี ผมได้ยินแล้วก็แบบ หือ เจ็ดพันรูปีมันก็สองพันหนึ่งร้อยบาทเองนะ เขาหัวเราะ ก็บอกว่านี่แหละชีวิตคนเนปาล ปากกัดตีนถีบกันต่อไป เขาก็ไม่อยากทำงานในเนปาลหรอก ไว้เรียนจบแล้วเขาจะไปสมัครงานที่ต่างประเทศ
ผมถามเขาว่าเขาเรียนอะไรอยู่ เขาก็บอกว่าเรียนวิศวะครับ แต่ก็อายุ 24 ปีแล้วนะ ยังไม่จบ ผมก็สงสัยตามสไตล์ ว่าทำไมถึงยังไม่จบ เขาก็บอกว่าเพราะว่าเขาหยุดเรียนไปสองปี เพื่อไปทำงานเก็บเงินไว้สำหรับค่าเทอม ผมก็เลยถึงบางอ้อ
เราคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันจนถึงเที่ยงคืน ผมก็ขอตัวไปนอนก่อน
เช้าวันนี้อากาศก็หนาวเช่นเคยครับ
ผมแต่งตัวเตรียมออกไปเที่ยวยังเมืองใกล้ๆครับ ผมอ่านใน Guidebook บอกว่าเป็นมรดกโลกด้วย และเห็นในเน็ตก็มีแต่คนเชียร์ว่าต้องไปให้ได้นะ ผมเองก็ใคร่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร คือผมเข้าใจแหละว่ามันก็ต้องสวย แต่นั่นมันคือเรื่องราวก่อนแผ่นดินไหว ส่วนหลังแผ่นดินไหวมันจะเหลืออะไรให้ผมดูบ้างผมก็ไม่รู้ ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก
ผมอยากเห็นหมู่บ้านปั้นหม้อดินเผาของพวกเขาเสียมากกว่า ซึ่งก็อยู่ที่เมืองนี้ ที่ชื่อว่า Bhaktapur ครับ
ผมบอกกับทางโรงแรมว่าช่วยหาแทกซี่ไปส่งผมที่เมือง Bhaktapur ให้หน่อยนะครับ เขาก็บอกว่าถ้าไปอย่างเดียว 1,000 รูปี ถ้าไปกลับ แทกซี่คิด 2,100 รูปี เพราะเขาต้องรอเราด้วย 3 ชั่วโมง ผมก็ไม่คิดอะไรมากครับ เรียกมาโลด คิดเสียว่าเป็น One Day Trip
หลายคนอาจจะงงว่าทำไมผมถึงไม่ไปเรียกแทกซี่เอง หรือต่อราคาบ้าง คืออย่างนี้ครับ ทริปนี้ผมมาแบบด่วนๆ และผมก็คิดว่าถ้าราคาที่เขาเสนอผมโอเคแล้วผมก็ไม่อยากจะไปวุ่นวายอะไรมากครับ อย่างไปเที่ยวก็คิดว่าเหมารถเขาทั้งวัน ราคา 700 บาท มีคนขับรถไปส่งให้แบบนี้ผมก็ว่าสบายดีนะ แถมมั่นใจได้ด้วยว่ารถที่เขาติดต่อให้ก็น่าจะไว้ใจได้ อีกอย่างคือผมไม่ค่อยจะเป็นสายต่อราคาเก่งด้วยครับ ถ้าเขาบอกราคาแพงเกินราคาในใจก็ไม่เอา แค่นั้นคับ ฮ่าๆ สำหรับใครที่ต่อราคาเก่งๆ ผมว่าน่าจะเที่ยวได้ถูกกว่าผมอีกเยอะมากเลย แต่เชื่อเหอะ ขนาดผมเน้นเปย์แบบนี้ ยังไม่เกินงบที่เตรียมมาเลยครับ
ระยะทางระหว่างเมือง Kathmandu ไปยัง Bhaktapur แค่ประมาณ 15 กิโลเมตรครับ แต่มันดูไกลแสนไกล เพราะการจราจรและสภาพถนน แต่วิวระหว่างทางเราก็จะเห็นภูเขาหิมะด้วย คนเมืองร้อนแบบผมก็ตื่นเต้นไปครับ นั่งดูวิวเพลินๆ
ผ่านไปประมาณ 30-40 นาที รถแทกซี่ก็พาผมมาถึงที่ด้านหน้าทางเข้าจตุรัสของเมือง Bhaktapur แล้วครับ
เพียงแค่รถจอด แล้วเราก้าวลงจากรถ
“Hello, my friend!”
