อะแฮ่มๆ กลับมาอัพบล็อกอีกแล้วคร้าบ และแน่นอนว่าเมื่อมีการอัพบล็อกใหม่ๆ ก็ย่อมหมายความว่าผมเพิ่งจะกลับมาจากการเดินทางนั่นเอง ครั้งนี้อย่างที่ทราบกันดีครับว่า ผมเดินทางไปสู่มณฑลยูนนาน มณฑลที่ใหญ่เกือบเท่าประเทศไทยทั้งประเทศ! แถมอยู่ไม่ไกลจากประเทศเราด้วยครับ นั่งเครื่องบินเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
กระนั้น บรรยากาศที่ยูนนาน ประเทศจีน ก็แตกต่างจากบ้านเราลิบลับ ผมไปกับเพื่อนสองคน ได้ประสบการณ์ ได้ความสุข ได้ภาพสวยๆมาเพียบเลยครับ มามะ มาดูกันว่าทริปนี้จะสนุกสุดขั้ว นัวๆแซ่บๆขนาดไหน
ก่อนอื่นนั้น ขอท้าวความประสาคนชอบรำลึกถึงความหลังกันก่อนครับ ว่าทำไมอยู่ๆผมถึงได้เลือกเดินทางไปสถานที่แห่งนี้ มันก็มาจากผมเคยไปเที่ยวจีน และเคยไปดูนิทรรศการงานท่องเที่ยวของจีนครับ เค้านำสถานที่ 100 สถานที่แนะนำของจีนมาจัดแสดง แล้วหนึ่งในนั้นก็มีมณฑลนี้อยู่ด้วย ผมก็เลยจัดเก็บลงในลิสต์สถานที่อยากไปทันที
แล้วพอดีว่าตั๋วเครื่องบินหางแดงโลว์คอส จัดโปรโมชั่น 0 บาท! ผมจะพลาดได้ไงครับ รีบจองตั๋วรัวๆ เลือกเดือนที่อยากไปคือเดือนมีนาคม จองเสร็จแล้วก็ทำการหาสหายร่วมเดินทาง ได้เพิ่มมาสี่คน แต่เอาเข้าจริง วันเดินทาง สามคนติดธุระหมด เหลือเพียงผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่เป็นไร เราสองคนพร้อมลุยเต็มที่ครับ
ทริปนี้เป็นทริปที่การวางแผนมีน้อยมากครับ เพราะว่าผมเองก็งานยุ่งมาก จนไม่มีเวลาเตรียมตัวมากมายเท่าใดนัก เพื่อนผมบอกว่า สน จัดการเลยนะ จะเที่ยวไหนยังไง เดี๋ยวเราเป็นผู้ติดตาม ผมก็เลยวางแผนการเดินทางดังนี้ครับ
- วันแรก เดินทางไปถึงคุณหมิง เข้าไปเมืองคุณหมิงก่อนเพื่อหาอะไรทาน และเที่ยวตัวเมืองคุณหมิง จากนั้นก็เดินทางกลับไปยังสนามบิน เพื่อต่อเครื่องบินไปยังเมืองลี่เจียง
- วันที่สอง เที่ยวเมืองลี่เจียงภายในเมืองโบราณ และสถานที่ใกล้เคึยง เพื่อให้ร่างกายปรับสภาพกับความสูงก่อน
- วันที่สาม เดินทางสู่ภูเขาหิมะมังกรหยก และสระน้ำมังกรดำ
- วันที่สี่ ออกเดินทางไปยังแชงกรีล่า
- วันที่ห้า เที่ยวแชงกรีล่า
- วันที่หก เดินทางกลับคุณหมิง
- วันที่เจ็ด เที่ยว Stone Forest ในคุณหมิง
- วันที่แปด เดินทางกลับ Bangkok!!
ใช่แล้วครับ ทริปนี้กินเวลา 7 คืน 8 วัน ที่ฟินโคตร!!!
