มาต่อตอนที่สองกันครับ เนื่องจากทริปนี้ไปยาวมาก ผมก็จะแบ่งเขียนเป็นตอนๆไป อย่าเพิ่งเบื่อกันนะครับ หลังจากที่อีริคกลับบ้านไปแล้ว
จากนั้นก็นั่งรอรถครับ แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมรถถึงยังไม่มา เวลาก็ใกล้แล้ว ผมก็เลยไปถามพนักงานแถวนั้น เค้าก็บอกว่าเหมือนมันยังมาไม่ถึง โอเค เข้าใจได้ แต่พอได้เวลาแล้ว ก็ไม่เห็นเค้าเรียกหรือพูดว่า Fenghuang เลย ผมเองก็กังวลใจ เห้ยเกิดอะไรขึ้น เลยเดินไปถามอีกรอบ เค้าก็พูดอะไรต้านๆเตี้ยนๆ ผมเองก็งงๆ เดินกลับมาจากงงๆ เลยสะกิดคนที่นั่งหันหลังให้ผม ปรากฎว่าเป็นตี๋หนุ่มอายุใกล้เคียงกันครับ และนี่คือมิตรภาพอีกหนึ่งน้ำใจทีผมประทับใจไม่รุ้ลืม
ตี่หนุ่มคนนี้ชื่อว่า หลีฮุ่ย เค้าบอกว่าเค้าพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก แต่เค้าก็พยายามช่วยด้วยการหยิบมือถือขึ้นมาแล้วก็ใช้แอพแปลภาษาครับ ซึ่งเค้าก็บอกว่ารถมาสาย และเค้าก็จะไปเฟิงหวงเหมือนกัน เป็นบ้านเกิดเค้าเอง ผมก็ดีใจครับ บอกว่าดีจัง เราก็นั่งคุยกันผ่านแอพแปลภาษากันจนรถมา หลีฮุ่ยเพิ่งมาจากปักกิ่ง และเชี่ยงไฮ้ เค้าจะกลับไปบ้านคืนหนึ่ง ก่อนจะเดินทางไปทำงานอีกเมืองหนึ่ง
หลีฮุ่ยถามผมบอกว่า จะรังเกียจไหม ถ้าจะขอนั่งด้วย ผมก็บอกว่าไม่เลย ดีซะอีกผมจะได้มีเพื่อน เค้าก็เลยขอแลกที่นั่ง และเราก็นั่งคุยกันตลอดหกชั่วโมงผ่านแอพครับ สามารถมาก นี่ถ้าคุยภาษากันได้ ผมว่าคงคุยกันถูกปากแน่ๆ
ระหว่างทางผมหิวครับ ท้องร้องจ้อกเลย หลีหุ่ยหัวเราะ แล้วบอกว่าเค้ามีอาหารนะ พูดแล้วก็ลุกไปหยิบกระเป๋าพร้อมกับเอาข้าวมาแบ่งกันกิน เป็นเหมือนเกี้ยวซ่าครับ แต่ข้างในเป็นข้าวผัด เจ๋งดีนะ ทำเป็นก้อนๆ อร่อยด้วย เค้าแบ่งกับผมคนละถุง ในหนึ่งถุงมีประมาณหกชิ้น คือแค่สามชิ้นก็อิ่มแปล้แล้วคับ เค้าให้ผมเก็บไว้ กินต่อเผื่อหิวตอนอยู่โรงแรม
แถมไวไฟผมก็ไม่มีด้วยครับ หลีฮุ่ยบอกว่าเอาของเค้าไปก็ได้นะ แชร์กันเล่น และแบ่ง powerbank ให้ผมชาร์ตมือถือด้วย คือแบบใจดีมาก
เค้ารุ้ว่าผมมีปัญหาเรื่องซิมมือถือ หลีฮุ่ยบอกว่า รอแป็บ จะโทรหาแม่ก่อน ถามว่าโรงแรมที่ว่ามันอยู่แถวไหน แล้วก็คุยภาษาจีนอะไรไม่รู้ จากนั้นก็บอกว่า มันอยู่ในซอยนะ ผมไปเองน่าจะงง เดี๋ยวเค้าจะไปส่งผมเอง ผมก็ขอบคุณเป็นการใหญ่
ระหว่างทางเราแลกเปลี่ยนรูปภาพที่เราไปเที่ยวกันครับ และพอถึงเฟิงหวง หลีฮุ่ยก็โบกแท็กซี่เข้าไปในตัวหมู่บ้าน และพยายามแย่งออกตังค์อีก ผมก็บอกว่าไม่ต้องๆ ผมออกเอง หลีฮุ่ยดูอัพเซ็ทนิดๆ ฮ่าๆ
ถึงเฟิงหวงก็ประมาณ 23:30 ครับ สวยมาก หลีฮุ่ยบอกว่า รอแป็บ จะขอให้คนถ่ายภาพให้พวกเราสองคนหน่อย แล้วก็ถ่ายภาพกันพอประมาณ จากนั้นก็เดินไปส่งผมที่โรงแรมครับ เออโรงแรมลึกลับจริงๆด้วย ฮ่าๆ ก่อนจากกันเราก็ร่ำลากันคับ หลีฮุ่ยบอกว่า มีอะไรก็ส่ง QQ บอกเค้านะ ระวังตัวด้วย ผมก็บอกว่าโอเค คืนนั้นหลีฮุ่ยก็ส่งข้อความมาเตือนอีกว่า เที่ยวคนเดียวระวังตัวนะ ถ้าเข้าบาร์ก็ระวังสาวๆด้วย ฮ่าๆ ถ้าจะดีอย่าเที่ยวกลางคืน (หมายถึงผับบาร์) เลย ให้เที่ยวธรรมชาติอะไรแบบนี้จะดีกว่า
