สวัสดีครับผม ตอนนี้บักสนกลับมาแล้วครับ หลังจากที่ออกเดินทางไปเติมพลังชีวิตให้ซะหนำใจกลับหลายๆทริป และอัพเดทบรรยากาศบางส่วนลงในเว็บไซต์พันทิปและแฟนเพจแล้ว บัดนี้ก็เป็นเวลาอันสมควรที่จะมาเล่าเรื่องลงบล็อกของตัวเองบ้างสักที
อย่างที่ทราบกันดีครับว่าเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม – 6 พฤศจิกายน ผมได้ออกเดินทางไปยังดินแดนแห่งหนึ่ง ที่ได้รับสมญานามว่า “ดินแดนแห่งเทพนิยาย” บ้าง “สวรรค์บนแดนดิน” บ้าง ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงเมืองนี้ “จิ่วไจ้โกว”
ผมรู้จักสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกสมัยที่ยังเป็นนิสิตครับ มีเพื่อนผมคนหนึ่งเอารูปมาให้ผมดูและบอกว่า ดูรูปนี่สิ อย่างกะในฝันเลยเนอะ ผมเห็นแล้วก็ไม่เชื่อว่ามันจะมีอยู่จริงครับ เพื่อนคนนั้นก็บอกว่ามันมีจริง อยู่ที่เมืองจีน พร้อมกับบอกชื่อว่าอยู่ทีไ่หน ผมก็เลยทำการค้นหาใน google และเมื่อเห็นว่ามันมีอยู่จริงบนโลกนี้ มันก็กลายเป็นสถานที่ในฝันที่ผมจะต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิตครับ
ผมมีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้ง แต่ดันไม่มีโอกาสไปตามฝันที่สถานที่แห่งนี้เลย โชคดีที่มีอยู่วันหนึ่งผมนั่งดูตั๋วเครื่องบินเพลินๆ ก็เห็นมีโปรโมชั่นบินจากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองฉงชิ่งในราคาที่ไม่แพงเลยครับ ไปกลับประมาณ 4,600 บาท แถมเป็นช่วงเวลาที่ดีมากด้วย เพราะดูจากปฏิทินแล้ว เป็นช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสี…
เอาละสิ เกิดมาไม่เคยเห็นใบไม้เปลี่ยนสีสักครั้งในชีวิต แถมบินไปลงฉงชิ่ง ก็นั่งรถไฟความเร็วสูงไปยังเมืองเฉิงตูต่อได้ และจะได้ไปเยือนสถานที่ในฝันของผม ผมเลยไม่รอช้าครับ รีบจองตั๋วเครื่องบินทันที เสร็จแล้ว ผมก็โพสต์ลงในเฟสบุคส่วนตัว เผื่อจะมีใครสนใจไปจอยทริปนี้ด้วยกัน ก็ปรากฎว่ามีเพื่อนร่วมทริปเพิ่มมาอีกสองคน ซึ่งเป็นทริปไม่กี่ทริปที่ผมเดินทางไปร่วมกับคนอื่น เพราะโดยส่วนใหญ่มักจะแบกเป้ลุยเดี่ยว จริงๆ ก็มาจากสไตล์การเที่ยวที่คิดจะพักไหนก็พัก บางสถานที่ก็ถ่ายรูปแช่ไปเป็นชั่วโมงสองชั่วโมง ถ้ามีคนอื่นไปร่วมด้วย กลัวเค้าจะรำคาญ แต่โชคดีมากๆครับที่เพื่อนร่วมทริปครั้งนี้ต่างก็เที่ยวในสไตล์เหมือนกัน คือดื่มด่ำให้เต็มที่ไม่ต้องเที่ยวแบบรีบเก็บแต้มเช็คอิน
…อ่านถึงบรรทัดนี้ ผมบอกไว้ก่อนนะครับว่า มันเป็นบันทึกแบบมหากาพย์…
ผมออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรูที่สนามบินดอนเมือง แลกตังค์เป็นเงินหยวนให้เรียบร้อย แนะนำเลยนะครับว่าแลกเป็นเงินหยวนไปเลยสะดวกกว่าแลกเป็นดอลลาร์ เพราะเมืองจีนหาที่แลกเงินยากมาก แถมพวกเค้าก็ไม่ยอมคุยภาษาอังกฤษกันสักเท่าไหร่ แลกนอกสนามบินได้เรทดีกว่าด้วยครับ เตรียมตัวกันให้พร้อมนะครับ อ้อ เที่ยวเมืองจีนต้องมีวีซ่านะครับ ไปขอได้แถวสถานทูตจีน ใกล้ๆกับฟอร์จูนทาวเวอร์ ตรงข้ามเซ็นทรัลพระราม 9 ครับ ทำไม่ยากแค่เอาเอกสารไปให้ครบ
** สำหรับการขอวีซ่า ถ้าคุณทำงานเป็นฟรีแลนซ์แบบผม ก็ให้เขียนไปเลยนะครับว่าเราทำงานเป็นฟรีแลนซ์ และระบุไปด้วยว่าฟรีแลนซ์อะไร เช่น ฟรีแลนซ์เว็บดีไซน์เนอร์ สาเหตุที่มาบอกเช่นนี้ เพราะผมโดนถามมาครับว่าทำงานอะไร และเค้าขอเอกสารยืนยันการทำงานจริงๆ ซึ่งผมก็ไม่มี ผมก็บอกไปว่าผมทำงานนี้ๆ ก็เลยไม่มีปัญหาอันใดในการขอวีซ่าครับผม
เอาละ มาต่อเรื่องเที่ยวกันดีกว่า วันแรกที่เราไปก็คือไปที่เมืองฉงชิ่งก่อน จากนั้นแพลนก็จะเป็นนั่งรถไฟความเร็วสูงไปยังเมืองเฉิงตู
เมื่อคุณไปถึงสนามบินฉงชิ่ง ให้เดินออกไปยังอีกเทอมินัลนะครับ ที่นั่นจะมีสถานีรถไฟฟ้า เราก็นั่งรถไฟฟ้าเข้าไปยังสถานีรถไฟความเร็วสูงได้เลย ซึ่งให้นั่งไปที่สถานี Chongqing North Station นะครับ ค่ารถ คนละ 5 หยวน และเมื่อไปถึงที่สถานี ผมก็ซื้อตั๋วรถไปยังเฉิงตู ราคา 96.5 หยวน ใช้เวลาเดินทาง สองชั่วโมงกว่าๆ รถไฟออกตรงเวลามากเลยครับ
สภาพในรถไฟความเร็วสูง สุดยอดมาก สะอาดมากครับ เหมือนเป็นตู้นอนเลย เราสามคนก็นั่งโดยสารอยู๋ในห้องเดียวกัน พร้อมกับมีคนจีนด้วยอีกสองคน รถไฟนี้ไม่ให้สูบบุหรี่นะครับ พนักงานต้อนรับก็น่ารัก มาตรฐานคล้ายๆบนเครื่องบินเลย ชอบๆ แถมมีที่นั่งให้นั่งริมทางเดินด้วยเผื่อใครอยากลองนั่งชมวิวอีกฝั่ง
เมื่อถึงเมืองเฉิงตู พวกผมจะพักที่เฉิงตูหนึ่งคืน จากนั่นจะนั่งรถบัสไปยังจิ่วไจ้โกวในตอนเช้าครับ สถานที่พักในวันนี้คือ Chengdu Flipflop Lounge Hostel เป็นโฮสเท็ลที่ดีงามมาก แนะนำให้ไปพัก เพราะราคาไม่แพง ที่พักดี (ข้างนอกดูเก่าคร่ำครึ แต่ข้างใน ทันสมัยสุดๆ ต่างกันฟ้ากับเหว)
อย่างไรก็แล้วแต่ครับ มาเที่ยวเมืองจีน ความรู้ภาษาอังกฤษแทบจะไร้ประโยชน์ครับ คนที่นี่พูดอังกฤษกันแทบจะไม่ได้เลย แถมพวกเราก็ดันไม่รู้ทางไปโฮสเท็ลด้วยครับ! คืออ่านจีนไม่ออก คืออะไร ยังไง ข้าพเจ้างง
พวกผมเลยเดินไปถามพนักงานที่สถานีรถไฟฟ้า เผื่อเค้าจะพอช่วยได้ เค้าก็พูดอังกฤษไม่ได้นะครับ แต่ทุกคนต่างก็กระตือรือร้นที่จะช่วยพวกเรามากๆ ผมประทับใจสุดๆเลย มีการโทรถามกันข้ามสถานี (ผมเดาเอานะ) และอยู่ๆ พนักงานสาวคนหนึ่งก็เดินไปที่เสาต้นหนึ่ง พร้อมกับจิ้มๆ แล้วทันใดนั้น โอ้มายก็อดดดด มันกลายเป็นแผนที่นำทางครับ Interactive Map!! จีนทันสมัยม้ากกกกก!!!!