เสียงคนเดินมาทักถึงหน้าประตูรถ
“คุณมาคนเดียวเหรอ มาจากประเทศไหน” ผมหันไปมองหน้าคนพูด เป็นหนุ่มน้อยอายุประมาณ 18 ปี
“มาจากเมืองไทยครับ” ผมตอบ
“คุณเพิ่งเคยมาเนปาลเหรอ ผมทำงานเป็นไกด์ท้องถิ่น ผมสามารถพาคุณเที่ยวเมืองนี้ได้ เมืองนี้เป็นเมืองประวัติศาสตร์ ผมว่าเที่ยวแบบมีไกดจะสนุกกว่านะครับ” เขาเสนอตัวมาเป็นไกด์ให้ ในใจผมก็คิดไว้แล้วว่าเมืองนี้ผมต้ังใจจะหาไกด์ ก็ถามราคาไปว่าคิดอย่างไร
“1,000 รูปี สำหรับชั่วโมงครึ่ง” อืม ก็ไม่เลวนะครับ บอกแล้ว ทริปนี้ ขี้เกียจต่อราคาครับ ก็เลยตกลงใช้บริการไป
ที่เมืองนี้ เราต้องซื้อตั๋วเข้าชมด้วยครับ ถือว่าแพงโหดมากเมื่อเทียบกับที่อื่นๆคือ 1,500 รูปี! แต่ผมผ่านทริปเมืองจีนมาแล้ว ค่าตั๋วโหดกว่านี้หลายเท่านัก ดังนั้นก็เลยไม่ได้รู้สึกว่านี่จะทำให้ผมสะท้านกายใจได้สักเท่าใด หึๆ
“ยินดีต้อนรับมายเฟร็นด์ เข้าสู่เมืองของเรา นี่เป็นเมือง Bhaktapur เมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์” ไกด์หนุ่มน้อยของเราเริ่มต้นสาธยาย อือ ดี เป็นงานมากน้อง ฮ่าๆๆ
“คุณเห็นประตูด้านหน้าไหม ที่เป็นสีชมพูหนะ จริงๆแล้วเมื่อก่อนมันเป็นสีขาวนะครับ แต่ว่าเขาสร้างขึ้นมาใหม่ เพราะอันเก่ามันพังจากแผ่นดินไหว” ผมชี้ให้ผมดูประตูใหญ่ด้านหน้าทางเข้าตรงจุดซื้อตั๋ว
“ตรงนี้เป็นวิหารสำหรับพระกฤษณะ เป็นเทพเจ้าแห่งความรัก”
ผมได้ยินแล้วก็ หืม ยังไงเหรอ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเทพฮินดูมากนัก
“พระกฤษณะมีเมียเป็นร้อยเลยครับ พระองค์เจ้าชู้มาก ฮิๆๆ” น้องไกด์เราพูดไปขำไป
“อะไรนะ? เมียเป็นร้อยๆเลยเหรอ?” ผมถาม
“ใช่แล้ว เมียเป็นร้อยเลย เราจึงนับถือพระองค์ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความรัก. วิหารที่เรายืนอยู่ตรงนี้ แม้จะไม่ได้รับความเสียหายเมื่อดูจากภายนอก แต่คุณลองมาดูตรงนี้ครับ ส่องเข้าไปข้างใน จะเห็นว่าข้างในนั้นพังทลายเสียเกือบหมด”. เขาพูดแล้วบอกให้ผมไปส่องรูตรงบานประตูครับ ซึ่งตรงนั้นก็มีผู้หญิงเนปาลนั่งอยู่ ไกด์ก็ทำท่าโบกมือประมาณว่า แกหนะ ถอยไปซิ ชิ่วๆ ลูกค้าตูจะมาส่องดูข้างใน. ผู้หญิงคนนั้นก็กระเถิบให้พื้นที่ผมไปส่องดู
เออ แฮะ พังเยอะจริงๆด้วย
“ว่าแต่ทำไมต้องล็อกประตูไว้ด้วยหละเนี่ย?” ผมสงสัย
“อ๋อ เขาเปิดให้ดูแค่ปีละครั้งสองครั้งเอง ตอนมีงานสำหรับบูชาพระกฤษณะ ถ้านอกนั้นก็จะปิดไว้หนะครับ แล้วคุณหันไปดูตรงนี้ ก็จะมีแท่นสำหรับบูชา เผื่อใครอยากจะมีเนื้อคู่ก็มาขอพรจากพระกฤษณะ คุณสนใจไหม คุณแต่งงานหรือยัง” ไกด์เริ่มอยากรู้ชีวิต
นี่ๆมาดูนี่ เขาชี้ไปยังจุดถัดไป
“ตรงนี้เป็นที่อยู่ของกษัตริย์มาก่อน คุณรู้ใช่ไหมว่าเนปาลเคยมีกษัตริย์นะ” ผมพยักหน้า เพราะผมก็พอรู้มาบ้าง
“กษัตริย์เราก็นับถือพระกฤษณะมากเลย ฮิๆ อยากรู้ไหมว่าทำไม?”
ผมส่ายหัว
“ก็เพราะพระองค์มีเมียโคตรเยอะไม่ต่างจากพระกฤษณะยังไงละ ฮิๆๆๆ” เห้อ ดูมันพูดไปขำไป เด็กเอ๋ยเด็ก
“นี่คืออาคารส่วนหนึ่งของวังกษัตริย์ เห็นหน้าต่างแต่ละบานไหมครับ ที่แกะสวยๆนั่นอ่ะ เป็นหน้าต่างสำหรับเมียแต่ละคนเลยนะ คุณลองนับดูสิว่ามีกี่บาน”
ผมประมาณด้วยสายตาคร่าวๆ ก็คิดว่าน่าจะหลายสิบบานเลย
“เยอะมากเลยใช่ไหมละ? นั่นแหละ หนึ่งบานก็หนึ่งคน ฮิๆ” แล้วเอ็งจะขำอะไรวะเนี่ย
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมนั้น ตรงจุดนี้เรียกว่า พระราชวังของกษัติรย์ครับ มีหน้าต่างที่เป็นงานแกะสลักไม้อันโดดเด่นมากๆจำนวน 55 บาน สมัยก่อนเมืองนี้เป็นเมืองหลวงมาก่อน และมีความเจริญด้านการค้ามากๆทำให้ก็ค่อนข้างมีฐานะนั่นแหละ จึงมีสิ่งปลูกสร้างยิ่งใหญ่อลังการ เป็นสิ่งปลูกสร้างตามสถาปัตยกรรมแบบเนปาล
