ทุกๆเช้าอากาศก็หนาวเช่นเคยครับ แต่ผมว่าผมก็ชินแล้วแหละ วันนี้เป็นวันที่ผมตั้งใจว่าจะเที่ยวในจุดหลักๆของเมืองกาฐมัณฑุที่ผมยังไม่ได้ไป นั่นก็คือวัดที่เป็นสถูปเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดของกาฐมัณฑุ และวัดที่เป็นที่เผาศพ
ผมนั่งแทกซี่คันเดิมครับ ไปยังวัดสถูปยักษ์ ราคา 600 รูปี คนขับรถบอกผมว่า ดูเสร็จแล้วเดินไปยังวัดเผาศพได้นะ ไม่ไกล ผมขอบคุณเขาแล้วก็เดินมายังทางเข้าวัด
ผมซื้อตั๋วเข้าวัดราคา 250 รูปี ด้านหน้าของผมเป็นสถูปเจดีย์ยิ่งใหญ่มากๆ ตั้งอยู่บนโดมสีขาว ตัวเจดีย์สีทองมีการวาดภาพดวงตาประดับด้วย ทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นเจดีย์นี้มีความหมายหมดเลยครับ
เจดีย์องค์แรกที่ Bodhnath ได้รับการสร้างขึ้นเมื่อปี พศ. 600 เมื่อพระมหากษัตริย์ทิเบต Songtsen Gampo เปลี่ยนเป็นพุทธศาสนา ในแง่ของความสง่างามและความบริสุทธิ์แล้วว่ากันว่าไม่มีเจดีย์อื่น ๆ ในเนปาลเข้ามาเทียบกับ Bodhnath ได้ครับ โดมที่มีสีขาวนั้นเป็นสิ่งที่เกิดจากการเทปูนขาวสาดไปทุกวันทุกวันเลย
ตามตำนานมีการเล่าว่าเจดีย์นี้สร้างขึ้นเพราะกษัตริย์สำนึกผิดหลังจากที่ฆ่าพ่อของตัวเองอย่างไม่เจตนาครับ เจดีย์องค์แรกถูกทำลายลงจากผู้รุกรานในศตวรรษที่ 14 ต่อมาเจดีย์ก็พังในปี 2015 เพราะแผ่นดินไหว ส่วนที่เห็นตอนนี้ก็คือที่สร้างใหม่ครับ ซึ่งเพิ่งเปิดให้ชมกันก็เมื่อปี 2016 นี่เอง
อย่างที่ผมบอกไปครับว่า ที่นี่ทุกอย่างที่รวมกันเป็นองค์สถูปเจดีย์เป็นสัญลักษณ์สำคัญทางศาสนาหมดเลยครับ เป็นการเตือนสติให้กับคนนับถือ บ่งบอกถึงเส้นทางตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าด้วย นั่นก็คือ โดมหมายถึง แผ่นดินโลก ถ้ามองจากด้านบนก็จะเป็นรูปแบบของมันดาลา หรือจักรวาลวิทยาครับ ดวงตาที่อยู่บนเจดีย์ก็หมายถึงดวงตาแห่งธรรม จมูกก็หมายถึงการหลุดพ้นหรือปรินิพพาน บันไดสิบสามขั้นก็หมายถึง เส้นทาง 13 ระดับที่ต้องผ่านเพื่อบรรลุนิพพานอะไรประมาณนี้ครับ
ตั้งแต่ทางเข้าเราจะเห็นชาวเนปาลที่นับถือพุทธเข้ามาสักการะกันอย่างเนืองแน่น เขามีการกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ คือทุ่มทั้งตัวตอนกราบครับ แล้วคนก็เดินสวดมนต์ไป มือหมุนลูกประคำในมือไปด้วย เราเดินวนกันตามเข็มนาฬิกาครับ
