สวัสดีครับผม วันนี้ผมมาเขียนเล่าเรื่องราวการเที่ยวแบบแบ็กแพ็คครั้งล่าสุดของผมนะครับ เมื่ออาทิตย์ต้นเดือน ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวเมืองจีนครับ เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยครับที่จะได้ไปเที่ยวแดนมังกร ประเทศจีนเราจำเป็นต้องทำวีซ่านะครับ การทำวีซ่าของจีนยุ่งยากนิดนึงตรงที่เราต้องมี statement การเงินในบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือนไปด้วย และต้องมีเงินในบัญชีไม่ต่ำกว่า 50,000 บาทครับ
ผมเดินทางเที่ยวครั้งนี้ด้วยสารการบินแอร์เอเชีย ราคาไปกลับประมาณ 5500 บาท
ออกเดินทางเช้าตรู่ในวันที่ 3 กันยายน ครับ เครื่องบินเดินทางตอน 7 นาฬิกา ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที ก็ไปถึงสนามบินเทียนเหอ เมืองอู่ฮั่น แต่ที่เมืองจีนเวลาเร็วกว่าเราหนึ่งชั่วโมง ดังนั้นเมื่อไปถึงก็เวลา 11.00 น. แล้ว กว่าจะต่อคิวตรวจด่านคนเข้าเมืองเสร็จ ก็เกือบเที่ยงครับ
ทริปนี้ผมมีเพื่อนร่วมเดินทางคือเพื่อนรักของผมเองครับ เป็นคนจีน เพื่อนนั่งรถไฟมาตั้ง 9 ชั่วโมง เพื่อมารอรับผมที่สนามบิน ตอนแรกเพื่อนผมก็ถามว่าทำไมผมไม่บินไปลงที่หูหนานเลย ผมก็บอกว่า มันไม่มีเครื่องบินตรงไปเมืองนั้น ต้องไปทรานสิท ที่เมืองอื่น กว่าจะเดินทางถึงก็หลายชั่วโมง เพื่อนก็เลยบอกว่า งั้น บ่เป็นหยัง เดี๋ยวเพื่อนจะมารับที่อู่ฮั่นก็ได้
จริงๆเพื่อนผมเองก็ไม่ค่อยได้มาเมืองอู่ฮั่นสักเท่าไหร่ครับ ประเทศเค้าใหญ่โตมาก ข้ามจังหวัดที ผมนึกว่าเดินทางข้ามประเทศ เดินทางไกลได้โล่ครับ หลังจากเพื่อนมารับที่สนามบินแล้ว เราก็ต้องนั่งรถเมล์จากสนามบินไปยังตัวเมืองอู่ฮั่น ค่าตั๋วรถเมล์จำไม่ได้ต้องขอโทษทีครับ ใช้เวลาเดินทางราวหนึ่งชั่วโมง ก็มาถึงตัวเมืองอู่ฮั่นครับ อ้อ ทริปนี้ เพื่อนผมเล่นเอาผมเกรงใจมาก เพราะ “เลี้ยงดูปูเสื่อทุกสิ่งอย่าง” ออกค่าใช้จ่ายให้หมดเลย ผมก็บอกว่าไม่ต้องขนาดนั้น ผมเองก็เตรียมเงินมาเที่ยวอยู่แล้ว ช่วยกันออก แต่เพื่อนก็ไม่ยอมครับ บอกว่าเพื่อนมาไกลทั้งที นานๆทีมีโอกาสเลี้ยง ก็ถือว่าเป็นการต้อนรับเข้าสู่เมืองจีนละกันนะ ผมก็เลยต้องยอมให้เพื่อนเลี้ยงดูตลอดทริปครับ … กราบขอบพระคุณเพื่อนมา ณ โอกาสนี้
เมื่อถึงตัวเมือง สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือเดินทางไปยังโรงแรมครับ เพราะว่าข้าวของพะรุงพะรังมาก ผมเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินครับผม ค่าตั๋วน่าจะประมาณ 4 หยวน (ค่าเงินจีน ให้เอา 5 คูณ นะครับ) ถือว่าถูกมากๆ จริงๆการเดินทางภายในเมืองจีนผมว่าถูกนะครับ แต่ค่าแท็กซี่ เหอๆ ฟันนักท่องเที่ยวจนเลือดอาบเลยครับ ต้องระวัง ผมพักที่โรงแรม Dorsett Wuhan เป็นโรงแรมสี่ดาว ในย่านกลางเมืองครับ ติดกับโรงแรมเป็นถนนคนเดิน ถือว่าโอเคมากๆ แต่พนักงานเค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้นะครับ โรงแรมนี้ต้องเสียค่าประกันห้อง 300 หยวนครับ ถ้าเราไม่กินไม่ดื่มไม่ทำอะไรในห้องเสียหาย เค้าก็คืนให้ครับผม