วันรุ่งขั้นผมรีบตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปดื่มด่ำความสวยงามของเมืองนี้ เมืองนี้สวยเวอร์ เหมือนมาอยู่ในหนังจีนกำลังภายใน ฮ่าๆ แต่ว่ามาเที่ยวคนเดียว แหม่ ไม่มีรูปตัวเองเลยวุ้ย ผมเลยขอให้คนนั้นๆคนนี้ถ่ายภาพให้ ซึ่งก็โอเคมาก และนั่นก็เป็นอีกจุดเริ่มต้นของมิตรภาพเล็กๆระหว่างเดินทาง
ผมขอให้สองสาวที่ยืนอยู่ริมทางถ่ายภาพให้ผมหน่อย เค้าก็พูดอังกฤษไม่ได้เลย แต่ก็ใช้ท่าทางสือสารกัน จริงๆคุยกันด้วยแต่คนละภาษา ผมก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจ จริงๆไม่รู้เลย ฮ่าๆ พอถ่ายภาพให้ผมเสร็จ เค้าก็ถามผมว่าพูดจีนไมไ่ด้หรือ (อันนี้ผมฟังออก) บอกว่าไม่ได้เท่าไหร่ ผมเป็นคนไทย เค้าก็บอกว่าโอ นักท่องเที่ยวต่างประเทศ ระวังเรื่องราคานะ แพง และฝนก็ตกครับ เราเลยยืนหลบฝนด้วยกัน พอฝนเริ่มซา ก็มีแม่ค้าขายร่ม เค้าก็ถามว่า Ni Yao ma? แปลว่า ต้องการไหม? เสียงแบบว่า คุณหนูมาก ฮ่าๆ แต่งกายเรียบร้อยด้วย ดูมีสกุลรุนชาติจริงๆ ผมก็บอกว่า Wo yao yi ge. เค้าก็บอกว่างั้นมาด้วยกันเลย จะได้ไม่ถูกเค้าโกงราคา แล้วเค้าก็ต่อราคามั้งครับ ได้มาคันละ 12 หยวน และเราก็ร่ำลากัน
ตอนเย็น ผมได้รับ QQ จากหลีฮุ่ย บอกว่า สนเอ้ย วันนี้พระเจ้าไม่เข้าข้างนาย เพราะส่งฝนมากระหน่ำเมืองเฟิงหวง พร้อมกับหัวเราะ ผมบอกว่า เห้ย พระเจ้าไม่อยากให้ผมร้อน เพราะอยู่กรุงเทพฯ ผมก็ร้อนพอแล้ว พระเจ้าเลยส่งความเย็นมาให้ผมต่างหากหละ แล้วก็หัวเราะกลับไป หลีฮุ่ยบอกว่า จริง พอฝนหยุดนายจะเห็นว่าเมืองนี้สวยไปอีกแบบ และก็เป็นดั่งเค้าว่าครับ สวยมาก เพราะมีหมอก มีเมฆปกคลุมภูเขา เหมือนภาพวาดเลย
ตอนทุ่มกว่าๆ QQ ผมก็เตือน มีเพื่อนที่อยู่ฉางชาส่งข้อความมาขอโทษขอโพย เป็นคนละคนกับอีริคนะครับ เพื่อนคนนี้เรารู้จักกันอยู่แล้ว ตอนแรกเพื่อนว่าจะมาเที่ยวด้วย แต่ปีนี้เพื่อนเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการของบริษัท เลยชีวิตวุ่นมาก หาวันหยุดไม่ได้ (เพิ่งมารู้ว่าคนจีนนี่การได้หยุดติดกันสามวันถือว่าเป็นสวรรค์มาก รู้สึกดีใจที่เมืองไทยมีวันหยุดเยอะ ฮ่าๆ) เพื่อนผมก็ส่งข้อความมาสอบถามว่าเป็นยังไงบ้าง โอเคไหม เป็นห่วงมาก เพราะนายไม่ได้ภาษาจีนเลย ผมก็บอกไปว่า เห้ย ผมพูดจีนพื้นฐานได้แล้วนะ ฮ่าๆ จากนั้นเพื่อนผมก็แนะนำโน่นนี่นั่นอีกครั้ง พร้อมกับบอกว่าระวังตัวด้วยนะ เพื่อนดีใจที่ผมเจอแต่คนดีๆ แต่ก็ไม่อยากให้ผมประมาท
การเดินทางทำให้ผมได้เจอเรื่องราวใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ จุดหมายปลายทางมันสำคัญ แต่เรื่องราวระหว่างทางมีความหมายไม่แพ้กันครับ มันช่วยเติมเต็มให้การเดินทางครั้งนี้มีความหมายมากขึ้น ผมขอบคุณสำหรับทุกมิตรภาพที่ผมได้รับจริงๆ และวันต่อๆมา เรื่องราวดีๆ ก็ยังมีให้ติดตามอีกครับ หลงรักเมืองจีนแล้วครับ