รายล้อมสถูปก็จะเป็นร้านขายของที่ระลึก และวัดวาอารามต่างๆเต็มไปหมดเลย เอาจริงๆ ผมนึกถึงทิเบตมากครับ บรรยากาศมันให้มากๆ แหม่ มาเนปาลนี่ดีนะคับ เหมือนได้เที่ยวสามประเทศ ทั้งเนปาล อินเดีย และทิเบต
อารามแต่ละหลังก็ตกแต่งตามวัชระยานครับ มีภาพวาดสีสันสดใสของเทพเจ้าต่างๆ แต่ครั้งนี้ผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นเท่าใดนัก เพราะผ่านตามาแล้วตอนไปที่แชงกรีล่า รูปวาดก็จะคล้ายๆกันครับ คือมีเทพที่ปกปักษ์รักษา รูปวาดวงเวียนชีวิต และที่สำคัญ ห้ามถ่ายภาพด้านในเช่นเคยครับ
ผมเดินเข้าไปยังอารามอีกหลังที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมได้ ผมเดินขึ้นไปยังดาดฟ้าของอารมนี้ ก็จะเห็นว่ามีคนมาบูชาไฟกันเต็มไปหมดเลย ด้วยการจุดเทียนชัยบูชาองค์เจดีย์ เมื่อมองลงไปเบื้องล่างก็จะเห็นสาธุชนเดินสวดมนต์รอบๆสถูป
ชั้นล่างลงไปหน่อยก็จะมีพระภิกษุกำลังสวดมนต์ครับ ด้วยภาษาที่ผมฟังไม่เข้าใจ มีการเอาดอกดาวเรืองมาวางเรียงรายแสดงความเคารพด้วยครับ. ห้องด้านหลังก็เป็นที่นั่งสวดมนต์ของพระเนปาล ซึ่งก็อารมณ์เหมือนลามะที่ทิเบตครับ
เจดีย์แห่งนี้สูง 38 เมตรเลยนะครับ เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในเอเชียใต้ และเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญมากของเนปาล ผมดูด้านนอกแล้วก็อยากจะเข้าไปดูด้านในบ้าง
เมื่อลอดประตูเข้าไปด้านใน ผมก็เห็นบรรดาคนเนปาลหิ้วถังปูนขาวครับ พวกเขาหิ้วปูนขาวเหล่านี้เพื่อจะไปสาดใส่เจดีย์ครับ อย่างที่ผมบอกไปในตอนต้นว่าสีขาวที่เห็นที่โดม คือสีที่เป็นสีของปูนขาวนั่นเอง
“ต้องการซื้อธงมนต์ไหม?” มีคนถามผม
“คืออะไร?” ผมถามกลับ
“เป็นธงที่มีบทสวดมนต์ คุณสามารถซื้อและเขียนชื่อของคนลงบนธงได้ แล้วเราจะรวบรวมเอาขึ้นไปผูกบนเจดีย์ให้ ราคา 350 รูปี”
ผมมองธงมนต์ที่ว่า มันก็คือธงสีๆที่จารึกภาษาเนปาล ผมเลยซื้อมาหนึ่งชุด แล้วก็ลงมือเขียนชื่อตัวเอง และชื่อครอบครัวลงไป เผื่อจะได้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตสักหน่อย
“เอาไปให้คนตรงนั้นนะ” ชายที่ขายธงบอกผม
“ห้าสิบรูปีค่าเอาไปผูก” ชายที่ผมเดินไปหาบอกผม
“อะไรนะ? ผมซื้อมาแล้ว 350 รูปี แล้วผมต้องจ่ายให้คุณอีก 50 เพื่อไปผูกให้อีกเหรอ?” ผมถามไปด้วยความสงสัย
“คุณซื้อมาจากที่ไหน”
“ก็ตรงนั้นไง ชายคนนั้นบอกให้ผมเอามาให้คุณ” แล้วผมก็ชี้ไปยังจุดที่ผมซื้อ
ชายคนนั้นก็ตะโกนถามกัน แล้วก็พยักหน้าให้ผมเอาธงไปให้
ผมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของเงินทองนะ แต่อะไรที่หากินกับความเชื่อมากไปผมก็ไม่ได้อินด้วยสักเท่าไหร่ ผมโอเคกับการซื้อธง เพราะมองว่าเป็นกุศโลบายหาเงินเข้าวัดเพื่อทำนุบำรุงวัด แต่จ่ายไปแล้ว ต้องจ่ายเพิ่มเพื่อให้คนไปผูกให้อีก นี่มันก็แบบจ่ายอะไรเยอะแยะวะ ไม่รวมไปเลยหละ อีกทั้ง ยังห้ามเราขึ้นไปผูกเองด้วย แล้วจะมาเรียกเก็บเงินโน่นนี่นั่นมันก็ดูมากไป แฮะๆ อันนี้บ่นนิดนึง ศาสนพาณิชย์จ๋าก็ไม่โอเคเน้อ
หลังจากที่เขาเอาธงไปรวมๆกันแล้วก็เอาไปผูกโยงตั้งแต่ยอดลงมายังฐานของเจดีย์ ผมก็แยกตัวออกมาเดินรอบๆบนฐานบนสุดของเจดีย์ที่เราจะสามารถขึ้นไปได้
มองลงมาด้านล่าง เห็นฝรั่งที่มานั่งสมาธิด้วยครับ ฝรั่งหลายคนก็อยากจะศึกษาศาสตร์ตะวันออก เห็นชาวญี่ปุ่น (ดูจากหน้า) ยืนกราบเจดีย์แบบอัษฏางคประดิษฐ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งตรงนี้ผมก็ไม่เข้าใจว่ากราบร้อยครั้งพันครั้งสื่อถึงอะไรเหมือนกัน พอผมดูหนังเรื่อง PK แล้วผมก็เกิดคำถามนั่นแหละว่า จริงๆแล้ว ทำแบบนี้มันช่วยได้จริงหรือ? แค่สงสัยเฉยๆนะ ผมไม่ได้แอนตี้ความเชื่อ เพราะความเชื่อทางศาสนา แค่เปลี่ยนพื้นที่มันก็ต่างกันไปพอสมควรแล้ว แต่เรื่องของความสงสัยมันก็ห้ามกันไม่ได้นี่เนาะ ฮ่าๆ
แล้วผมก็เดินลงมาด้านล่างครับ มาเก็บภาพบรรยากาศเพิ่มเติม เห็นคุณยายชาวเนปาล เดินมาไหว้เจดีย์ ก็คิดถึงคุณยายตัวเอง วัยนี้แล้วส่วนมากก็เริ่มหันหน้าสู่โลกแห่งธรรมะ ในขณะที่วัยหนุ่มสาวก็ยังสาละวนกับโลกียสุข เป็นเหมือนกันทั่วเลยแฮะ.
หลังจากที่ผมเที่ยววัดนี้จนพอใจแล้ว
ผมวางแผนว่าจะเดินไปวัดเผาศพต่อ เพราะแท็กซี่บอกผมว่าผมสามารถเดินไปได้ ไม่ไกลมาก
ผมก็เปิดแอพ Mapme เพื่อดูแผนที่ แล้วทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มเนปาล เดินมาทัก
Hello, My friend. Where are you from?
Thailand ผมตอบ
Wow! What a nice country! I really dream to go there.
Good to hear that. ผมตอบไปและโฟกัสที่แผนที่ต่อ
Where will you go, my friend? เขาถาม
Pashupatinath temple.
Oh! not far I can show you the way. เขารีบเสนอ ผมก็คิดว่า หือ อีมายเฟร์นด์ทั้งหลายเนี่ย เฟร็นด์หวังผลทั้งนั้นนนน
I don’t want your money! I just want to practice my English, my friend. เขารีบบอกหลังจากเห็นหน้าตาที่ผมไม่ไว้ใจเขา