“มาๆ มาต่อไป นี่เป็นประตูทองคำครับ จริงๆก็ไม่ใช่ทองคำจริงๆหรอก สวยใช่ไหมละครับ เป็นประตูที่การแสะสลักสวยงามและสมบูรณ์มากๆติดอันดับโลกเลยนะ ข้างในนี้ก็จะมีบางจุดที่ห้ามถ่ายรูปนะครับ ตามผมมา ระวังศีรษะด้วยนะ”
ตรงด้านหน้ามีทหารเฝ้าด้วยครับ
พอลอดประตูเข้ามาก็เห็นพวกชิ้นส่วนบางอย่างที่กองกับพื้น
“รูปปั้นทั้งหลายที่พังๆจากแผ่นดินไหวหนะครับ” ไกด์อธิบาย
แล้วเราก็ลอดประตูเข้าไปอีก
“ตรงนี้คุณถ่ายรูปได้นะ แต่หลังจากโซนนี้เป็นต้นไป ห้ามถ่ายรูปนะครับ”
“เห็นไหม ตรงนี้เป็นช่องๆ เขาเอาไว้ใส่เทียนหนะครับ เมื่อก่อนเราไม่มีไฟฟ้าใช้ ก็อาศัยแสงสว่างจากเปลวเทียนนี่แหละ อาคารนี้เมื่อก่อนเป็นที่อยู่ของกุมารีด้วยครับ คุณรู้จักกุมารีไหม ที่เมืองกาฐมัณฑุก็มีกุมารีนะ เรามีกุมารีเยอะมาก แต่เดี๋ยวนี้เหลือแค่ที่กาฐมัณฑุที่เดียวแล้ว ถ้าคุณอยากถ่ายรูป เดี๋ยวตอนเราเดินกลับมาค่อยมาถ่ายนะ” ไกด์บอก เพราะตอนนั้นก็มีกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ยืนถ่ายรูปกันเต็มไปหมด
“ตรงนี้เป็นลานที่เข้าไปสำหรับทำพิธีบูชายัณห์นะครับ ห้ามถ่ายรูปนะ!” เขารีบเตือนเมื่อเห็นผมเปิดกระเป๋า
“ผมไม่ได้จะถ่ายรูป จะเอาหนังสือ Guidebook มาอ่าน”
“อ้อครับ ตรงนี้เวลาเราจะบูชายัน เราจะเอาควายมาที่นี่ แล้วก็สังเวยให้เทพเจ้าครับ”
“ใช่ที่ฆ่ากันเยอะๆหรือเปล่า” ผมถาม
“ใช่ๆ” เขาพยักหน้า
“เราเชื่อว่าจะนำความโชคดีมาให้เรา”
ผมถามว่าขอยื่นหน้าไปดูนิดหนึ่งได้ไหม ไกด์เลยคุยกับทหารที่ยืนอยู่ เขาบอกว่านี่เป็นเขตหวงห้าม คนนอกศาสนาเข้าไม่ได้เด็ดขาด แต่ก็อนุญาตให้ผมยื่นหน้าผมดูได้นิดหน่อย ผมก็เห็นว่าเป็นลานกว้างๆมากเลยครับ มีภาพแกะสลักเทพเจ้าอะไรด้วย แล้วก็เห็นแท่นสำหรับฆ่าสัตว์ด้วยครับ. ส่วนบานประตูทางเข้าด้านนอกนั้นก็มีการแกะสลักละเอียดละออมาก
จากนั้นไกด์ก็พาผมไปอีกฝั่งครับ
“ตรงนี้เป็นลานสำหรับอาบน้ำของกษัตริย์กับเมียของพระองค์ครับ” ไกด์เล่า
เป็นเหมือนสระว่ายน้ำ ที่มีนาคพ่นน้ำลงมายังสระครับผม แม้ตอนนี้สภาพจะไม่ได้อลังการเหมือนก่อนเก่า แต่ก็พอเดาได้ว่าในยุคนั้นน่าจะเป็นอย่างไร คิดภาพแล้ว มันก็คือฮาเร็มของคนในยุคนี้กระมัง ที่ร่ำสุราเคล้านารี รายล้อมสระเป็นรูปปั้นงูเห่าลำตัวยาวเหยียด คอยชูช่อแผ่แม่เบี้ยบ่งบอกถึงอำนาจของเจ้าของสถานที่
ตรงลานอาบน้ำนี้เราสามารถถ่ายภาพได้ครับ
เราเดินย้อนกลับมาภายนอกอีกครั้ง
“อันนี้เป็นระฆังหมาเห่าครับ เมื่อก่อนเราไม่มีโทรศัพท์ เวลาราชาจะเรียกคนมาใช้งานก็จะตีระฆังอันนี้แหละ” ไกด์เล่า พร้อมชี้ไปยังระฆังใบใหญ่ที่แขวนไว้เหนือแท่นศิลา
“อาคารข้างๆนี้ เป็นศาลาพักกายครับ เอาไว้ให้ราชามาพักหลบแดดยามที่เดินเมื่อยๆ อาคารนี้สร้างขึ้นมาใหม่ครับ โดยชาวเยอรมัน แต่ว่าเขาสร้างให้เป็นแบบเดิม คุณเข้าไปดูได้นะครับ จะเห็นว่ามีหินแกะสลักภาษาเยอรมันด้วยแหละ แต่ว่าผมอ่านไม่ออก”. เขาชี้ให้ดูอาคารที่อยู่ตรงข้ามพระราชวังเบื้องหน้า
นี่ยังแค่เป็นจุดเริ่มต้นของจตุรัสนะครับ ยังมีอะไรให้ดูเยอะแยะขนาดนี้เลยเหรอ
“คุณเห็นรูปปั้นบนนั้นไหมครับ? นั่นเป็นรูปปั้นของกษัตริย์ภูปตินทระมัลละ เขากำลังทำท่าไหว้อยู่ ที่หันหน้าเข้าหาราชวังหนะครับ นั่นเป็นเป็นมรดกโลกนะ”
“ส่วนตรงนี้มีเรื่องราวค่อนข้างน่ากลัวหน่อยครับ สิงโตสองอันที่ยืนอยู่นี้ เราเรียกว่า Lion’s Gate คุณรู้ไหมว่าครับ ช่างที่ทำงานชิ้นนี้ขึ้นมา พอทำเสร็จแล้วเขาถูกตัดมือทิ้งไปด้วยครับ เพราะราชาไม่อยากให้เขาไปทำงานฝีมือแบบนี้ที่ไหนอีก”