พอถึงวันเดินทาง ผมก็ตื่นเต้นสิครับ ภาษาจีนก็งูๆปลาๆ เพื่อนผมเหรอ ภาษาอังกฤษยังไม่กระดิกเลย ฮ่าๆ ดังนั้นผมจึงรับหน้าที่เป็นแม่ทัพ พากองทัพออกไปตระเวนเที่ยวแดนมังกร พอไปถึงสนามบินดอนเมือง ก็ปรากฎว่าเครื่องบินดีเลย์นิดหน่อยครับ จากนั้นก็โบยบินสู่เมืองคุณหมิง สนามบินบ้านเค้าอลังการงานสร้างกว่าสนามบินยุคดึกดำบรรพ์อย่างดอนเมืองมากครับ สะอาด ดีไซน์สวยด้วย ห้องน้ำในสนามบินได้มาตรฐาน ยังไม่เจอห้องน้ำระดับตำนานของจีน
พอถึงสนามบินปุ๊บ ทำยังไงครับ? ถ้าจะเข้าไปยังตัวเมืองเหมือนพวกผมก็ให้เดินออกมาที่ทางออก แล้วนั่ง Express bus สาย 1 ไปยังเมืองคุณหมิง ค่ารถ 25 หยวน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ครับ
รถบัสสาย 1 จะพาเราไปจอดหน้าโรงแรม West Inn ครับ ตรงนี้จะเป็นย่านขายพวกอุปกรณ์ไอที โทรศัพท์มือถือ โดนใจสายคอมพิวเตอร์อย่างผมยิ่งนัก รีบเดินดุ่ยเข้าร้านขายมือถือ แต่ช้าก่อน เพื่อนผมเตือนสติว่า สน เรายังไม่ได้ทานข้าวกันเลย ควรจะหาไรกินก่อนนะ ผมก็เลยเดินสุ่มหาร้านขายของกิน ไปเจอร้านคุณป้าสองท่านขายก๋วยเตี๋ยวผัก จานละ 8 เหรียญ ด้วยความหิว และความอร่อยของก๋วยเตี๋ยวคุณป้า จึงจัดเต็มที่ เพื่อนผมฟาดไปสองจาน แถมให้ทิปคุณป้าด้วย 20 บาทไทย (ให้เงินไทยนี่แหล่ะครับ) คุณป้าดีใจมาก ไม่เคยเห็นเงินไทยมาก่อน
ตัวเมืองคุณหมิงนั้น สวย สะอาด ต้นไม้เยอะ อากาศเย็น เดินได้ไม่มีเบื่อครับ ผิดจากกรุงเทพฯ ที่มีแต่ร้อนๆ จนผมนึกว่าประเทศเรามีอูฐเป็นสัตว์ประจำชาติซะแล้ว เดินเล่นกันเพลินครับ มีของขายเยอะ มีสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยการจัดสวนสวยๆ มีพิพิธภัณฑ์ที่ผมหาตั้งนานว่ามันอยู่ตรงไหน สุดท้ายจัดข้างถนนนั่นแหล่ะ ฮ่าๆ
พวกเราใช้เวลาในเมืองคุณหมิงประมาณสองสามชั่วโมง จากนั้นก็เดินทางไปยังสนามบิน เพื่อเช็คอินสายการบิน China Eeastern Airline เพราะเราจะบินไปยังลี่เจียงกันคืนนี้ สำหรับเรื่องตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ ผมใช้บริการของ knowchinese.com ครับ พี่เค้าจัดการให้ดีมาก ถ้าใครไม่อยากจองเองก็ใช้บริการเค้าได้นะครับ รายละเอียดค่าบริการก็ไปดูเองในเว็บเค้าเด้อ
สนามบินเมืองจีน คนเยอะมาก ระหว่างที่เรากำลังต่อคิวเพื่อเช็คอิน คุณป้าจีนหลายคนก็กรูเข้ามาแล้วก็ “แซงคิว” ครับ ไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าไม่ต่อแถวกันนะ ได้แต่มองตาละห้อยเพราะไม่รู้จะทำยังไง แต่สุดท้ายเราก็ผ่านเข้าไปในสนามบินรอบินได้อย่างสบาย