It’s OK. I can go there by myself. ผมพยายายามตอบปัด
I really don’t want your money. Please believe me, I want to practice English. I am a student. เขาบอกแบบนี้ ผมก็เลยคิดว่า เออ เชื่อก็ได้วะ เผื่อเขาอยากฝึกจริงๆ
แล้วเขาก็บอกว่าวัดเผาศพไปทางนี้นะ แล้วเขาก็พาเดินไป
จากนั้น ผมดูใน Mapme ทำไมเส้นทางไม่ใช่แบบที่มันแสดงวะ
Where will you go? ผมถาม
temple! เขาตอบ
But it seems the wrong way! ผมพูด
It’s shortcut, my friend. แหนะ เล่นมุข ทางลัดด้วยวุ้ย ผมก็เออ เอาวะ จะบวกกับเขาดูสักตั้ง 555
เดินไปอีกนิด ผมก็พูดว่า เอาจริงๆนะ ยูตั้งใจจะพาไอไปไหน ตอบมาตามตรง
เขาก็บอกว่า นี่เดินไปอีกแค่นาทีเดียว ก็จะเป็นบ้านเขา อยู๋ใกล้วัด ยูไปแวะได้นะ พ่อแม่ไอจะเวรี่แฮปปี้ . ผมก็แบบ โน จะแวะทำไมวะ ไอจะไปวัด
เขาบอกว่า มันเป็นทางผ่าน บ้านเขาขายตะกร้าด้วย เผื่อผมสนใจจะซื้อ พ่อแม่เขาต้องดีใจมากแน่ๆ
ผมก็แบบ เอ่อ ตะกร้า? ตูจะซื้อไปทำไม๊ คิดสิคิดดด 555 ไอเป็นนักท่องเที่ยวนะ จะแบกตะกร้าไปไหน 555
ผมก็บอกว่าไมไป ผมจะไปวัด งั้นลาตรงนี้นะ คุณทริคกี้กับผมมาก ผมไม่ชอบ
เขาก็บอกว่า my friend, can you help me? นั่นไง มาแล้ววววว ถ้าซื้อหวยก็ถูกรางวัลแน่ๆ
No, I can’t! ผมรีบตอบปฏิเสธ
Just small money. เขาพูด ผมก็แบบ โนวๆๆๆ ไอช่วยคนมาเยอะแล้ว รอบนี้ไอไม่เต็มใจช่วย
ผมบอกไปว่า นี่ยูรู้ไหมว่า ยูทำให้คำว่า friend กลายเป็นคำที่น่ากลัวมากสำหรับนักท่องเที่ยว ทั้งๆที่ทำว่าเพื่อนหนะ มันมีค่านะ คนเราเจอผู้คนมากมาย หลายคนเป็นแค่คนรู้จัก แต่จะมีสักกี่คนที่เราจะเรียกเขาว่าเพื่อนอย่างเต็มปาก ยูทำแบบนี้ ยูกำลังทำให้ นักท่องเที่ยวไม่อยากจะช่วยเหลืออะไรพวกยูนะ
เขาก็เงียบครับ หลังจากเจอริมฝีปากที่สกิลภาษาอังกฤษแบบน้ำไหลไฟดับของผมเข้าไป
I’m sorry, “brother”.
จ้าาาา จ้าาาาาาาา จ้าาาาาาาาาา
เนปาลียยยยยยยยยย์
5555
หลังจากที่บวกกับหนุ่มน้อยชาวเนปาลที่มาเป็นมายเฟร็นด์แล้ว ผมก็เดินทางแยกมายังวัด Pashupatinath ครับ ใน Mapme ค่อนข้างจะทำให้ผมสับสนอยู่เล็กน้อย ผมเลยถามคนแถวนั้นว่าวัดนี้ไปทางไหน ซึ่งเขาก็บอกว่าเดินตรงไปอย่างเดียวเดียวก็ถึงแล้ว
ด้วยความที่ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัด ผมก็เลยรู้สึกว่า เอ๊ะ วัดนี้ก็ตั้งอยู่ไกลจากวัดเจดีย์ก่อนหน้าได้เรื่องเลยนะ เมื่อมาถึงผมก็เห็นสถูปใหญ่ๆเต็มไปหมด พร้อมกับบันไดทางขึ้น ด้านหน้ามีป้ายเขียนบอกว่านี่เป็นวัดที่ผมมองหา