ได้ยินแล้วผมก็ได้แต่ร้องเห้อในใจ ผมไม่ค่อยเข้าใจความคิดของราชาผู้ยิ่งใหญ่ในแถบเอเชียเราสักเท่าไหร่ คราก่อนก็พม่าที่ฆ่าล้างครอบครัวตัวเอง และบรรดาศิลปินเพื่อไม่ให้ไปสร้างสิ่งสวยงามแข่ง ครั้งนี้ก็เนปาลที่ไม่อยากให้ไปสร้างที่ใหม่ๆเพิ่ม ความงามความยิ่งใหญ่เพื่อสนองนีดตัวเองแล้วแลกมากับความเจ็บปวดและเลือดเนื้อของประชาชน ผมว่ามันเป็นอะไรที่น่ารังเกียจมากๆ
“ตรงนี้เป็นวัดพุทธครับ แต่น่าเสียดายที่มันพังลงมาแล้วอ่ะ เลยเหลือแต่ฐาน” ผมมองไปตามที่เขาบอก ก็เห็นฐานที่มั่นคงขนาดใหญ่ เป็นบันไดพาเดินไปสู่ยอดที่ไม่เหลือแล้ว บันไดนั้นก็จะมีเหล่ารูปปั้นสิงสาราสัตว์ขนาดใหญ่ตั้งตะหง่านอยู่ด้านหน้า
“ส่วนตรงนี้เป็นลานอาบน้ำสำหรับชาวบ้านครับ เมื่อก่อนนั้นเราไม่มีห้องน้ำเป็นของตัวเอง ก็จะมาอาบน้ำกันที่นี่แหละ ถัดจากตรงนี้ก็เป็นวัด ที่มีภาพแกะสลักกามาสูตราด้วย คุณไปดูสิครับ”
ผมเดินตามไกด์
“นี่เป็นภาพเรื่องราวบางส่วนจากกามาสูตรา เพราะว่าราชาเมื่อก่อน รักใครก็จับเอามาเป็นเมียเลย บางคนก็ยังเด็กมากๆ ยังไม่ประสีประสาเรื่องเพศ ก็เลยต้องให้มาศึกษาจากที่ตรงนี้ว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้นะ ฮิๆๆ”
ผมเห็นแล้วก็นึกถึงงานแกะที่กาฐมัณฑุเมื่อวานนี้ คนสมัยก่อนเขาสอนเรื่องเพศกันผ่านงานศิลปะพวกนี้สินะ แต่พอนึกไปถึงวัยของคนรุ่นนั้นที่อายุสิบสามสิบสี่ก็มีเพศสัมพันธ์กันแล้วก็คิดว่าเป็นอะไรที่คงดูน่าตกใจไม่น้อย เพราะสภาพสังคมเก่าๆก็น่าจะไม่ได้เปิดเรื่องเพศกันมากเหมือนสมัยนี้ที่แค่มีมือถือก็หาสื่อทางเพศดูได้แค่ปลายนิ้ว
ไกด์พาผมเดินชมนั่นชมนี่ไปเรื่อยๆ ที่นี่เป็นเมืองในหุบเขา เราจะเห็นว่ามีภูเขารายล้อมเมืองเลย สวยมากๆ ทางเดินที่เข้าไปยังซอยต่างๆ แม้จะเป็นทางเดินแบบแคบๆ แต่มันก็ให้ความรู้สึกคลาสิกเลยแหละครับ ผมเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆตามไกด์ไป ระหว่างทางก็จะเห็นผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยซื้อของกัน มีเด็กนักเรียนออกมาสัมภาษณ์นักท่องเที่ยว เด็กที่นี่พูดอังกฤษกันเก่งสุดๆเลย
“นี่คือวัดที่สูงมากๆของที่นี่ครับ ชื่อว่าวัด Nyatapola เป็นภาษาเนวารีหนะครับ แปลว่า ห้าเรื่องราว ที่นี่เป็นเจดีย์ที่ใหญ่และสูงสุดในเนปาล ตรงด้านล่างจะมีรูปปั้นอย่างละคู่ โดยแต่ละคู่จะมีพละกำลังเยอะกว่าตัวที่อยู่ด้านล่างสิบเท่า เช่น คนยักษ์ก็พละกำลังสูงกว่าคนทั่วไปสิบเท่า สิงโตถัดไปก็พละกำลังมากกว่าคนยักษ์สิบเท่า ประมาณนี้ครับ คุณเดินขึ้นไปดูข้างบนได้นะ ด้านบนเป็นงานแกะสลักที่เกี่ยวกับเจ้าแม่ลักษมีเทวี เดี๋ยวผมรออยู่ตรงนี้”
เมื่อเดินขึ้นไปที่ชั้นบนสุด เราจะมองเห็นวิวของจตุรัสด้านล่าง เบื้องหน้าก็เป็นภูเขาที่ยิ่งใหญ่ ถัดจากวัดนี้ไปก็เห็นวัดอีกวัดที่มียอดเป็นสีทองๆครับ
ผมเดินวนตามเข็มนาฬิกาเพื่อดูรายละเอียดของงานแกะสลักที่นี่ ก็จะเห็นว่ามีการแกะสลักไม้ที่ประณีตวิจิตรบรรจงยิ่งนัก ที่ฐานด้านบน มีคนนั่งเล่นบ้างเป็นประปราย ส่วนมากก็เป็นนักท่องเที่ยวที่มานั่งชมวิวเมืองแห่งนี้
ผมเดินลงมาด้านล่างเพื่อพบกับไกด์หนุ่มน้อย
“วัดนี้เป็นวัดที่ชื่อว่า Bhairavnath Temple ครับ เป็นวัดที่สร้างขึ้นมาเพื่อแสดงความเคารพแด่เทพเจ้า Bhairab ครับ”
“อะไรคือเทพเจ้า Bhairab?” ผมถาม
“อ๋อ เป็นอวตารของพระศิวะนะครับ เป็นปางที่ดุร้ายของพระองค์ คุณดูตรงด้านบนขวามือก็ได้ จะเห็นรูปวาดของ Bhairab ครับ”
ผมเหลือบตามองไป ก็เห็นภาพวาดที่ว่า
ขณะนั้นก็มีชาวบ้านมาทำพิธีบูชาด้วยครับ
“ถัดจากนี้เดี๋ยวเราจะไปดูสิ่งที่มีชื่อของที่นี่ครับ เป็นงานเครื่องปั้นดินเผาครับ” อ้อ นั่นสินะคือจุดหมายปลายทางที่ผมอยากเห็นมากๆ
“เดินไม่ไกล อยู่ด้านหลังนี่เองครับ”
ระหว่างทางผมก็เห็นเศษซากปรักหักพังของอาคารต่างๆ ผู้คนชาวเนปาลก็กำลังพยายามที่จะฟื้นฟูมันขึ้นมาใหม่ด้วย แต่ผมว่าก็คงใช้เวลาเป็นสิบปีละมั้งกว่าจะกลับมาเหมือนเดิมได้