ในสนามบินเค้ามีบริการ Free Wifi ด้วยนะครับ แต่ต้องใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถือซิมจีนขอรหัส ผมก็ไม่มี เลยอดเล่น เซ็งเลย
จากนั้นก็ได้เวลาโบยบินสู่เมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์กว่า 800 ปี เมืองลี่เจียงนั่นเอง
สายการบิน China Easter Airline มีบริการน้ำดื่มเล็กๆขวดหนึ่งครับ ขนาดเครื่องบินก็ประมาณแอร์เอเชีย ใช้เวลาบิน 45 นาที และเครื่องบินส่ายมาก
เมื่อถึงเมืองลี่เจียง ผมก็เดินออกมาด้านนอก ก็เจอคุณลุงโชว์ป้ายพร้อมชื่อผม ผมก็เดินไปหา คุณลุงเป็นคนขับรถแท็กซี่ที่จะมารับเราเพื่อไปส่งที่โรงแรมครับ โรงแรมที่ผมพักดีมากๆ บริการดีสุดๆ ค่าแท็กซี่ 80 หยวน
คืนนั้นเราหิวกันมาก ก็ออกไปหาอะไรกิน แต่เมืองโบราณลี่เจียง พอดึกๆ ร้านค้าก็เริ่มปิดกันแล้วครับ เราเลยทานก๋วยเตี๋ยวอีกแล้ว จานละ 6 หยวน อร่อยใช้ได้เลย อิ่มไปอีกมื้อ พรุ่งนี้เตรียมพร้อมเดินสำรวจบ้านเมืองเค้าครับ
รุ่งเช้า เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ผมก็กระวีกระวาด ออกมาล้างหน้าแปรงฟัน ไม่อาบน้ำ เพราะมันหนาวจนถึงกระดูก ฮ่าๆ ถือว่าเมื่อคืนอาบไปแล้ว เช้านี้จึงไม่ต้องอาบก็ได้มั้ง เอิ้กๆ
ผมจัดแจงทำการย้ายห้องพักด้วยครับ เพราะก่อนหน้านั้นเราจองล่วงหน้าเป็นแบบห้องพักสามคน แต่เนื่องจากมากันแค่สองคน วันที่สองผมจึงขอย้ายมาเป็นห้องเล็กลง และราคาถูกกวา นั่นก็คือ คืนแรกจ่ายไป 158 หยวน คืนที่สอง 127 หยวน ครับ สภาพห้องโอเค ไม่ได้หรูหรามาก แต่ผมชอบการบริการของสตาฟนะ ผมให้ 100 เต็มสำหรับ service mind เพราะเธอพูดภาษาอังกฤษได้ เป็นมิตร และสุดท้าย เรากลายเป็นเพื่อนกัน 🙂
ผมเปิด ipad และเข้าแอพ maps.me เพื่อเปิด navigator ดูตำแหน่งสถานที่เที่ยวแต่ละที่ แล้วเริ่มเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆในเมืองโบราณ สถานที่นี้ก็แปลกครับ สภาพแสงไม่ค่อยไปตามเวลาที่เราคุ้นเคย เช่น เวลา 10โมงเช้า แต่บรรยากาศอย่างกะเพิ่ง 6 โมงเช้า เดินได้ไม่ร้อนเลยครับ
บ้านเมืองในเมืองโบราณลี่เจียงผมชอบมาก ทำมาจากไม้ทั้งหลัง สถาปัตยกรรมทรงโบราณ สวย มีเสน่ห์ ยามเช้าคนไม่พลุกพล่านด้วย สงบมากๆครับ ส่วนอาหารเช้าที่นี่หนีไม่พ้น ซาลาเปา หมั่นโถว และ…ก๋วยเตี๋ยว!!!
ตอนแรกผมนึกว่าเมืองโบราณลี่เจียงมันจะเล็กๆเเหมือนหมู่บ้านเฟิงหวง ที่ผมเคยไปเที่ยว ทีไ่หนได้ มันใหญ่กว่าอำเภอผมอีกมั้งเนี่ย ใหญ่เวอร์ เยอะเวอร์ สวยเวอร์ ผมมองหน้าเพื่อนผม แล้วถามว่าจะไปไหนกันก่อนดี เพื่อนผมบอกว่า ไปที่ไหนก็ได้ “แล้วแต่สน” เอาละสิ ผมทำหน้าที่เป็นแม่ทัพอีกรอบ