ผมถามคนแถวนั้นว่า นี่ใช่วัดที่ว่าหรือเปล่า เขาบอกว่าใช่ เดินขึ้นบันไดนี้ไปได้เลย
ทางเดินขึ้นบันไดก็ให้บรรยากาศที่ลึกลับมากครับ ข้างทางเป็นควันทีลอยคละคลุ้ง แต่อย่าเพิ่งคิดไปไกลครับ มันแค่ควันเผาหญ้าแถบนี้ ฮ่าๆ แต่กระนั้นมันก็ทำให้อดคิดไม่ได้ เพราะนี่คือวัดที่เขามาประกอบพิธีเผาศพกันแบบกลางแจ้งเลยนะ
ครั้งก่อนที่มากับซานดิพ ผมมาตอนกลางคืนก็เลยไม่ได้เห็นรายละเอียดอะไรมากนัก ครั้งนี้มาตอนกลางวันก็น่าจะได้เห็นความยิ่งใหญ่แบบชัดเจนมากกว่าเดิม
ผมเดินขึ้นไปจนถึงบนยอดเขา
ทำไมไม่เหมือนตอนซานดิพพาผมมาวะ? มันเหมือนเป็นลานกว้างๆให้คนมานั่งปิคนิคมากกว่า หรือว่าผมมาผิดจุด
ผมเดินหาทางเข้าไปยังวัดที่ว่า ก็หาไม่เจอครับ
จนเห็นพนักงานที่เฝ้าประตู เขาถามผมว่า
“Where is your ticket?” ผมก็สงสัยว่าซื้อตั๋วด้วยเหรอ ที่ผมเดินมาไม่เห็นมีขายตั๋วเลย เขาก็บอกว่าถ้าจะเข้าไปด้านในนี้ต้องซื้อตั๋วนะ แล้วก็ชี้ว่าให้ผมลงไปอีกฝั่ง ที่นั่นจะมีจุดขายตั๋ว
ผมมองไป จากจุดที่ผมยืนอยู่นี้มองไม่เห็นวี่แววของสถาปัตยกรรมที่ผมมากับซานดิพเลย
ผมเดินลงไปทางบันไดที่พนักงานคนนั้นชี้
เมื่อมาถึงด้านล่างแล้ว ระหว่างทางเราจะเห็นว่ามีขอทานเยอะมากครับ เยอะที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับที่อื่นๆที่ผมไปเห็นมา ขอทานมาหลายรูปแบบมาก ทั้งแบบคนพิการ แบบแต่งตัวเหมือนนักบวช
ผมเดินเข้าไปในวัด และซื้อตั๋ว 1,000 รูปี
คนตรวจตั๋วบอกผมว่า เข้าไปข้างในได้ทุกจุด ยกเว้นวัดหลัก สงวนไว้ให้เฉพาะชาวฮินดูเท่านั้น ผมได้ยินแล้วก็ฮะ? แล้วผมจะซื้อตั๋วเพื่ออออออ
คือวัดหลักที่ว่าคือมรดกโลกนะฮะ นั่นคือสิ่งที่อยากเห็น ฮ่าๆ
ผมเดินไปตามเส้นทาง เขาปูพรมไว้ด้วยครับ ก็เดินตามนั้นแหละ มันเป็นเส้นทางเดินไปยังวัดหลักที่ว่า เอาวะ ไม่เห็นด้านใน ก็เห็นด้านนอกก็ได้
ก่อนจะขึ้นไปยังบริเวณวัด เราต้องถอดรองเท้าครับ แต่เขาก็มีถุงผ้าบริการคับผม ถอดแล้วก็ไปฝากไว้ ระหว่างทางนั้นก็มีคนมาจุดไฟบูชาด้วย ผมก็ไม่เข้าใจหรอกครับ แต่ก็กดชัตเตอร์ไว้ก่อน แฮะๆ
เอาจริงๆ เพราะไม่ได้เห็นตัววัดด้านใน เลยรู้สึกว่าตรงนี้มันไม่ได้ตื่นตาตื่นใจเลย
ผมมองว่า แล้วที่ซานดิพพาผมมา มันอยู่ตรงไหนวะ มันมีแม่น้ำ ใช่ผมจำได้ มันมีแม่น้ำ แต่นี้ยังไม่เห็นแม่น้ำเลย!