แล้วผมก็เห็นบรรดาชาวบ้านชายหญิงพากันสาละวนกับการตากเครื่องปั้นดินเผา
นี่แหละที่ผมอยากจะมาเห็น!
“ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องงานปั้นครับ เดี๋ยวผมพาเดินดูว่าเขาทำยังไง ตรงนี้เขาเอามาตากแดดให้แห้ง ส่วนตรงนั้นเป็นที่อบด้วยความร้อนสูง”
ผมหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปด้วยความสนุกสนาน
สีสันของงานเครื่องปั้นดินเผา กับสีสันของเสื้อผ้าของผู้คนที่นี่ มันดูเสริมกันมาก
“สนใจซื้อสักใบไหม?” คนขายของถามผม
“ไม่ละครับ ขอบคุณมาก” ผมปฏิเสธไป เพราะผมก็ไม่รู้จะเอาไปทำไม ฮ่าๆ
“นี่มันกี่โมงแล้ว? ใกล้จะถึงชั่วโมงครึ่งหรือยัง” ผมรีบถามไกด์ กลัวจะกินเวลาของเขามากไป
“อ๋อ ยัง ไม่เป็นไร เดี๋ยวยังมีอีกจุดที่ไปดูชื่อว่า Peacock Windows ครับ แต่ เอ้อ ผมเรียนที่โรงเรียนสอนวาดทังก้าด้วยนะ คุณสนใจไปดูไหม?”
หือ ทังก้า เหรอ ผมสนใจสิ ผมชอบศิลปะแนวนี้อยู่แล้ว ก็เลยตกลงที่จะไปดู
“ที่นี่เราสอนวาดทังก้า เป็นโรงเรียนหนะครับ คุณสนใจซื้อสักภาพก็ได้นะ ราคาไม่แพง” แล้วก็มีคนขายของในโรงเรียนมาเสนอขายทังก้าให้กับผม ในราคาที่ไม่ได้แพงมากนัก มีตั้งแต่ใบละ 600 รูปีครับ ถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับทังก้าที่ผมเคยซื้อที่แชงกรีล่า ที่ราคาเหยียบหมื่น แต่ผมก็ไม่ได้ซื้อกลับมาครับ
จุดสุดท้ายที่ไกด์หนุ่มน้อยพาผมมาดูก็คือ The Peacock Window ซึ่งเป็นหน้าต่างที่ได้สร้างขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 15 เปรียบดั่งเป็นโมนาลิซ่าแห่งเนปาลเลยก็ว่าได้ เพราะถือว่าเป็นงานศิลปะที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง หน้าต่างนี้ประกอบด้วยการแกะสลักนกขนาดเล็กจำหนวนหนึ่งรายล้อมนกยูงขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางครับ ด้านบนเหมือนจะเป็นคาเฟ่ให้นั่งชมวิวได้ด้วย แต่ผมไม่ได้เดินขึ้นไป
เมื่อไกด์พาผมเที่ยวครบทุกจุดไฮไลท์แล้ว ไกด์ก็ถามผมว่ามี WeChat ไหม ผมก็บอกว่ามี เราก็เลยแลกไอดีกันไว้ แล้วผมก็จ่ายเงินค่าตัวให้ไกด์ที่นำชมเมืองแห่งนี้ จากนั้นผมก็กลับเข้าไปเดินชมแต่ละจุดแบบเทคไทม์ของผมได้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ผมให้แทกซี่รอผมด้วยแหละ ดังนั้นผมจึงมีเวลาเต็มที่เพียงแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็ว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมนะครับ ถ้าก่อนแผ่นดินไหว สายละเลียดแบบผมอาจจะไม่พอ แต่นี่คือสถาปัตยกรรมหลายส่วนยังอยู่ในขั้นตอนการบูรณะ เวลาเท่านี้จึงเพียงพอแบบพอดีเป๊ะเลย
ผมเลือกที่จะเดินเข้าตรอกซอกซอยแปลกๆเพื่อลองสำรวจดูว่าเมืองนี้นอกจากจุดที่คนเขามากันแล้ว แล้วพวกคนพื้นเมืองเขาอยู่กันอย่างไร ผมใส่หมวกชาวเนปาลด้วย ดังนั้น เนียนไปกับเขาได้เลย
ส่วนมากที่ผมเห็นจะมีแต่คนมานั่งอาบแดดหน้าบ้านครับ บ้านของพวกเขาก็ทาสีสันแสบทรวงกันมาก หลายคนเห็นผมมีกล้องก็ยิ้มให้ ผมก็ขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึกสักหน่อย ที่นี่เขาวางผังเมืองดีครับ ต่อให้หลงทางก็หาทางออกได้ มันเชื่อมถึงกันหมด แค่เดินไกลกว่าเดิมเท่านั้นเอง
เมื่อมาถึงจุดพักแทกซี่ ผมเปิด Guidebook แล้วเข้าใจว่ามีวัดหนึ่งที่ผมยังไม่เห็น ผมก็เลยถามคนขับ คนขับเองก็ไม่รู้ เลยถามคนแถวนั้น คนแถวนั้นเลยบอกว่า อ๋อ เป็นวัดที่อยู่บนเขา ต้องนั่งรถไปราว 18 km. ผมถามเขาว่าเขาจะคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเท่าไหร่ เขาก็บอกว่าคิดเพิ่มอีก 1,000 รูปี รวมเป็น 3,100 รูปี ผมก็โอเคครับ รับได้ ไปกันเล้ย!