ในเมืองอู่ฮั่น จริงๆแล้วผมตั้งใจให้เป็นเมือง “พักเบรค” คือเพราะว่าผมนั่งเครื่องบินไปลงที่นี่ ดังนั้นการเที่ยวในเมืองนี้จึงเหมือนกับการเดินเล่นเสียมากกว่า ผมกับเพื่อนก็เดินชมบ้านเมืองเค้าไปครับ บ้านเมืองเค้ามีตึกรามบ้านช่องสถาปัตยกรรมน่าสนใจเลยทีเดียว เท่าที่ผมไปอยู่เมืองจีนมาหนึ่งอาทิตย์ ผมแทบจะไม่เห็นนักท่องเที่ยวจากโซนยุโรปเลยครับ ส่วนมากมีแต่ชาวจีนกับชาวเกาหลีใต้ที่มาเที่ยวกัน บางครั้งป้ายต่างๆก็ไม่มีภาษาอังกฤษ แต่มีภาษาเกาหลีแทน แสดงว่าคนเกาหลีเป็นนักท่องเที่ยวอันดับต้นๆของจีนแน่ๆเลย
แม้จะเป็นแค่การเดินทางท่องเที่ยวแบบชิลๆในเมืองนี้ แต่ผมก็ประทับใจหลายอย่างครับ เค้ามีอะไรให้ดูเยอะแยะไปหมด มันอาจจะดูธรรมดาในสายตาของคนท้องที่ แต่สำหรับผมคนมาจากต่างบ้านต่างเมือง มันก็ดูน่าสนใจไปหมดครับ ผมสามารถเดินเล่น ถ่ายรูปได้ตลอดทั้งวันแหล่ะครับ นานๆจะมีโอกาสได้มาที ฮ่าๆ
มาดูเรื่องอาหารการกินกันบ้างครับ อาหารที่เมืองจีนจะค่อนข้าง “มัน” นะครับ น้ำมันเยอะ และราคาก็ถือว่าสูงพอสมควรเมื่อคิดเป็นเงินไทย แต่เพื่อนผมคนจีนก็บอกว่ามันก็แพงไม่มากนะครับ ราคารับได้ อย่างอาหารจานนี้ราคา 58 หยวน หรือราวๆสามร้อยบาท แต่พอเห็นปริมาณที่เค้าเอามาเสิร์ฟแล้ว ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะจานใหญ่มาก ได้เยอะมาก กินกันสองคนไม่หมดแน่ๆครับ อ้อ ระวังเรื่องพริกไทยของจีนด้วยนะครับ ที่ชื่อว่า “หมาล่า” พริกไทยตัวนี้จะทำให้คุณปากชา ลิ้นชากันเลยทีเดียว ผมเจอมาแล้ว ทำตัวไม่ถูกเลยครับ
เดินเล่นกันเรื่อยๆก็มาเจอ Museum Art Wuhan ครับ เข้าชมฟรี ผมก็เข้าไปชมซะหน่อย ข้างในสร้างได้สวยดีครับ ช่วงที่ผมไปมีการจัดนิทรรศการภาพถ่ายทางประวัติศาสตร์ของเมืองอู่ฮั่น เดินชมกันเพลินๆครับ ผมชอบเที่ยวพิพิธภัณฑ์อยู่แล้ว เพื่อนผมก็ชอบเหมือนกัน ถูกคอกันเลยทีนี้ ใช้เวลาอยู่ในนี้สามชั่วโมงครับ
ในวันรุ่งขึ้น ผมก็เดินทางไปยังจางเจี๋ยเจี้ย ด้วยรถไฟครับ โชคดีมากที่เพื่อนผมเก็บตั๋วทุกสิ่งอย่างไว้ ผมเลยสามารถเอามาอ้างอิงได้ แฮะๆ ที่อู่ฮั่นมีสถานีรถไฟหลายสถานีครับ สถานีที่ผมนั่งชื่อสถานี Wuchang ครับ สำหรับค่าตั๋ว Wuchang > Zhangjiajie ราคาคนละ 102 หยวน ใช้เวลาเดินทาง 9 ชั่วโมงครับ รถไฟเที่ยวที่ผมนั่ง ออกเดินทางเวลา 23.57 น. ครับ การซื้อตั่วรถไฟที่เมืองจีน ต้องใช้พาสปอร์ตตลอดนะครับ แล้วก็ตั๋วห้ามทำหายนะครับ เค้ามีเช็คอินเหมือนในสนามบินเลย เช็คทั้งตอนขาเข้าและขาออก เก็บไว้ให้ดีครับ มีตรวจกระเป๋าแสกนกระเป๋าประหนึ่งในสนามบินด้วยครับ รถไฟที่ผมนั่งอารมณ์เหมือนชั้นสามเมืองไทยครับ หันหน้าเข้าหากัน เพื่อนผมบอกว่า ขอโทษด้วยจริงๆ เพราะว่าตู้นอนมันหมด ไม่ได้ซื้อไว้ล่วงหน้้า ผมก็บอกว่าไม่เป็นไร เดินทางแบบนี้ก็น่าจะได้อรรถรสไปอีกแบบ