แล้วทันใดนั้นผมก็เห็นครับ มันอยู่อีกที่จ้า จ้าาาาาา
ผมรีบเดินบึ่งออกมาจากวัดฮินดูที่เราไม่มีสิทธิ์เข้าไปดู
เราควรไปในที่ที่เราไปได้สิ
ฝุ่นคละคลุ้งมากครับถนนเส้นที่จะไปยังวัดของจริง
เมื่อไปถึง ผมก็เห็นคนยืนเต็มบนสะพาน เขามุงดูอะไรกันนะ ผมรีบไปมุงบ้าง
เบื้องหน้าของผมนั้น เขากำลังประกอบพิธีเผาศพอยู่ครับ เราจะเห็นว่ามีแท่นศิลายื่นออกมายังแม่น้ำ เป็นจุดๆ เยอะมากๆ บนแท่นเหล่านั้นก็จะมีศพที่กำลังถูกเผาบ้าง รอเผาบ้าง
เสียงร้องไห้ของญาติโยมผู้เสียชีวิตดังระงม ผมรู้สึกหนักอึ้ง ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ ผมไม่ชอบความเศร้าโศก ผมเป็นผู้ชายที่ Emotional ง่ายมาก ผมจำได้ว่า เมื่อก่อน ตอนที่ผมว่าจะสมัครเรียนหมอ แล้วผมต้องไปฝึกงานที่โรงพยาบาลก่อน 15 วัน แล้วผมจะเป็นลมแทนคนไข้ เพราะผมเจ็บแทนเขา หมอถึงกับบอกว่า ถ้าน้องเอาตัวเองไปเจ็บแทนคนไข้น้องเป็นหมอไม่ได้นะ ผมก็รู้ตัวเองเลยว่า ผมไม่เหมาะกับงานที่ต้องอยู่กับความรู้สึกแบบนี้แน่ๆ
แล้วสิ่งที่ผมเห็นนี่สิ เมื่อพราณ์หม ค่อยๆถอดผ้าที่คลุมศพออก เผยให้เห็นหน้าของศพที่บวมเป่ง ผ้าที่มีร่องรอยของความชื้น หัวสมองของผมก็คิดไปไกลแล้วว่ามันชื้นจากอะไร ศพมันจะมีอะไรให้อภิรมย์กันเล่า นอกจากเนื้อหนังที่บวมเป่ง น้ำหนองที่ไหลนอง นั่นแหละคือสิ่งที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า
พวกเขาวางฟืนลงบนแท่น แล้วก็แบกร่างของผู้วายชนม์วางไว้บนฝืน จากนั้นก็เอากองฟางมาคลุมร่างอันไร้วิญญาณนั้น
ญาติก็ยิ่งร้องไห้ขึ้นไปใหญ่ มันคือการได้เห็นหน้าของผู้อันเป็นที่รักเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจากไปสู่เถ้าถ่าน
เปลวไฟพร้อมแล้ว แล้วคุณหละ พร้อมหรือยัง?
พร้อมที่จะเห็นพิธีกรรมเผาศพแบบกลางแจ้งริมแม่น้ำกันแล้วใช่ไหม
ไฟที่ค่อยๆไหม้ เริ่มลามไปทั่งทั้งแท่นที่วางศพ
เสียงร้องไห้ยิ่งดังขึ้นมาใหญ่
จากนั้นกองไฟก็ค่อยๆกลืนกินสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ร่างกายที่ค่อยๆเปลี่ยนสีเป็นสีดำ
ควันไฟที่คอยโขมง ลมพัดผ่านมาปะทะกับตัวผมอย่างแรง
ผมสะดุ้ง
กลิ่นเนื้อที่ถูกเผาลอยเข้าจมูกผมอย่างจัง
ไม่รู้สิ ผมว่าสถานที่แห่งนี้มันทำให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยวและหดหู่เสียเหลือเกิน แม้ผมจะรู้แหละว่าสุดท้ายแล้ว จุดจบของคนเรามันก็แค่นี้ ที่เราดิ้นรนกันมากมาย สุดท้ายแล้วเราก็เอาอะไรไปด้วยไม่ได้หรอก ทิ้งไว้แค่คุณงามความดี หรือเรื่องเล่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือบางคนก็อาจจะไม่ทิ้งอะไรไว้ให้จดจำเลย
ในใจนั้นบอกกับตัวเองว่า พอแล้วแหละ การได้ดูแค่นี้ก็เพียงพอมากแล้วสำหรับผม ผมควรจะย้ายที่ ไปดูที่อื่นต่อไป