เธอผู้นั้นก็พิมพ์ค้นหาว่าโรงแรมนี้อยู่ตรงไหน แล้วพรึ่บ! มันก็แสดงแผนที่คล้ายๆกับ Google Map ให้เราได้เห็น และนั่นแหล่ะครับ เราถึงไปที่พักถูก ฮ่าๆ ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือหนุ่มไทยทั้งสามครับ เอิ้กๆ
พอถึงที่พัก ภารกิจแรกที่เราต้องทำก็คือ “กินข้าว” ครับ นั่งรถมาตั้งนานยังไม่มีอะไรรองท้องเลย พี่ที่ไปด้วยกันบอกว่า มีร้านอาหารร้านหนึ่งจะแนะนำ เป็นร้านบะหมี่ ทำกับข้าวโดยพ่อครัวหัวป่าก์ เป็นชาวจีนมุสลิมจากซินเจียง อาหารเลิศรส พี่ท่านก็การันตีว่าผมต้องชอบ แหม่ อวยขนาดนี้ ผมต้องไปลองให้ได้
ทางไปร้านอาหารนี้ไม่ยากครับ พอก้าวเท้าออกจากโฮสเท็ลปุ้บก็ให้หันหน้าไปทางซ้ายมือ แล้วเดินตรงไปโลดครับ เดินจนถึงทางแยก ก็ให้เลี้ยวซ้ายประมาณสิบเมตร ก็จะเจอร้านบะหมี่ ที่มีชายหนุ่มโพกหัว ยืนปั้นเส้นบะหมี่อยู่ นั่นแหล่ะครับ ร้านอาเฮียที่พี่ผมแนะนำ
อาหารเค้าอร่อยมากจริงๆ! อร่อยแบบที่สุดที่เคยลิ้มลองอาหารจีนมา ผมยอมรับว่าถูกปากผมมากครับ แนะนำต่อเลยทันที ผมสั่งไปหลายเมนูครับ (ฝากท้องไว้ที่นี่สามมื้อ) อร่อยทุกเมนูที่สั่ง ส่วนมันเรียกว่าอะไรนะเหรอ หึๆ ผมไม่รู้เลยสักนิด ผมดูรูปแล้วจิ้มๆเอา อันไหนดูน่ากินก็จิ้มอันนั้นครับ ฮ่าๆ
ถ้วยบะหมี่ด้านบนเนี่ย ยอมรับเลยว่าทำได้สุดยอด น้ำซุปมีกลิ่นหอมของไข่เจียว มันเป็นบะหมี่ที่ทำเองสดๆ มาปรุงรสให้เข้ากับเครื่องเทศ แล้วก็โปะหน้าด้วยไข่เจียวครับ เขียนไปน้ำลายไหลไป อยากกลับไปเฉิงตูอีกรอบ เพื่อไปกินร้านนี้โดยเฉพาะนะครับเนี่ย แถมราคาไม่แพงด้วย 12 หยวนเองครับ (ประมาณ 60 บาท) และที่สำคัญชามเค้าไม่ใช่เล็กๆเหมือนร้านอาหารบางร้านนไทยนะครับที่ใหญ่แค่รูป เพราะที่นี่ชามเบ้อเริ่มเทิ่ม ชามเดียวเอาอยู่ และเกินพอสำหรับคนทั่วไปแน่นอน
แม้จะเป็นแค่เมืองแวะพัก แต่ช้าก่อน อย่าคิดว่าเฉิงตูไม่มีอะไรให้ดูนะครับ อย่างแรกเลย ผมไปดูโชว์เปลี่ยนหน้ากากครับ ขึ้นขื่อมากของที่นี่ ราคาตั๋ว 150 หยวน แนะนำให้ไปดูอีกเช่นเคย ไม่รู้ทำได้ไง เปลี่ยนหน้ากากได้เร็วเวอร์ๆ เสียดายผมไม่ได้เอากล้องถ่ายรุปไปด้วย เพราะนึกว่าเค้าห้ามถ่ายภาพ ที่ไหนได้ ถ่ายไปเลยจ้า แชร์บอกเพื่อนด้วย! เสียใจสุดๆ
ดูโชว์เปลี่ยนหน้ากากเสร็จ ก็ออกมาร่อนราตรีครับ ที่พักผมมันอยู่ไม่ห่างจากแม่น้ำ ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำก็จะมีร้านอาหาร ผับ บาร์ เรียงกันเป็นตับ แถมทุกร้านมีนักร้อง! และนักร้องก็ร้องเพราะกันมาก ผมยืนฟังอยู่ข้างนอกร้าน เพลินเลย คนจีนนี่ร้องเพลงได้มีเสน่ห์นะเนี่ย
ยัง ยังไม่หมดครับ ฟังเพลงอิ่มแล้ว เดินมายังฝั่งตรงข้ามร้านพวกนี้ ก็จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเหมือนสร้างใหม่ สร้างเป็นสไตล์อารยธรรมจีน เหมาะแก่การไปเดินเล่น ถ่ายรูปมาก แถมช่วงผมไปมีการจัดอีเวนต์ต้อนรับฮาโลวีนด้วยครับ
เริ่มต้นก็ฟินขนาดนี้แล้ว แล้ววันที่เหลือมันจะฟินขนาดไหน แต่ดูเหมือนว่าบล็อกจะเริ่มยาวแล้ว ตอนต่อไปผมจะเริ่มพาไปดูความอลังการงานสร้าง แบบไม่ไหวแล้วววววว ของจิ่วไจ้โกว จะสนุก จะฟิน จะอินแค่ไหน อย่าลืมติดตามกันนะครับ