จริงๆแล้ว ต้องบอกว่าผมเข้าใจผิดครับ ด้วยความที่หนังสือที่ผมเอามามันเป็นหนังสือเรื่องราวก่อนแผ่นดินไหว ฮ่าๆ พอไปเห็นวัดบนเขาที่ว่าเลยรู้เลยว่าเป็นวัดที่ไม่รู้จักมาก่อน แต่เอาสิ ไหนๆก็มาแล้ว ก็ไปดูกัน
ปรากฎว่าโอ้โห วัดสวยมาก! รู้สึกดีใจในความเข้าใจผิด วัดนี้ชื่อว่า Changunarayan Temple ครับ เราต้องเดินขึ้นเขาไปหน่อยนึง เป็นวัดที่ไม่ได้ใหญ่มาก แต่งานแกะสลักละเอียดละออมากๆ แถมผู้คนก็ไม่พลุกพล่านด้วยครับ
วัดนี้เป็นวัดโบราณมากของชาวฮินดู ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงที่ชื่อว่า Changu หรือ Dolagiri ครับ ระหว่างทางเราจะผ่านหมู่บ้านเล็กๆด้วย แถมเป็นวัดที่ได้รับการยกย่องเป็นพิเศษสำหรับชาวฮินดูด้วย เพราะเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเนปาล ว่ากันว่าราชาแคชเมียร์ได้ยกบุตรีของตัวเองที่ชื่อว่า Champak สมรสกับเจ้าชายแห่งเมือง Bhaktapur ครับ วัดนี้จึงตั้งชื่อตามชื่อของเธอนั่นเอง
ผมเดินดูวัดนี้ด้วยความตื่นเต้น โอ้โห! วิหารมุงหลังคาสองชั้นตั้งตระหง่านบนฐานของหินสูงใหญ่ รายล้อมไปด้วยประติมากรรมและงานศิลปะชั้นยอด ในข้อมูลที่ผมหาเพิ่มเติมเขาบอกว่าเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระนารายณ์ครับ ทางเข้าวัดทั้งสี่ทิศจะมีรูปปั้นของสัตว์ด้วยครับ เป็นสัตว์ที่คุ้มครองวัด อีกด้านหนึ่งนั้นเป็นงานทองเหลืองทั้งหมด ที่มีลวดลายสวยงามยิ่งใหญ่มาก ผมไม่รู้ว่าอยู่ทิศไหน แต่มันอยู่ตรงข้ามกับทางเข้าเลยครับ สวยสุดยอด
ในข้อมูลมีบอกว่าที่นี่มีจารีกภาษาสันสกฤตที่เป็นจารีกเก่าแก่ที่สุดของเนปาลด้วย แต่ผมไม่เห็นนะครับ แหม่ ถ้ารู้ตั้งแต่ต้น ผมคงหามาฝากแล้วแหละ
นี่สินะ ที่เขาว่า บางครั้งการหลงทางมันก็ไม่ได้แย่หรอก
สิ่งที่เราไม่ได้คาดหมายก็อาจจะสวยงามไม่แพ้สิ่งที่เราตั้งใจมาค้นหา
ผมเดินทางกลับไปยังโรงแรม เย็นนี้ Sandip นัดผมว่าจะพาไปนั่งมอเตอร์ไซด์เที่ยววัด Monkey Temple ไปดูวิวตัวเมือง Kathmandu ครับ
16:00 น. ซานดิพก็มาหาผมที่โรงแรม เขาถามผมว่าอยากจะไปที่ไหนก่อน ผมก็ว่าไปวัดลิงละกันนะ แล้วลิงที่นี่ดุไหม กลัวจะเหมือนลิงที่บาหลี ที่เฟี้ยวมาก แย่งโน่นแย่งนี่จากนักท่องเที่ยว ซานดิพบอกผมว่าไม่หรอก ลิงที่นี่ค่อนข้างจะเป็นมิตร แถมกลัวคนมากด้วย งั้นเราก็ไปกันเลย
ผมนั่งซ้อนมอเตอร์ไซต์ของซานดิพ เราขับผ่านถนนอันวุ่นวายของเมืองหลวง แต่ผมก็สังเกตว่าวันนี้มันดูเงียบๆกว่าเมื่อวานนะ หรือผมคิดไปเอง
“วันนี้วันเสาร์ไง เป็นวันหยุดของชาวเนปาล ร้านค้าหลายร้านเลยไม่เปิด” อ้อ แบบนี้นี่เอง ดังนั้นจำไว้นะครับ ถ้าจะชอปปิ้ง อย่าชอปวันเสาร์ ร้านปิดจ้า
จริงๆที่โรงแรมบอกผมว่าผมเดินมาวัดนี้ก็ได้นะ ราว 30 นาที แต่ผมประเมินจากการนั่งรถแล้ว มารถดีกว่า ฮ่าๆ เพราะถ้าเดินมันก็ค่อนข้างไกลอยู่นะ คนเนปาลอาจจะเดินกันเป็นปกติ แต่สำหรับผมที่ทริปนี้เน้นเปย์มันนี่ ก็ใช้เงินแก้ปัญหาจ้า 55