ผมเบือนหน้าเดินหนีออกมาไปยังอีกฝั่ง ซึ่งเป็นช่องหุบเขาที่มีสถูปขนาดมหึมาเรียงรายอยู่เต็มไปหมด
ผมเดินขึ้นไปบนเขาอย่างช้าๆ
วังเวงเสียเหลือเกิน
นั่นคือบรรยากาศในตอนนั้น
พื้นที่กว้างใหญ่มาก มีเจดีย์เก่าแก่อายุร้อยๆปีเรียงรายกัน แต่คนก็น้อยมาก จนนับได้ มันเหมือนกับบ่งบอกเราว่า ตัวเรานั้นเล็กแค่ไหน
ผมได้ยินเสียงหัวเราะจากเบื้องหน้า
เห็นชาวเนปาลกำลังปิดตา เอามือประสานกันด้าน แล้วเดินเอามือนั้นไปเข้าไปในช่องว่างของอีกฝั่ง
ผมเดาว่า เขาคงเชื่อว่า ถ้าสามารถหลับตาแล้วเอามือเข้าไปในช่องนั้นได้ น่าจะทำให้คำอธิษฐานเป็นจริง เพราะผมเห็นแนวความคิดนี้อยู่ในหลายๆที่ที่ผมไปเยือน เช่น ที่อินโด ก็เชื่อแบบนี้
“Namaste, money please” คนขอทานที่พูดภาษาอังกฤษเก่งกว่าเด็กมหาลัยบางคนอีก ร้องขอเงิน
ครั้งนี้ผมไม่ได้ทำบุญ ผมแค่รีบเดินไปยังเบื้องหน้า
เมื่อเดินมาถึงด้านบน ก็จะเห็นว่าสถูปก็ยิ่งเยอะขึ้นไปใหญ่ พร้อมกับฝูงลิงมากมาย คนก็น้อยมากเช่นกันครับ ถ้าให้ผมเปรียบเทียบผมว่า นี่ไม่ต่างอะไรจากป่าช้าครับ
เงียบอารมณ์ประมาณนั้น
ซากปรักหักพัง สถาปัตยกรรมอันเก่าแก่
ประกอบกับภาพที่ผมเห็นเมื่อครู่
มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกถึงความเศร้าโศกและความโดดเดี่ยว
ผมเดินเก็บภาพไปเรื่อยๆ
แล้วก็มีฝรั่งเดินเข้ามาทักผม
ผมก็ทักทายกลับไป
เขามีชื่อว่า แมตติ เป็นชาวฟินแลนด์ เพิ่งจะแยกจากแฟนสาวตะกี้ แฟนสาวบินไปอินเดีย แต่เขาจะบินไปตามอีกสองวัน
ผมพูดคุยกับเขาหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของการศึกษา เพราะว่าระบบการศึกษาของฟินด์แลนด์ดีมาก จากนั้นผมก็ถามเขาว่าได้เป็นเขาเผาศพกลางแจ้งกันหรือยัง
เขาบอกว่ายังเลย ที่นี่มีด้วยเหรอ เขาเองก็มาลำพัง ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก
ผมก็บอกว่ามีสิ จากนั้นเราก็เดินลงไปด้านล่างกันอีกรอบ
พอไปถึง ร่างที่ผมเห็นตอนแรก ตอนนี้ก็เหลือชิ้นส่วนไม่มากแล้วแหละครับ เขากลับไปสู่ผืนแผ่นดินเกือบหมดแล้ว
“ชีวิตก็แค่นี้แหละเนาะ ต่างกันก็แค่เรื่องราวที่ยังมีลมหายใจอยู่” ผมพูดขึ้น
แมตติพยักหน้าเห็นด้วย
“จริง สิ่งที่เราดิ้นรนกัน สุดท้ายแล้ว ถ้าเราไม่รู้จุดมุ่งหมายในชีวิต เราก็ใช้ชีวิตเพื่อเจอจุดลงเอยแบบนี้แหละ” เขาเสริม
“เอ้อ ผมขอสัมภาษณ์คุณสักสองคำถามได้ไหม ผมขออัดวีดีโอด้วย” แมตติถามผม ก่อนหน้านี้เขาบอกผมว่าเขาเรียนจบด้าน Filming
ผมก็บอกได้ ถ้าเป็นคำถามที่ไม่ Personal มากไปนะ
“อะไรคือความฝันของคุณ” เขากดบันทึกแล้วยิงถาม
“การมีชีวิตที่มีความสุข คือความฝันของผม”
เขาดูอึ้งไปสักพัก แล้วก็พูดว่า ช่วยขยายความหน่อยได้ไหม
