หลักจากนั้นเราอยู่ที่วัดไป๋หม่าซื่อประมาณ 2 วัน ท่านเจ้าคุณก็พาเราเที่ยวเมืองซีอาน เดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงจากเมืองลั่วหยางไปถึงซีอานใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ซีอานเป็นเมืองใหญ่กว่าลั่วหยางมาก มีรถไฟฟ้าใต้ดินจากรถไฟฟ้าความเร็วสูงเข้าในเมือง แต่ทุกอย่างเป็นภาษาจีนครับ ถ้าผมเดินทางด้วยตนเองคงไม่รอดแน่ ๆ เมืองซีอาน หรือเมืองฉางอานเป็นเมืองเก่าแก่มาก และเคยเป็นราชธานีของจีนหลายราชวงศ์ ( เมืองลั่วหยางก็เคยเป็นราชธานีเหมือนกันครับ แต่เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ) เรานั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงมาด้วยตั๋วแบบไม่มีที่นั่ง สุดท้ายพวกเราทนเมื่อยไม่ไหวเราจึงนั่งลงกับพื้นตรงขอบหน้าต่างหล้งโบกี้ชมวิวไปตามทางเท่าที่สังเกตนั้นเมืองซีอานอากาศร้อนกว่าเมืองลั่วหยาง และเป็นที่ลุ่มอุดมสมบูรณ์ ท้องไร่ท้องนาเขียวขจีกว่าลั่วหยางอย่างเห็นได้ชัด เมืองลั่วหยางอากาศค่อนข้างเย็นเป็นเนินเขาเตี้ย ๆ และดูจะแห้งแล้งกว่าซีอาน เมื่อถึงซีอานเราก็เข้าชมพิพิธภัณฑ์จิ๋นซีห้องเต้ เรื่องราวในสถานทีนี้เพื่อนผมได้เขียนไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว รูปถ่ายก็สวยกว่าของผมเป็นกองเกรงว่าท่านผู้อ่านจะเบื่อผมจึงขออนุญาตข้ามไปยังสถานที่ต่อไปเลย นั่นก็คือเจดีย์ต้าเอี้ยนถ่า หรือเจดีย์ห่านป่าใหญ่ วัดต้าฉือเอิน เจดีย์นี้สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.652 ในสมัยของจักรพรรดิ์ถังเกาจง เมื่อพระถังซัมจั๋งเดินทางกลับมาจากอินเดีย ท่านก็ได้อัญเชิญพระไตรปิฎกมาไว้ที่วัดนี้ และสร้างเจดีย์ 5 ชั้น เป็นศิลปะจีนผสมอินเดีย ต่อมาได้เกิดภัยสงครามและแผ่นดินไหวทำให้ต้องมีการบูรณะเรื่อยมาจนมีขนาดสูงใหญ่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ภายในวัดนั้นสวยงามมาก วิหารด้านหลังมีภาพแกะสลักจำลองการเดินทางของพระถังซัมจั๋งแม้ว่าจะเป็นของสร้างขึ้นใหม่แต่ก็สวยงามมากครับ
หน้าวัดเป็นลานกว้าง และมีอนุสาวรีย์พระถังซัมจั๋ง
หินสลักรูปสิงห์โตหน้าประตูวัด เท่าที่สังเกตวัดที่จีนเกือบทุกวัดจะต้องมีสิงห์โตอยู่หน้าประตู
พอเข้าประตูวัดมาจะพบกับหอกลอง และหอระฆัง อยู่ด้านหน้า
ถัดจากหอกลองและหอระฆังก็จะมองเห็นวิหารและมีเจดีย์เป็นฉากหลังครับ
พระพุทธรูปภายในวิหาร
ถัดจากวิหารก็เป็นเจดีย์ครับ สามารถเข้าชมข้างในเจดีย์ได้ แต่ผมไม่ได้เข้าเพราะเราต้องรีบไปกำแพงเมืองซีอานอีกที่หนึ่ง
