ไปอยู่หลายวันจนถึงเวลาใกล้จะกลับ ท่านเจ้าคุณก็พาคณะเราไปลาท่านเจ้าอาวาส ชื่อท่านยิ่นเล่อ ท่านก็เมตตาให้ชามาเป็นของที่ระลึกแก่พวกเรา และอีกวันต่อมาท่านเจ้าคุณก็กลับเมืองไทย ผมเลยมีโอกาสได้นั่งรถเมลล์ไปเที่ยวเล่นด้วยตนเองในเมืองเก่าลั่วหยาง (เพราะปกติเวลาไปเที่ยวจะไปรถของวัดกับท่านเจ้าคุณ)
ในรูปบนคือท่านเจ้าอาวาสวัดไป๋หม่าซื่อมอบน้ำชาให้ผมครับ รูปล่างคือท่านเจ้าคุณช้างครับท่านมอบพระให้ผม
การไปเมืองเก่าลั่วหยางนั้น ผมนั่งรถเมลสาย 58 ฝั่งหน้าวัดประมาณ 45 นาที ราคา 1.5 หยวน ตลอดสาย (ถูกมาก) จะต้องผ่านเมืองใหม่ แล้วก็ผ่านวงเวียนที่มีเสาหินเลยวงเวียน 1 ป้ายรถเมลล์ก็ลงได้เลยครับ ข้ามฝั่งถนนไปก็เห็นกำแพงเมืองเลยครับ เข้าเมืองเก่าไม่เสียเงิน แต่ถ้าขึ้นกำแพงเมืองเสียเงิน 30 หยวนครับ ซึ่งไปแล้วก็ต้องขึ้นชมให้ครบครับ เมืองลั่วหยางเป็นเมืองเก่า เป็นที่รู้จักในเรื่องสามก๊กว่าเมืองลกเอี้ยง เคยเป็นราชธานีของหลายราชวงศ์เช่น ราศวงศ์โจวตะวันออก ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก และราชวงศ์ถัง ปัจจุบันรัฐบาลสร้างเมืองใหม่เป็นตึกให้ประชาชนอยู่อาศัย เมืองเก่าจึงถูกทุบทำลายไปมาก เหลือเพียงแค่โซนเมืองเก่าหลังกำแพงเมืองที่คงจะอนุรักษ์ไว้เป็น Land mark ของเมือง เมืองเก่าลั่วหยางก็ยังเหลือสถาปัตยกรรมเก่า ๆ ให้เราได้ชม แต่วิถีชีวิตก็ต้องเปลี่ยนไปเพื่อความอยู่รอดครับ ทุกบ้านในเมืองเก่าทำอาชีพเหมือน ๆ กัน คือ ขายของที่ระลึก และราคาก็ถูกกว่าหน้าวัดไป๋หม่าซื่อด้วยครับ เพราะมีร้านเยอะกว่าคงต้องแข่งขันกันขาย
กำแพงเมืองครับ ด้านบนเป็นป้อมปราการ
นี่คือด้านบนของกำแพงเมือง ข้างบนมีหอกลอง หอระฆัง และป้อมปราการต่าง ๆ ครับ ไม่ใหญ่โตเท่าไหร่ แต่สวยงามมากครับ รูปล่างสุดคือวิวเมืองเก่าที่ถ่ายจากบนกำแพงเมือง
จากนั้นเราก็ลงจากกำแพงเมืองมาเดินชมตัวเมืองเก่าครับ
รูปสุดท้ายกำลังทำขนมตุ๊บตั๊บครับ กว่าจะเป็นขนมใช้กำลังมากทีเดียวครับ ผมจึงอุดหนุนไป 2 กล่องครับ ที่สำคัญอร่อยด้วย
ผมก็ไม่ละความพยายามในการเที่ยวครับ ผมก็ชวนพี่ที่มาด้วยกันนั่งรถเมลล์สาย 58 ต่อไปอีกครับ นั่งจนเกือบจะสุดสายก็ถึงศาลเจ้ากวนอู ราคาเข้า 45 หยวน ครับ ผมก็ไปแบบไม่รู้อะไรมากนัก มาหาข้อมูลทีหลังจึงได้ทราบว่าเป็นสุสานที่ฝังศีรษะของกวนอู แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยสามก๊ก ซึ่งต่อมาได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ ภายในศาลเจ้าร่มรื่นไปด้วยต้นสนเหมาะแก่การเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ ถ้าไม่คิดว่าค่าเข้า 45 หยวนนะครับ
ด้านหน้าศาลเจ้า คืออะไรก็ไม่รู้
เทพเจ้ากวนอูในวิหารครับ
ผู้ที่มาสักการะต่างพากันเขียนคำอธิษฐานลงบนผ้าสีแดง ในภาพคือพี่จั๊มพ์ ครูอาสาที่ไปด้วยกันครับ
นี่คือสถานที่สุดท้ายที่เราไปเที่ยวกันในทริปนี้ ผมมีความอิ่มใจที่ได้ท่องเที่ยว ได้ไปในสถานที่ที่ไม่เคยไป ได้ไปเห็นผู้คนและวิถีชีวิตที่ไม่เคยเห็น ได้รู้จักกับคนที่ไม่เคยรู้จัก ได้พบมิตรภาพดี ๆ และนี่คือประสบการณ์ชีวิต บางครั้งอาจพบสิ่งที่ไม่ดีบ้างแต่เราก็เลือกที่จะให้สิ่งนั้นผ่านไป เพียงแค่เรียนรู้แต่อย่าเอาใจไปใส่มัน แล้วความสุขก็จะอยู่กับเราไปทุกที่ทุกเวลา สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณพระศรีสุทธิวิเทศ(ท่านเจ้าคุณช้าง) ที่เมตตาผมทุกเรื่องทั้งให้ที่อยู่ที่กินในวัดเหมอัศวาราม ขอขอบคุณวัดไป๋หม่าซื่อและท่านเจ้าอาวาสยิ่นเล่อเจ้าของสถานที่ให้การต้อนรับผมอย่างดี ขอขอบคุณอาจารย์พงษ์ลดา ธรรมพิทักษ์กุล ที่ชวนผมไปเล่นดนตรีเผยแพร่วัฒนธรรมผมจึงได้มีประสบการณ์ดี ๆ ครั้งนี้ ขอขอบคุณเพื่อนสนที่มอบโอกาสให้ผมได้เขียนประสบการณ์การท่องเที่ยวในครั้งนี้ และท้ายที่สุดขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ ที่กรุณาอ่านบทความอันน่าเบื่อของผมจนจบ ผมขอกล่าวคำว่า “สวัสดีครับ” แล้วพบกันใหม่ทริปต่อไป