“ผมมองว่าความฝันที่ผมต้องการก็คือการได้ใช้ชีวิตในปัจจุบันอย่างมีความสุข พอผมโตขึ้นผมก็ได้เห็นอะไรมามาก ผมเคยลำบาก ผมเคยมั่งมี แต่สิ่งเหล่านั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่ผมปรารถนาทั้งหมด สิ่งที่ผมปรารถนาคือการได้มีความสุขกับการดำเนินชีวิต โดยไม่เกี่ยงว่า ณ ตอนนั้นผมจะมากดีมีจน ขอแค่ได้มีความสุข ผมว่าฝันผมก็เป็นจริงแล้วแหละ”
“แล้วคุณจะทำยังไงให้ฝันของคุณเป็นจริง” เขาถามต่อ
“มันก็แล้วแต่ช่วงจังหวะของชีวิตนะ เพราะความสุขในแต่ละไทม์ไลน์ชีวิตมันมีตัวแปรที่ไม่เหมือนกัน อย่างเช่น ณ ตอนนี้ผมก็มีความสุขจากการเดินทางไปเรียนรู้โลกกว้าง การได้ออกเดินทางก็คือการทำให้ฝันของเป็นจริง ก่อนหน้าผมก็มีความสุขถ้าผมได้เคลียร์หนี้สิน และเมื่อผมทำได้ นั้นก็คือการสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข ในอนาคต ก็จะมีอย่างอื่นแหละที่ผมคิดว่าถ้าผมได้ทำแล้วจะมีความสุข ผมก็ต้องทำตามนั้นเพื่อให้มันนำความสุขมาให้ผม เช่น ผมตั้งใจไว้ว่าผมอยากจะไปเป็นครูอาสาในพื้นที่ห่างไกล แต่ไม่ได้ต้องการสอนนานนะ อาจจะสักสองสามเดือน ก็เดี๋ยวถึงเวลานั้น ผมก็ต้องทำแบบนั้นแหละ อย่างที่บอกไปว่าปัจจัยแห่งความสุขมันต่างกันในแต่ละช่วงชีวิต”
เขายิ้ม และบอกว่าขอถามคำถามสุดท้าย
“ต่อจากนี้คุณจะใช้ชีวิตอย่างไร”
“อืม… ผมว่านะ ผมก็จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนี่แหละ แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมา คือผมจะแบ่งปันความสุขของผมให้คนอื่นด้วย เท่าที่ผมจะทำได้นะ เพราะผมไม่สามารถทำให้คนทั้งโลกพึงพอใจได้ แต่ผมก็อยากจะให้คนที่รัก ผมเป็นห่วง หรือคนรอบข้างของผมได้รับความสุขเหมือนๆผมด้วย แต่จะทำด้วยวิธีไหนก็ค่อยว่ากันไป”
“ขอบคุณมาก” เขาพูดพร้อมปิดกล้อง
“แล้วคุณหละ มีความฝันอะไร” ผมถามกลับบ้าง
เขายิ้ม และตอบมาว่า
“เรามีความฝันในชีวิตแบบเดียวกัน. ผมเลยคิดว่า นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้รู้จักกัน”
จากนั้นเขาก็บอกว่าเดี๋ยวเขาไปที่วัดเจดีย์ใหญ่ๆที่ผมเพิ่งไปมาครับ เขาชวนผมไปเที่ยวด้วยกัน แต่ผมบอกว่า ผมไปมาแล้วแหละ และวันนี้ผมรู้สึกว่าผมไม่ค่อยไหวเท่าไหร่ ผมรู้สึกหัวหนักอึ้งมาก อยากจะกลับไปล้างหน้าล้างตา ให้ร่างกายสดชื่นขึ้นสักหน่อย
วันนี้ก็ถือว่าเป็นอีกวันที่ผมได้เห็นอะไรที่ทำให้ผมได้สัมผัส ปกติไปเที่ยวก็จะได้รับแต่พลังที่เป็นด้านดีๆ เติมเต็มชีวิตให้กระปรี้กระเปร่า แต่ครั้งนี้ มันเติมเต็มชีวิตให้เข้าใจถึงความโดดเดี่ยว ความไม่จีรังของสังขาร
“กาลเวลานั้นกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ดังนั้นสัปบุรุษทั้งหลายจงตั้งอยู่บนความไม่ประมาท”