ผมถึงที่สถานีรถไฟจางเจี๋ยเจี้ยประมาณ 9.30 น. ครับ เพื่อนผมก็พาไปเรียกแท็กซี่เข้าไปยังจุดชมวิวที่อุทยานแห่งนี้ แต่แท็กซี่เมืองจีนก็ไม่ต่างจากแท็กซี่เมืองไทยที่เป็นพวกประเภทฟันนักท่องเที่ยวครับ เพื่อนผมบอกว่าจริงๆค่าแท็กซี่ไปน่าจะอยู่ที่ 30 หยวน แต่แท็กซี่ก็ไม่ยอมไปครับ กะจะเหมาอย่างเดียว อีกอย่างวันนั้นฝนตกด้วย เรียกแท็กซี่หลายคันก็มาอารมณ์เดียวกัน เพื่อนผมก็เลยยอมเหมาไปครับ ในราคา 80 หยวน ฟักโกสต์จริงๆ แถมพาเราไปส่งไม่ถึงที่ด้วยครับ คือเอาพวกผมไปส่งที่บริษัทเอเย่นขายทัวร์ เค้าคงได้ % กันมั้งครับ เพื่อนผมบอกว่าเสียความรู้สึกมาก ต้องขอโทษแทนคนจีนด้วยจริงๆ ไม่คิดว่าจะมีคนมาหลอกแบบนี้ ผมกับเพื่อนก็ไม่ได้ใช้บริการทัวร์นั้นหรอกครับ แพงเกินไป เพื่อนผมบอกว่าไม่เป็นไรนะ เพื่อนของเพื่อนผมเป็นไกด์ เดี๋ยวมันโทรปรึกษาแป็บ หลังจากคุยกันแป็บนึง เพื่อนก็ยิ้ม แล้วบอกว่า นี่ออกไปที่ถนน เดี๋ยวจะมีรถเมล์วิ่งผ่าน คนละ 2 หยวนเอง ก็จะไปถึงจุดที่เราจะไปแล้วแหล่ะ แล้วก็จริงด้วยครับ เมื่อไปถึงเราก็พักที่โรงแรมที่นั่น โรงแรมดีมากๆๆ ราคา 80 หยวนต่อคืนครับ ไม่แพงเลย ในห้องมีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวให้เล่นด้วย มีทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น ฮีทเตอร์ ครบครับ ยกเว้นไม่มีผ้าเช็ดตัว กับตู้เย็น แต่ในราคาแค่ 80 หยวน ได้แค่นี้ก็คือว่าคุ้มสุดคุ้มแล้วครับ พอเปิดหน้าต่างไปก็เจอวิวเหมือนภาพด้านบนครับ
ไปเที่ยวครั้งนี้ส่วนใหญ่ฝนจะตกบ้าง ทำให้อากาศไม่แจ่มใสนัก เวลาถ่ายภาพมาก็เลยดูหม่นๆ แต่เชื่อผมเถอะครับว่าไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออก ที่แห่งนี้ก็สวยมากๆ มีเสน่ห์มากๆ ตอนนั้นผมได้แต่ถอนหายใจว่าผมคงไม่สามารถถ่ายทอดความงามดั่งที่ตาสัมผัสผ่านในรูปถ่ายได้ เพราะหมดปัญญาถ่ายครับ ภาพชุดนี้จึงอาจจะดูหม่นๆไปบ้างอย่าว่ากันครับ ย้ำอีกทีว่า ของจริงสวยมากๆ มีโอกาสอย่าพลาดครับ
ค่าเข้าชมอุทยานแห่งนี้คนละ 245 หยวน มีค่าประกันชีวิตอีกคนละ 3 หยวน ครับ บัตรเข้าชมเค้าเจ๋งมาก เป็นบัตรสมาร์ทการ์ด ก่อนเข้าเราต้องแสกนลายนิ้วมือด้วยนะครับ เจ๋งชะมัด ฮ่าๆ พวกเดินทางในอุทยานแห่งนี้เพื่อไปยังลิฟต์แก้วขึ้นภูเขาไปยังจุดพักบนภูเขาสำหรับค่ำคืนนี้อีกครับ ใช้เวลาเดิน 4 ชั่วโมงครับ ฟังดูหมือนจะนานมาก แต่จริงๆแล้วไม่นานหรอกครับ เพราะรายทางมันสวยงามจริงๆ ประหนึ่งว่าคุณหลุดไปยังโลกของหนังจีนกำลังภายใน
เนื่องจากว่าทริปนี้เป็นทริปที่เดินทางหลายเมือง ครั้นจะเล่าให้จบภายในบทความเดียวก็คงจะยาก เพราะรูปถ่ายเยอะ กลัวโหลดช้า ผมจึงขอแบ่งเป็นตอนๆไปนะครับ สำหรับตอนนี้ขอจบลงที่เที่ยวอุทยาน 4 ชั่วโมงนี้ก่อนครับ ตอนต่อไปจะเจออะไรบ้าง อย่าลืมติดตามชมกันค้าบ