ผมตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง เพราะตื่นเต้นมากกับทริปนี้ เมืองนี้เป็นเมืองที่อยู่ในลิสต์ 100 สถานที่แนะนำของจีนด้วย แถมยังเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเทียนเหมินซาน จางเจียเจี้ยด้วย ซึ่งแม้สองสถานที่หลังนั้นผมเคยไปมาแล้ว แต่ผมก็ยังอยากไปเยือนอีกรอบ
ครั้งนี้ผมเดินทางไปขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองครับ เป็นการบินตรงสู่ฉางชา แถมเป็นทริปแรกที่ผมจะเดินทางลุยเดี่ยวในเมืองจีนด้วยนะครับ
วันแรกของผม ผมเจอเรื่องประทับใจเยอะมากตั้งแต่อยู่บนเครื่อง ซึ่งผมจะขอเล่าให้ฟังครับ เพราะอยากแบ่งปันเรื่องราวดีๆที่ผมเจอมา ตอนอยู่บนเครื่องผมนั่งติดกับสองสาวจีนที่มาเที่ยวเมืองไทย ตามธรรมเนียมผมก็จะทักทายคนที่นั่งติดกัน เพื่ออย่างน้อยก็ได้ผ่อนคลายบรรยากาศ สองสาวพูดภาษาอังกฤษไม่คล่องครับ แต่ก็พยายามมาก เราแนะนำตัวกัน ทั้งสองคนเป็นหมอครับ อายุยังน้อยอยู่เลย น่าจะเพิ่งเรียนจบ (จากที่ถามมา) สองสามรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อทราบว่าผมจะเดินทางไปเที่ยวเมืองจีนคนเดียว
“เมืองจีนระวังถูกหลอกนะ เป็นคนต่างชาติ เค้าจะฟันราคา” ทั้งสองพยายามบอกผมแบบนี้ ซึ่งผมเองก็เข้าใจ เพราะทุกที่เป็นแบบนี้หมด ฮ่าๆ ผมก็ขอบคุณเค้า บอกว่าผมจะพยายามครับ
เราคุยกันตลอดการเดินทางบนเครื่อง (แต่สองชั่วโมงหลัง เราพากันหลับ เพราะมีแต่คนตื่นเช้า) ก่อนจะลาจากกันเราแลก QQ กันครับ และเค้าให้เบอร์โทรผมไว้ด้วย บอกว่าถ้ามีปัญหาอะไรระหว่างเดินทาง โทรหาเค้าได้เลยนะ พร้อมกับแนะนำว่าซื้อซิมจริงๆแค่ 50RMB ก็เพียงพอแล้วแหล่ะ เป็นสองสาวที่นิสัยดีมากครับ นี่เป็นเรืองประทับใจเรื่องที่หนึ่ง
เมื่อมาถึงสนามบิน ระหว่างที่จะเอากระเป๋าของชั้นวาง ก็มีผู้หญิงสาวจีนตัวเล็กๆคนหนึ่งเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย ขอให้ผมหยิบกระเป๋าให้หน่อย ซึ่งผมก็ยินดี เค้าถามผมว่าเป็นคนไทยเหรอ? ผมก็บอกว่าใช่แล้วครับ เค้าบอกว่ามาเที่ยวกับใคร ผมก็ตอบว่ามาคนเดียว เค้าก็บอกว่า โอ ระวังตัวหน่อยนะ เพราะว่าเมืองจีนจะฟันราคานักท่องเที่ยว แหม่ว์ แต่ละคน โปรโมทประเทศตัวเองดีจัง ฮ่าๆ เค้าถามว่าจะเดินทางไปที่ไหน ผมก็บอกว่าจะไปเฟิงหวง เค้าเลยอาสาพาไปขึ้นรถบัสคับ ระหว่างนั้นเค้าก็ชวนคุยหลายๆอย่าง ผมว่าคนจีนก็นิสัยดีนะ คือคนส่วนใหญ่ที่ผมเจอเค้าก็ต้อนรับนักท่องเที่ยวดี ยิ่งมาคนเดียวเค้าก็พากันเป็นห่วง
ผมบอกว่าจริงๆแล้วมีเพื่อนจีนคนหนึ่งเค้าบอกว่าจะมารับที่สนามบิน แต่ผมก็ไม่เคยเจอตัวจริงหรอกนะครับ พอถึงทางออกก็มองเห็นหนุ่มตี๋ใส่แว่น ชูป้ายกระดาษเขียนชื่อผมอยู่ ผมก็เลยลาสาวน้อยคนนั้น พร้อมบอกว่านั่นแหล่ะคือเพื่อนของผมที่มารับครับ เราเลยจับมือร่ำลากัน