วัดนี้เป็นวัดพุทธนะครับ มีชื่อจริงๆว่า Swaymbhunath มีความหมายว่า “ตันตนที่มีอยู่จริง” เป็นวัดที่สร้างโดยรกษัตริย์ Manadeva ต่อมาในศตวรรษที่ 13 วัดแห่งนี้ก็กลายมาเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของพระพุทธศาสนาเลยครับ
ผมมองขึ้นไปยังทางเดินขึ้นไปยังวัด ซานดิพบอกว่าเป็นบันไดราว 350 ขั้น ผมไหวไหม? ผมก็ตอบว่าไหวดิ ไปเดินที่มัณฑะเลย์ ประเทศพม่ามา เยอะกว่านี้ยังไหวเลย ป่ะ ลุยกัน
ระหว่างที่เดินขึ้นบันได จะเห็นว่ามี “ลิง” เยอะมาก เยอะวัวตายควายล้ม มิน่าเล่าผู้คนถึงเรียก “วัดลิง” ในข้อมูลบอกว่า วัดนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา “เล็กๆ” ผมว่าเล็กของที่นี่คือโคตรใหญ่สำหรับผมครับ ก็แหม่ เล่นเรียกภูเขาสูงพันเมตรว่า Hills ฮ่าๆ ภูเขาที่ใหญ่ของเขาคือหิมาลัยครับ นอกนั้นก็เป็นได้แค่ ฮิล จ้า เอาที่สบายใจเลยจ้าชาวเนปาลี ฮ่าๆ
เจดีย์นี้เป็นหนึ่งในเจดีย์ที่เก่าแก่ที่สุดในเนปาลด้วยเช่นเดียวกันครับ เมื่อไปถึงด้านบน เราก็จะเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองกาฐมัณฑุ เหมาะมากสำหรับคนที่อยากไปดูมุมกว้างของเมือง เพราะมันสวยจริงๆครับ ยิ่งยามพระอาทิตย์ตกดิน ภูเขาที่เรียงตัวสวยงาม ซ้อนกันลำดับชั้น แสงสีเหลืองส้มอ่อนๆที่ค่อยๆอ่อนตัวลง สร้างความเบิกบานใจให้แก่ผู้พบเห็นได้ดียิ่งนัก
ด้านบนก็จะมีกงล้อแห่งธรรม ที่มีการจารึกคำสวดมนต์ไว้ ชาวพุทธทั้งหลายก็มาเดินหมุนๆกงล้อนี้ครับ ที่นี่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาดูไม่ขาดสาย เรียกได้ว่าเป็นวัดที่สะท้อนถึงความเป็นหนึ่งเดียวของคนเนปาลมาก เพราะไมว่าจะเป็นฮินดูหรือพุทธ พวกเขาก็ใช้ชีวิตร่วมกันได้
รายล้อมวัดนี้ก็มีเจดีย์ขนาดกลางเต็มไปหมดเลยครับ แถมลิงก็วิ่งไปวิ่งมาเยอะสุดๆด้วย ผมก็ใช้เวลาชมพระอาทิตย์ตกดินที่นี่ แล้วก็บอกซานดิพว่าเดี๋ยวเราไปสถานที่ถัดไปอีกดีกว่า เป็นวัดที่เก่าแก่มากๆของฮินดูอีกเช่นกัน เอาไว้ประกอบศาสนพิธีหลังความตาย
วัดที่ได้ชื่อว่า Pashupatinath Temple
วัดนี้อยู่ทางไปสนามบินครับ เราไปถึงก็มืดมากแล้ว ดังนั้นรายละเอียดต่างๆของวัดนี้ผมก็ไม่ได้สังเกตอะไรมาก แต่ก็สัมผัสได้ว่าเป็นวัดที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ
ผมเห็นเขากำลังเผาศพกันกลางแจ้ง โชคดีที่มันดึกแล้ว ผมจึงเห็นแค่แสงไฟที่ปะทุรายล้อมร่างกายที่ไร้ลมหายใจเท่านั้น เป็นวัดที่มีความโศกเศร้าเต็มไปหมดเลย
ระหว่างที่เดินไปก็จะเห็นโยคีที่เพนต์ร่างกายด้วยสีสันต่างๆอยู๋ประปรายกำลังนอนในเจดีย์ที่อยู่ในวัดนั้น
“นี่คือ บาบา” ซานดิพบอกผม
ผมอ่านเจอมาว่าถ้าจะถ่ายรูปบาบา เขาจะคิดเงิน แต่ผมก็ตั้งใจว่าจะถ่ายนะ ไว้มาวันหลังละกัน เพราะไหนๆก็มาถึงแล้ว ผมว่า บาบา ก็เป็นอีกอย่างที่หาดูไม่ได้ในบ้านเรา จ่ายเงินนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ก็อย่างที่บอกไปไง ว่าทริปนี้ เน้นเปย์ ฮ่าๆ
