ห่างจากเรื่องตอนที่แล้วไปนานหน่อย ต้องขออภัยด้วยครับ ฮ่าๆ วันนี้มาเล่าเรื่องราวการเดินทางที่เมืองจีนของผมสู่กันฟังต่อนะครับ หลังจากตอนที่แล้วผมพาไปเที่ยวดูภูเขาที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องอวตารแล้ว วันนี้ผมเข้าไปในตัวเมืองจางเจี๋ยเจีย และเตรียมตัวไปยังภูเขาอีกที่ ซึ่งการเดินทางจะเป็นการเดินทางโดยนั่งกระเช้าไปครับ
ผมกับเพื่อนเดินทางออกจากที่พักไปยังจุดขึ้นกระเช้า อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟในเมืองเลยครับ ตอนที่ผมไปคนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะว่าไปก็สายแล้วมั้งครับ ทำให้ไม่ต้องต่อคิวรอขึ้นกระเช้านานเท่าไหร่ เราใช้เวลาในการนั่งกระเช้าจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายปลายทาง ราวๆ 45 นาทีครับ เป็นการนั่งกระเช้าที่นานมาก และฟินมากๆ เพราะว่าได้เห็นบรรยากาศด้านล่าง และเมื่อสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ทะลุเมฆเลยครับ
ผมตื่นเต้นกับการนั่งกระเช้ามากๆ เพราะว่าเป็นครั้งที่สองที่ผมได้มีโอกาสนั่ง และครั้งนี้เราขึ้นไปสูงมากจริงๆ ยิ่งตอนที่ผ่านท้องฟ้าไปนะครับ รอบตัวขาวโพลนไปหมด มองไม่เห็นอะไร เป็นประสบการณ์ที่สุดยอดจริงๆ และเมื่อโผล่พ้นฟ้าไปแล้ว มองลงมาก็เห็นเพียงยอดเขาเท่านั้น และมีเมฆลอยบังอยู่ เป็นฉากเหมือนในเทพนิยายจีนจริงๆ
วันที่ผมไปนั้นอากาศค่อนข้างจะไม่แจ่มใสเท่าใดนัก เพราะก่อนหน้านี้ฝนตกครับ แต่มันก็สวยไปอีกแบบนะครับ เพื่อนผมเล่าให้ฟังว่าที่แห่งนี้ไม่ว่าจะมาช่วงไหนมันก็สวยหมดนั่นแหล่ะ แต่เป็นความสวยงามคนแบบ เสน่ห์คนละอย่าง แต่เสียอย่างเดียว ถ้าในฤดูฝน การเดินทางมันค่อนข้างแฉะๆ และถนนลื่น จะต้องระวังกันให้มากหน่อย
แค่บรรกยากาศระหว่างทางยังสวยขนาดนี้ ผมละอดตื่นเต้นไม่ได้ว่า เมื่อไปถึงยอดเชาแล้วจะเป็นอย่างไร ผ่านไปเกือบชั่วโมง ผมก็นั่งมาถึงยอดเขาจนได้ครับ จากนั้นเราก็ต้อง “เดิน” เที่ยว เดินกันไกลหลายกิโลเมตรเลยครับ ความสนุกกำลังจะเริ่มต้นอีกแล้ว
บนยอดเขานี้จะมีทางเดินเสียวๆแบบนี้ครับ เป็นทางเดินกระจก สร้างยื่นออกมาจากหน้าผา ตอนที่เดินอยู่ก็แอบเสียวๆ มองลงไปทะลุกระจกไม่เห็นพื้นดินหรอกนะครับ เพราะมันอยู่เหนือเมฆ ฮ่าๆ การจะเดินในทางเดินกระจกนี้ก็ต้อง “จ่ายตังค์” ด้วยนะครับ พี่จีนท่านเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ มีเก็บรายทางเยอะอยู่เหมือนกันครับ แต่เอาน่า ไหนๆ ก็มาแล้ว ไม่ควรพลาด
ถ้ามาที่นี่ผมแนะนำให้มาเที่ยวตั้งแต่เช้าจะดีกว่าครับ จะได้เดินดื่มด่ำความสวยงามรายทางได้อย่างเต็มที่ ผมเองพลาดไปตรงที่ไปสายแล้ว แล้วก็ดันจองตั๋วรถไฟจะไปอีกเมืองหนึ่งตอนห้าโมงเย็น การเดินทางก็เลยเหมือนแอบรีบๆอยู่เบาๆ กระนั้นความสุขก็เต็มเปี่ยมเหมือนกันครับ เพียงแค่เหนื่อยมากขึ้น เพราะรีบเดินนั้นเอง แฮะๆ