ผมเลยบอกว่า เดินเล่นชิลๆกันเนี่ยแหละ เจออะไรน่าสนใจก็ค่อยๆไปละกัน เพื่อนผมก็ดีมาก อือออทุกสิ่งอย่าง เราก็เดินเล่นกันไปถ่ายรูปกันไป สนุกสนานไม่น้อย
เดินไปเดินมา ก็มาถึงตรงที่เป็นเหมือนแลนด์มาร์คที่นี่ นั่นก็คือกังหันน้ำขนาดยักษ์ครับ แน่นอนว่าเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว แต่มันก็ไม่ได้อึดอัดเลย ผมกับเพื่อนก็ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
ย่านนี้มีชาวบ้านน่าซี มาเต้นรำพื้นเมืองด้วย ผมก็ไปยืนดู ท่าเต้นเค้าง่ายๆดีครับ เลียนแบบได้ไม่ยาก และแน่นอนว่าผมก็อยากขอถ่ายรูปกับคุณลุงคุณป้า อิอิ
ชาวน่าซีเป็นชาวพื้นเมืองของย่านนี้ครับ มีเรื่องราวน่าสนใจ โดยเฉพาะการที่ผู้หญิงมีอำนาจ (แต่ก็ทำงานหนักมาก) สามารถหาอ่านดูได้ตามเว็บไซต์วิกิพีเดีย แล้วจะช่วยให้คุณเดินทางเที่ยวเมืองนี้สนุกมากยิ่งขึ้นครับ
ระหว่างที่ผมถ่ายรุปคู่กับคุณลุงคุณป้า ท่านทั้งสองก็เรียกเพื่อนมาร่วมเข้ากล้องด้วย ทุกคนต่างก็อยากเห็นภาพตัวเอง และพูดภาษาจีนยาวพรืดใส่ผม ถามว่าผมเข้าใจไม๊ หึๆ ไม่ต้องบอก งง ตึ๊บครับ ได้แต่ใช้ยิ้มหล่อๆเข้าช่วย แล้วก็ส่ายหัวบอกว่า ผมม่ายเข้าใจ ฮ่าๆ
ด้วยเป็นเพราะว่าช่วงที่ผมมาเป็นช่วงที่ดอกไม้พากันผลิบาน มีต้นอะไรก็ไม่รู้ ออกดอกสีชมพูเต็มไปทั่วทั้งเมือง ผมก็ตื่นเต้นสิครับ บ้านเรามีให้เห็นซะที่ไหน ถ่ายภาพแม่งเกือบทุกต้น ฮ่าๆ ก็มันสวยจริงอะไรจริงนี่นา
เอาจริงๆนะครับ แค่ได้มาเห็นพืชพรรณบ้านเค้าก็ฟินจนหยุดไม่อยู่แล้ว ไม่เคยพบไม่เคยเห็นพืชหลายอย่างมาก เพื่อนผมเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้ผม ถ่ายภาพไปเยอะแยะ บอกว่าจะเอาไปฝากแม่
ใกล้ๆกับกังหันน้ำขนาดยักษ์ ก็เป็นอุทยาน “สระน้ำมังกรดำ” ครับ เดินเข้าไปดูได้ อ้อ ผมลืมบอกไปว่าเที่ยวเมืองโบราณลี่เจียงต้องซื้อตั๋วเข้าเมืองด้วยนะครับ ราคา 80 หยวน ใช้ได้ 7 วัน เก็บไว้ให้ดี เพราะต้องใช้ทุกครั้งเวลาเที่ยว เค้าจะเช็คครับ เวลาไปซื้อตั๋วเที่ยว บางทีเค้าชาร์ตตั๋วนี้ไปด้วย ถ้าเราเคยซื้อแล้วให้บอกเค้าว่า ไอมีแล้วนะ ไม่ต้องมาเก็บตังค์เพิ่ม
สระน้ำมังกรดำ น้ำสะอาดมาก สวยด้วย มองเห็นภูเขาหิมะมังกรหยกอยู่ด้านหลังแบบจางๆ เสียดายที่ศาลากลางน้ำเค้าปิดปรับปรุงเลยทำให้ภูมิทัศน์ไม่สวยแบบเต็มที่ แต่ก็ได้ใจไปเต็มๆเหมือนกัน
เพื่อนผมบรรยายให้ฟังว่า น้ำที่นี่สะอาดและเป็นน้ำที่ดี เนื่องจากมีพืชบางอย่างขึ้นอยู่ในน้ำ ผมจำชื่อไม่ได้ว่าชื่ออะไร เพื่อนบอกว่า น้ำใสไม่ใช่หมายความว่าน้ำดีเสมอไป แต่ที่นี่ทั้งใสและดี มองไปในน้ำ เห็นฝูงปลาคาร์ฟว่ายเต็มไปหมด นี่มันหนังจีนชัดๆ!