ผมกับซานดิพนั่งชมเมืองยามราตรีที่วัด Pashupatinath กันประมาณ 20 นาที ก็พากันขับรถไปยัง Thamel ครับ ผมขอบคุณซานดิพที่อุตส่าห์ขับรถพาเที่ยว เขาบอกว่าไม่ต้องขอบคุณหรอก เราเป็นเพื่อนกันแล้ว เพื่อนไม่ต้องขอบคุณกันก็ได้ ผมบอกว่า ไม่หรอก เป็นเพื่อนกันแหละยิ่งต้องขอบคุณกัน เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าวเย็นตอบแทนนะ ซานดิพก็พยักหน้า ผมถามว่าอยากกินอะไร เขาก็บอกว่ากินอะไรก็ได้ เอาอีกแล้วประโยคนี้ เป็นประโยคที่ปวดหัวที่สุด
ผมก็เลยเสนอว่า กินอาหารไทยไหม นายน่าจะยังไม่เคยกิน เขาบอกว่าไม่เคยกินอาหารประเทศอื่นเลยนอกจากอาหารเนปาล ผมก็บอกว่าดี งั้นมาลองกินอาหารไทยกัน ผมเองก็อยากจะรู้ว่าอาหารไทยในเนปาลรสชาติเป็นอย่างไร
แล้วผมก็เดินผ่านร้านอาหารไทยครับ บรรยากาศแบบว่า หรูจังวะ ช่างแตกต่างจากร้านเนปาลแบบเหมือนคนละโลกเลย มีตั้งกองไฟให้ลูกค้าผิงไฟไป นั่งกินข้าวบนโต๊ะไป มีระดับมากๆ ซานดิพถามว่า แน่ใจเหรอว่าจะทานที่นี่ ดูแพงนะ
ผมตอบไปว่า เอาน่า ร้านอาหารไทยในเมืองนอกมันก็แพงทุกที่แหละ กินมื้อเดียว ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง
ซานดิพบอกว่าให้ผมเลือกเมนูได้เลย เพราะเขาไม่รู้จักอาหารไทย ผมก็เลยสั่งต้มยำกุ้ง ส้มตำ คอหมู่ย่าง ตามด้วยของหวานเป็นกล้วยบวชชี
เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ซานดิพก็บอกว่าสั่งเยอะมากไปไหมเนี่ย ฮ่าๆ เยอะอะไร อยู่เมืองไทยผมก็กินแบบนี้แหละ อย่างน้อยก็ต้องมีกับข้าวสองอย่างอยู่แล้ว
ผมลองชิมดู
อืม รสชาติไม่ใช่ไทยจ๋า มีการดัดแปลงรสชาตินิดนึง แต่ก็ถือว่าอร่อยมากๆๆ ให้คะแนน 9.5/10 ซานดิพลองชิมดูบ้าง
“โอ้โห อร่อยมาก อาหารไทยอร่อยแบบนี้ทุกอย่างป่ะ” เขาถาม
“แน่นอน ถ้านายไปเมืองไทยมีให้เลือกกินมากกว่านี้อีก เมนูหนาอย่างกะตำราเรียน” ผมโม้ให้เพื่อนใหม่ฟัง
แล้วเราก็จัดการอาหารเบื้องหน้าอย่างเอร็ดอร่อย
ทานเสร็จแล้ว ผมก็เรียกเขามาคิดเงินครับ ที่นี่คิดค่า Service Charge 10% และ Vat 13% นะครับ โหดได้เรื่อง เบ็ดเสร็จอาหารเย็นมื้อนั้น 4,000 รูปีจ้า ฮ่าๆ แต่ก็ไม่เลวนะ เพราะอร่อยทุกจาน แพงไม่กลัว กลัวไม่อร่อยครับ ที่นี่ถือว่ารสชาติผ่าน ราคาก็เป็นเรื่องปกติสำหรับอาหารต่างบ้านต่างแดนครับผม
กินข้าวเสร็จ หนังตาก็เริ่มหน่วงครับ ผมก็อำลาซานดิพ แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนก่อนกลับไป ซานดิพถามผมว่า พรุ่งนี้ผมจะไปเที่ยวไหน ผมบอกว่าผมว่าจะไปเมือง Patan เขาก็บอกว่าจะให้เขาไปส่งก็ได้นะ แต่ต้องรอตอนเย็น เพราะเขามีเรียน ผมก็บอกว่า ไม่เป็นไรๆ ผมไปเองได้ นายไปเรียนเหอะ เขาก็บอกต่ออีกว่า นี่นายมาเรียกแทกซี่ด้านนอกโรงแรมก็ได้นะ ไปปาตัน ราคาประมาณ 500 รูปี อย่าเรียกผ่านโรงแรม เพราะเขาจะคิดค่าบริการเพิ่ม ผมก็แบบ อ้าว หมอนี่ แทนที่จะช่วยพี่ชายทำงาน 55 เขาก็บอกว่า เพราะว่าผมเป็นเพื่อนเขาไง เลยอยากให้ประหยัดตังค์ ผมก็ตอบไปว่า เอาน่า จ่ายเพิ่มสิบยี่สิบบาท ผมไม่ได้ซีเรียสหรอก อย่างน้อยก็สบายจะตาย มีคนเตรียมรถให้ แถมยังรู้สึกปลอดภัยกว่าด้วย เขาก็บอกว่า โอเค ถ้านายคิดแบบนั้น แต่ถ้านายเลือกจะไปเอง บอกไปว่า Just 500! OK?! บอกแบบนี้ไปนะ ฮ่าๆ
แล้วเจอกันใหม่ ตอนต่อไปครับผม