จากนั้นเราก็เดินทางไปกำแพงเมืองซีอาน สร้างขึ้นในราชวงศ์หมิง เมื่อราว 600 ปี มาแล้ว สภาพที่เห็นเป็นกำแพงที่สูงใหญ่และยังสมบูรณ์อยู่มาก โครงสร้างของกำแพงเป็นก่ออิฐถือปูนแข็งแกร่ง มีความกว้างรอบกำแพง 14 กิโลเมตร ความสูงของกำแพงขนาดที่รสบัสคันใหญ่สามารถขับลอดประตูได้อย่างสบาย และความกว้างของสันกำแพงก็มีขนาดราว ๆ ถนนราดยางที่รถสามารถวิ่งสวนกันได้อย่างสบาย ถือเป็นความน่าทึ่งในความรู้ทางด้านวิศวกรรมของคนจีนสมัยโบราณ ที่สามารถสร้างสิ่งที่ใหญ่โตและแข็งแรงได้ถึงเพียงนี้ ข้างบนกำแพงอากาศเย็นสบาย มีจักรยานให้เช่าขี่ แต่เราเลือกที่จะเดิน เพราะว่ามีพระสงฆ์คงไม่เหมาะสำหรับการขี่จักรยาน เราใช้เวลาเดินนานมาก ๆ ชมบรรยากาศตัวเมืองรอบ ๆ กำแพง ซึ่งจัดสวนสาธารณะให้ประชาชนมาพักผ่อนหย่อนใจ เราเดินได้เพียงฟากเดียวของกำแพงก็หมดเรี่ยวแรง ท่านเจ้าคุณบอกว่าเราเดินกันประมาณ 4 ก.ม. เวลาก็เหมาะสมกับการเดินทางกลับพอดีพวกเราก็พากันเดินลงออกประตูเมืองอีกทิศหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลจากรถไฟฟ้าใต้ดิน
ให้สังเกตความใหญ่โตของกำแพงเมื่อมองจากภายนอก เปรียบเทียบสัดส่วนกับรถที่วิ่งตามท้องถนน บ้านเมืองรอบนอกกำแพงเป็นตึกสูงสมัยใหม่ ทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนอยู่ในโลกของอดีตมองไปข้างหน้าเห็นตึกสูงใหญ่เป็นโลกในอนาคต มันเป็นความรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ นะครับ รอบ ๆ กำแพงตกแต่งภูมิทัศน์ได้ร่มรื่นมากครับ บางจุดเป็นลานกิจกรรมมีคนมาวิ่งออกกำลังกายร้องเพลงเล่นดนตรีกันอย่างสบายอารมณ์ น่าเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชม เพราะไม่นึกว่าจะต้องมาเขียนรีวิว(555)
บรรยากาศข้างบนกำแพงครับ ช่างกว้างใหญ่จริง ๆ และมองไปนอกกำแพงเมืองเป็นตึกสมัยใหม่ ช่างให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างบอกไม่ถูก ผมชอบมากครับสำหรับสถานที่แห่งนี้ มีคนบอกผมว่าก็ขึ้นไปประเดี๋ยวแล้วลงมาก็ได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อยก็แค่เดินบนกำแพงไม่มีอะไรให้ดูหรอก แต่สำหรับผมเดินทั้งวันก็ยังดูไม่หมดครับ ถ้ามีโอกาสไปคราวหน้าจะเช่าจักรยานขี่รอบกำแพงเลย
แล้วเราก็เดินลงออกประตูกำแพงอีกด้านหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นทิศอะไร แต่รู้ว่าอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าใต้ดิน จากนั้นเราจึงเดินทางกลับโดยรถไฟฟ้าใต้ดินไปลงสถานีที่สามารถต่อไปขึ้นรถไฟฟ้าความเร็วสูงเพื่อเดินทางกลับลั่วหยางได้
การเดินทางของเรายังไม่หมดนะครับ โปรดติดตามตอนต่อไป วันนี้นักเขียนมือสมัครเล่นยามจำเป็นอย่างกระผมขอกราบสวัสดีครับ แล้วพบกันใหม่ตอนต่อไป