วันที่ผมไปเค้ามีประกวดรำพื้นเมืองด้วยแหล่ะ มันช่างโอกาสพอเหมาะเจาะจริงๆ ผมก็ดูเค้าประกวดกันสักครู่หนึ่ง ก็ออกเดินทางเที่ยวต่อ ผมบอกเพื่อนว่า ไฮไลท์อีกอย่างของการมาเที่ยวเมืองโบารณลี่เจียงก็คือการไปดูภาพมุมสูงของเมืองแห่งนี้ เพื่อนผมก็ตื่นเต้น ถามว่า ดูที่ไหน ผมชี้มือไปยังที่ไกลโน้น แล้วบอกว่า โน้น Lion Hills และเราจะเดินไป! เพราะวิวระหว่างทางมันสวย เพื่อนผมก็ทำหน้าที่ผู้ตามที่ดี เดินไปด้วยกัน
ค่าเข้าชม Lion Hills คนละ 15 หยวน จ่ายอีก 50 หยวน สำหรับค่า Wangu Pavillion ครับท่านผู้ชม เก็บกันเข้าไป เก็บให้ครบทุกจุด เงินส่วนใหญ่ในทริปก็คือจ่ายค่าตั๋วนี่แหล่ะครับ ฮ่าๆ จ่ายค่าเข้าไปแล้ว เราก็เดินขึ้นเขาไป และก็แต่นแต่นแต้นนนน ถึงหอคอยที่เอาไว้ขึ้นไปดูวิว แฮะๆ ป่ะๆ ไปกันๆ
ด้านบนหอคอยลมแรงมาก อากาศดีมาก คือแดดเปรี้ยงแต่หนาว คิดภาพออกไหมครับ มันดูคอนทราสต์กันยังไงก็ไม่รู้ และวิวด้านบนก็สวยจริงๆ มองเห็นหลังคาทรงโบราณติดกันพรื่บ มีฉากหลังเป็นหูเขา สวยงาม
ด้านบนอากาศดีจนทำให้เราลืมเวลากันเลย ผมกับเพื่อนพอรู้ตัวก็เลยพากันเดินลงมาเพื่อไปยังสถานที่ถัดไป เอาจริงๆนะครับ สถานที่ถัดไปเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปไหน ฮ่าๆ แค่เดินไปเรื่อยๆ เห็นอะไรอยากดูก็ค่อยแวะเข้าไป แล้วก็เห็นจริงๆด้วย นั่นก็คือ สถานที่เหมือนภาพด้านล่าง ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันยิ่งใหญ่ น่าสนใจ สองขาของผมก็เดินดุ่ยๆไปยังที่นั่น แล้วก็มีเสียงพูดขึ้นว่า ตั๋วอยู่ไหน?
ห๊ะ ต้องซื้อตั๋วอีกแล้วครับ!!
คนละ 60 หยวน ด้วย แต่มาแล้วก็ซื้อๆไปเหอะครับ มันคุ้ม
ข้างในอาคารเป็นภาพจิตกรรมโบราณครับ สถานที่ก็ใหญ่มากด้วย เดินกันเมื่อยเลย วันนี้ทั้งวัน ผมว่าเที่ยวได้แค่นี้ก็กินเวลาไปเยอะแล้วจริงๆ แถมแบตเตอรี่ก็จะหมดอีก โหย กดไปเจ็ดร้อยกว่ารูปเอง
สำหรับการเที่ยวเมืองลี่เจียงในวันแรก ก็ฟินสุดๆอย่างที่เขียนๆมาครับ บ้านเมืองเค้าสวย สงบ และที่สำคัญผมได้เห็นสิ่งที่อยากเห็นที่ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของมวลมนุษยชาติ นั่นก็คือ “อักษรภาพตงปา” ครับ
อักษรภาพนี้เป็นอักษรภาพเพียงภาษาเดียวที่ยังมีใช้งานอยู่จริงในปัจจุบัน ฟินเวอร์ๆ เห็นแล้วก็ภูมิใจแทนคนในชาติเค้านะครับ เป็นชาติที่มีอารยธรรมมายาวนาน สร้างสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกได้ขนาดนี้ อยากให้เก็บรักษาไว้นานๆ และสมควรแล้วที่ได้เป็นเมืองมรดกโลก
บล็อกตอนนี้ยาวได้เรื่องเลยแฮะ นี่เพิ่งวันเดียวเองนะ! เดี๋ยวมันจะยาวจนน่าเบื่อไปเสียก่อน
สำหรับตอนต่อไปผมจะพาไปขึ้นเขาหิมะมังกรหยก ที่ระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 4,680 เมตร และเพื่อนผมก็เป็นโรคความสูงด้วย!! เป็นโรคที่คนที่ราบอย่างเราๆต้องทำความรุ้จัก เพราะอาจจะตายได้ครับ ถ้าร่างกายปรับตัวไม่ทัน รับรองว่าสนุกไม่แพ้วันอื่นๆ แล้วเจอกันตอนหน้าครับ
ขอบคุณที่ติดตามการเดินทางครับผม