เราพักอยู่ในวัดไป๋หม่าซื่อทุกวัน มีวันที่เราไม่ได้นอนที่วัดวันเดียวคือวันที่ไปซีอาน ดังนั้นผมจึงอยู่ในฐานะเด็กวัดคนหนึ่ง 55 เวลาเช้าพระจะต้องไปฉันเช้าที่ห้องอาหารในวัดจีน ฉันเสร็จก็ต้องมาทำวัตรสวดมนต์ ผมก็ทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามพระ ถ้าไม่มีโปรแกรมไปไหนผมก็จะเล่นดนตรีอยู่หน้าโบสถ์ครับ เรียกความสนใจได้มากทีเดียวครับ คนจีนมักจะตื่นเต้นกับอะไรที่แปลกใหม่เสมอครับ แน่นอนครับคนจีนไม่เคยเห็นหรือได้ฟังดนตรีไทย เวลาเล่นต้องทำใจครับว่าต้องเจอจีนมุงแน่นอน พวกเค้าจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ จนบางครั้งผมนึกว่า “ตูก็ไม่ใช่ตัวปะหลาดนะ ยืนฟังนั่งฟังก็ได้ไม่ต้องมุง”
แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสครับ มีคนมุงดูก็ยังดีกว่าเค้าเดินผ่านไปเฉย ๆ พอใกล้ ๆ เพล พวกเราก็ต้องลงครัวทำอาหารเพลครับ ก็เป็นจำพวกผัดผักครับ แต่ก็ทำรสจัดหน่อยให้ถูกลิ้นคนไทย บางครั้งกินผักจนเบื่อเราก็แอบไปซื้อไข่ซ่อนใส่กระเป๋าเข้าวัดมาครับ มีครั้งหนึ่งพระจีนมาเยี่ยมท่านเจ้าคุณแล้วเดินเข้าครัวซ่อนไข่เกือบไม่ทัน
ในที่สุดก็มาถึงเช้าวันหนึ่ง ท่านเจ้าคุณสั่งให้ผมไปเที่ยวถ้ำหลงเหมินเป็นเพื่อนหลวงพี่รูปหนึ่งซึ่งยังไม่เคยไป อันที่จริงผมไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไปอีกรอบก็สนุกดี ไปเที่ยวโดยนั่งรถเมลล์สาย 58 จากหน้าวัดไปสุดสายที่ถ้ำหลงเหมิน ราคา 1.5 หยวนตลอดสาย (ถูกมากๆ) ผมกับหลวงพี่นั่งไปประมาณเกือบ ๆ ชั่วโมง ท่านเจ้าคุณโทรมาบอกว่าให้รีบลงรถเมลล์จ้างแท็กซี่แล้วรีบเที่ยวกลับมาให้ทันบ่ายโมง เพราะจะไปเส้าหลินกัน ก็เลยไม่รู้ว่าใช้เวลาเท่าไหร่กว่ารถเมลล์จะสุดสาย
ถ้าหลงเหมินนี้เป็นหน้าผาริมแม่น้ำ แกะสลักพระพุทธรูปน้อยใหญ่ละลานตาไปหมด เริ่มสร้างในสมัยราชวงศ์วุ่ย จากพระดำริของเซียวเหวินตี้ฮ่องเต้ ใช้เวลาในการสร้างประมาณ 400 ปี จนถึงสมัยราชวงศ์ถัง มีระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร และมีพระพุทธรูปแกะสลักแสนกว่าองค์
เราเดินชมตามหน้าผา คูหาน้อยใหญ่แกะลักพระพุทธรูปมากมายจนดูไม่หมด แต่ก็ต้องมาสะดุดตาเมื่อพบกับความยิ่งใหญ่และสวยงามที่หน้าผานี้ พระพุทธรูปองค์ประธานสูง 17 เมตร งดงามสมส่วน และจะสังเกตได้ว่าพระพักตร์อวบอิ่มคล้ายใบหน้าผู้หญิง ว่ากันว่าเป็นใบหน้าของพระนางบูเช็กเทียน ฮ่องเต้สตรีผู้ยิ่งใหญ่พระองค์เดียวในประวัติศาสตร์จีน (แม้ว่าในยุคหลังมีพระนางซูสีไทเฮา แต่นั่นเป็นเพียงผู้สำเร็จราชการคุมบังเหียนฮ่องเต้ แต่พระนางบูเช็คเทียนเป็นฮ่องเต้จริง ๆ ที่เป็นสตรี ) เท็จจริงไม่ประจักษ์ แต่เรื่องเล่าว่าพระนางสั่งให้ช่างแกะพระพุทธรูปองค์นี้ให้มีพระพักตร์เหมือนพระนาง