ตี๋หนุ่มคนนี้เพิ่งมาฉางชาเมื่อวานครับ และก็อาสามารับที่สนามบินเลย ชื่อว่า Eric เพื่อนคนนี้พาไปซิ้อตั๋วรสบัสเพื่อไปยัง Railway station ราคา 16 หยวนนะครับ แต่เค้าก็ออกให้ผม ซึ่งผมเองก็ไม่อยากรบกวนเลย แต่แปลกแฮะ คนที่นี่มักจะต้อนรับเพื่อนด้วยการพยายามออกให้ ก็คงเหมือนตอนที่เพื่อนผมไปหาที่เมืองไทย ผมก็พยายามออกให้กระมัง
เรานั่งรถไปถึงตัวเมืองกัน ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ครับ เมืองฉางชาเป็นเมืองที่ใหญ่มาก เป็นเมืองหลวงของมณฑลหูหนาน ในตัวเมืองก็ดูเป็นเมืองครับ แลดูวุ่นๆ ฮ่าๆ
เมื่อถึงที่สถานีรถไฟแล้ว อีริคก็พาผมไปทานข้าวเที่ยงก่อน เค้าก็พยายามจะออกให้ผมอีก ผมบอกว่า เห้ย อย่าเยอะ ขอออกเองบ้างอะไรบ้าง มาครั้งก่อนก็เพื่อนสปอยดีเกินจนเกรงใจจนไม่เป็นตัวของตัวเอง และถือว่าเป็นการแลกกันที่เค้าซื้อตั๋วรถให้ผม ผมเลยขออาสาเลี้ยงข้าว เราแย่งกันออกตังค์ครับ ฮ่าๆ ค่าอาหารกลางวันสองคนก็ 50 RMB ไม่ถือว่าแพง เพราะอาหารเป็นชุด กินไม่หมด เลยด้วยซ้ำ
จากนั้นก็ไปซื้อ sim card ก่อนครับ แปลกแฮะที่ร้านที่ไปมีแต่ราคาแพงๆ และผมต้องการเน้น internet จึงซื้อตัว 150RMB มาซึ่งก็โอเค ไม่ได้มายด์มาก แต่ปรากฎว่าใช้กับมอืถือผมไม่ได้! พอใส่ปุ๊บเครื่องรีสตาร์ทเองตลอดครับ งงมาก เกิดอะไรขึ้นเนี่ย แต่ก็ซื้อมาแล้ว ก็เลยทำใจ เสียดายตังค์มากตอนนั้น และเราเสียเวลาอยู่ร้านซิมมือถือนานเกินไป จนอีริครู้ว่าเห้ยเวลาผ่านไปเยอะแล้ว ต้องรีบไปสถานีรถบัสซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร
เรานั่งแท็กซี่ไปครับทั้งหมดก็ 23 RMB แล้วก็ไปซื้อตั๋วไปเฟิงหวง 150 RMB ครับ แต่เราพลาดรอบบ่ายสองครึ่ง ทำให้ผมต้องรอรอบห้าโมงยี่สิบ อิีริคก็ขอโทษผมเป็นการใหญ่ ว่ารู้สึกเสียใจที่ทำให้ผมต้องเสียเวลา และอีริคเองก็มีธุระต้องทำต่อในช่วงบ่าย ผมก็บอกว่า ไม่เป็นไร ผมอยู่ได้ อีริคเลยขอตัวกลับบ้านก่อน แต่สักพัก ก็เดินมาหาอีก บอกว่าอยุ่ได้นะ ผมก็บอกว่าอยู่ได้ดิ
จากนั้น Eric ก็เดินทางกลับบ้านไปครับ ผมก็นั่งรอจนกระทั่งได้เวลาที่รถบัสควรจะมาถึงแล้ว แต่ก็ไม่เห็นมีวี่แววว่าเอ๊ะ แล้วทำไมพนักงานไม่เรียกไปขึ้นรถสักที ผมก็เลยเดินไปถามพนักงานตรงจุดขึ้นรถครับ ถามเป็นภาษาอังกฤษ เค้าตอบมาเป็นภาษาจีน เป็นยังไงละ ทักษะภาษาจีนของผม เงิบสิครับ! คืออะไรหว่า? เค้าก็ตะโกนพูดเสียงดัง ผมก็เลยเดินหงอยกลับมาที่นั่งรออย่างงงๆ
แต่เพราะความกระวนกระวายใจ ยังไงก็ต้องเมคชัวร์ให้ได้ว่า รถมันมาแล้วหรือยัง ก็เลยหันไปสะกิดคนที่นั่งหันหลังให้ผมครับ (ที่นั่งรอจะเป็นแบบหันหลังชนกัน) ปรากฎว่าเป็นตี๋หนุ่มวัยใกล้เคียงกับผมครับ เขาพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก แต่ก็เฟร็นด์ลี่มากๆ และนี่คือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพที่ผมจะไม่มีวันลืมอีกเรื่องเลย ซึ่งผมจะเล่าต่อในตอนหน้าครับ แล้วเจอกันครับ บอกไว้ก่อนเลยว่า ทริปนี้ ฟินที่สุด