บางจุดในภูเขานี้จะมีที่สำหรับเขียนคำอธิษฐานแล้วก็ผูกไว้กับต้นไม้ เพื่อขอพรครับ เขียนลงบนผ้าสีแดง ซึ่งแน่นอนครับ จ่ายตังค์อีกเชนเคย ส่วนผมไม่ได้เขียนไปหรอกครับ ไม่รู้จะเขียนอะไร อีกอย่างก็คือ งก ครับ ฮ่าๆ แต่ก็ขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึกไว้หน่อยก็แล้วกัน
ผมทึ่งในความสามารถในการก่อสร้างของเมืองจีนมาก ไม่รู้ว่าตอนที่สร้างเดินยื่นจากหน้าผาเนี่ย เค้าทำอย่างไร ทางเดินยาวหลายกิโลเมตรเลยนะครับ ช่วงที่เป็นทางโค้งของภูเขา เราก็จะมองลงไปที่พื้นครับ สูงมากๆ ตกลงไปเนี่ย ไม่อยากจะคิดสภาพว่าจะเป็นอย่างไร ตอนที่ผมไปคนไม่ค่อยเยอะครับ ถือว่าโชคดีมาก เพราะเห็นคนอื่นเล่าให้ฟังว่าที่เที่ยวในเมืองจีนหลายแห่งนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด ทำให้เที่ยวอึดอัด แต่ทริปนี้ ชิลมาก สบายๆ
หลังจากดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติบนยอดเขาแห่งนี้แล้ว พวกผมก็นั่งกระเช้าลงมายังจุดแวะระหว่างทางครับ เพื่อนั่งรถบัสไปต่อที่ หุบเขาเทียนเหมินชาน สถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามอันดับต้นๆของเมืองจีน ถนนของเค้ามีโค้งเยอะมาก ประหนึ่งมังกรล้อมภูเขาเลย อ้อ รถบัสบริการฟรีนะครับ เย่ ไม่ต้องจ่ายตังค์เพิ่ม ดีใจจังเลย ฮ่าๆ
เอาละสิครับ มาถึงทางเดินขึ้นหุบเขากันเสียที แต่ว่าบันไดขึ้นไปยังจุดปลายนี่เยอะมาก 999 ขั้น และชันมากด้วย และลื่นมากด้วยเช่นกัน เพราะฝนตก การเดินขึ้นไป แนะนำให้จับราวบันไดไว้ด้วยครับ อย่าประมาท เพราะถ้าพลาดตกลงมา ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตครับ ผมมีเวลาในการเดินขึ้นและลงรวมแล้วไม่ควรเกิน 40 นาทีครับ อยากจะบอกว่า เมื่อยน่องมาก เดินมาหลายวันไม่รู้สึกอะไร เพิ่งมารู้สึกเพราะการเดินขึ้นบันไดที่นี่แหล่ะครับ ไม่แนะนให้รีบๆเหมือนผมนะครับ ทรมานจริงๆ
แต่เมื่อไปถึงก็ประทับใจกับฉากตรงหน้าเช่นเดียวกันครับ เราจะมองเห็นวิวทิวทัศน์เบื้องล่างผ่านช่องภูเขานี้ ผมมองแค่ด้วยตาเปล่าครับ ถ่ายภาพมาไม่ไหว เมฆมันเยอะ ถ่ายออกมาก็ไม่สวย เลยไม่ถ่ายดีกว่า รอให้เพื่อนไปดูด้วยตาตัวเองเวิร์คกว่าครับ หลังจากที่อยู่บนยอดเขานี้ประมาณสิบนาที (ย้ำอีกครั้งว่าสิบนาที) ผมก็รีบเดินลงไปครับ เพื่อเตรียมตัวไปนั่งรถไฟไปเมืองฉางเต๋อ เมืองที่ผมเกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยิน บทความเรื่องหน้าจะพาไปดูว่าเมืองฉางเตอเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเจอกันใหม่นะคร้าบ ^^