เมื่อเราเดินไต่หน้าผาชมถ้าจนหมด ก็เดินข้าสะพานมาอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ พบกับความยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างที่สุด ช่องเล็กช่องน้อยที่เห็นภายในเป็นรูปแกะสลักพระพุทธรูปทั้งหมด ช่องใหญ่ที่อยู่ตรงกลางก็คือพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุด จากนั้นเราก็เดินทางกลับวัดไป๋หม่าซื่อ เพื่อเดินทางไปวัดเส้าหลิน
เราเดินทางไปวัดเส้าหลินด้วยรสบัสที่ท่านเจ้าคุณจ้างมาเพื่อต้อนรับอาจารย์จากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมจึงได้อาศัยติดตามไปเที่ยววัดเส้าหลินด้วย วัดเส้าหลินหางจากเมืองลั่วหยางประมาณ 2 ชั่วโมง (เดินทางด้วยรถบัส) ตั้งอยู่ในเทืองเขาซงซาน อำเภอเติงเฟิง เมืองเจิ้งโจว เป็นวัดที่มีความเก่าแก่ 1500 ปี และเป็นต้นกำเนิดวิชากังฟู หลังจากการสร้างวัดได้ไม่นาน มีพระภิกษุชาวอินเดียชื่อพระโพธิธรรมเถระ หรือที่คนจีนเรียกว่าปรมจารย์ตั๊กม้อ เดินทางมาถึง และเห็นว่าวัดนี้มีเทือกเขาซึ่งเหมาะแก่การเจริญวิปัสนากรรมฐาน เนื่องจากท่านนั่งวิปัสนาเป็นเวลานานท่านจึงคิดท่าบริหารร่างกายผนวกกับการฝึกสมาธิและลมปราณวิชากังฟูจึงถือกำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลินแห่งนี้ วิชากังฟูโด่งดังมาก ลูกศิษย์วัดหลาย ๆ คน เมื่อลาสิกขาไปแล้ว ได้ไปเปิดสอนวิชากังฟู ทำให้วิชากังฟูโด่งดังไปทั่วประเทศจีนและทั่วโลก ปัจจุบันพระภิกษุในวัดไม่ได้ฝึกวิชากังฟูแล้ว แต่โรงเรียนสอนกังฟูเปิดสอนอยู่รอบ ๆ วัดมากมาย โดยอาศัยชื่อของวัด และมาทำการแสดงในวัดเพื่อให้นักท่องเที่ยวชม ภายในวัดร่มรื่นและเงียบสงบมาก (ถ้าไม่มีนักท่องเที่ยว) แต่พอก้าวพ้นประตูวัดท่านก็จะพบเห็นเด็ก ๆ ฝึกกังฟูอยู่ตามโรงเรียนรอบ ๆ วัดเต็มไปหมด
บรรยากาศภายในวัด
ครั้งหนึ่งวัดเส้าหลินเคยถูกเผาทำลายเพราะสงคราม แต่วิหารหลังนี้และพระพุทธรูปข้างในรอดพ้นจากการทำลาย ฐานพระพุทธรูปยังมีรอยดาบและลูกกระสุนให้เห็นอยู่ วิหารนี้จึงเป็นโบราณสถานในวัดที่เก่าแก่มาก มีอายุถึง 1500 ปี โดยประมาณ
ภาพเขียนสีโบราณ ภายในวิหารประธานอายุ 1500 ปี แต่ภาพเขียนถูกเขียนพร้อมกับวิหารหรือไม่ผมก็ไม่ทราบครับ แต่ดูจากร่องรอยแล้วก็น่าจะเป็นภาพที่เก่าแก่มากอยู่ครับ และมีการใช้สีเพียงแดงขาวดำ ซึ่งเป็นสีที่นิยมในงานเขียนโบราณของชาวเอเชียเรา
ป่าเจดีย์ เป็นหมู่เจดีย์เก็บอัฐิของอดีตเจ้าอาวาสของวัดเส้าหลิน
วันนี้ขอลาท่านผู้อ่านด้วยภาพการแสดงกังฟู แล้วพบกันใหม่ตอนต่อไปครับ