แบกเป้เที่ยว – Backpack Story https://backpackstory.com แบกเป้เที่ยวรอบโลก เก็บประสบการณ์การเดินทาง Tue, 31 May 2016 18:27:28 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.4.7 https://backpackstory.com/wp-content/uploads/2018/06/cropped-bp-32x32.png แบกเป้เที่ยว – Backpack Story https://backpackstory.com 32 32 8 คืน 9 วัน เดินตามฝันที่จิ่วไจ้โกว หวงหลง ตอนหนี่ง https://backpackstory.com/8-nights-9-days-following-my-dream-in-jiuzhaigou-huanglong-part-one.html https://backpackstory.com/8-nights-9-days-following-my-dream-in-jiuzhaigou-huanglong-part-one.html#respond Tue, 16 Dec 2014 14:16:27 +0000 http://backpackstory.com/?p=599 ผมรู้จักสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกสมัยที่ยังเป็นนิสิตครับ มีเพื่อนผมคนหนึ่งเอารูปมาให้ผมดูและบอกว่า ดูรูปนี่สิ อย่างกะในฝันเลยเนอะ ผมเห็นแล้วก็ไม่เชื่อว่ามันจะมีอยู่จริงครับ เพื่อนคนนั้นก็บอกว่ามันมีจริง อยู่ที่เมืองจีน พร้อมกับบอกชื่อว่าอยู่ทีไ่หน ผมก็เลยทำการค้นหาใน google และเมื่อเห็นว่ามันมีอยู่จริงบนโลกนี้ มันก็กลายเป็นสถานที่ในฝันที่ผมจะต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิตครับ และมันก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังเลยครับ แถมดีเกินคาดมากๆ ฟินสุดๆไปเลย

The post 8 คืน 9 วัน เดินตามฝันที่จิ่วไจ้โกว หวงหลง ตอนหนี่ง appeared first on Backpack Story.

]]>
สวัสดีครับผม ตอนนี้บักสนกลับมาแล้วครับ หลังจากที่ออกเดินทางไปเติมพลังชีวิตให้ซะหนำใจกลับหลายๆทริป และอัพเดทบรรยากาศบางส่วนลงในเว็บไซต์พันทิปและแฟนเพจแล้ว บัดนี้ก็เป็นเวลาอันสมควรที่จะมาเล่าเรื่องลงบล็อกของตัวเองบ้างสักที

อย่างที่ทราบกันดีครับว่าเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม – 6 พฤศจิกายน ผมได้ออกเดินทางไปยังดินแดนแห่งหนึ่ง ที่ได้รับสมญานามว่า “ดินแดนแห่งเทพนิยาย” บ้าง “สวรรค์บนแดนดิน” บ้าง ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงเมืองนี้ “จิ่วไจ้โกว”

ผมรู้จักสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกสมัยที่ยังเป็นนิสิตครับ มีเพื่อนผมคนหนึ่งเอารูปมาให้ผมดูและบอกว่า ดูรูปนี่สิ อย่างกะในฝันเลยเนอะ ผมเห็นแล้วก็ไม่เชื่อว่ามันจะมีอยู่จริงครับ เพื่อนคนนั้นก็บอกว่ามันมีจริง อยู่ที่เมืองจีน พร้อมกับบอกชื่อว่าอยู่ทีไ่หน ผมก็เลยทำการค้นหาใน google และเมื่อเห็นว่ามันมีอยู่จริงบนโลกนี้ มันก็กลายเป็นสถานที่ในฝันที่ผมจะต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิตครับ

ผมมีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้ง แต่ดันไม่มีโอกาสไปตามฝันที่สถานที่แห่งนี้เลย โชคดีที่มีอยู่วันหนึ่งผมนั่งดูตั๋วเครื่องบินเพลินๆ ก็เห็นมีโปรโมชั่นบินจากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองฉงชิ่งในราคาที่ไม่แพงเลยครับ ไปกลับประมาณ 4,600 บาท แถมเป็นช่วงเวลาที่ดีมากด้วย เพราะดูจากปฏิทินแล้ว เป็นช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสี…

เมืองในฝัน สวรรค์บนดิน จิ่วไจ้โกว
เมืองในฝัน สวรรค์บนดิน จิ่วไจ้โกว

เอาละสิ เกิดมาไม่เคยเห็นใบไม้เปลี่ยนสีสักครั้งในชีวิต แถมบินไปลงฉงชิ่ง ก็นั่งรถไฟความเร็วสูงไปยังเมืองเฉิงตูต่อได้ และจะได้ไปเยือนสถานที่ในฝันของผม ผมเลยไม่รอช้าครับ รีบจองตั๋วเครื่องบินทันที เสร็จแล้ว ผมก็โพสต์ลงในเฟสบุคส่วนตัว เผื่อจะมีใครสนใจไปจอยทริปนี้ด้วยกัน ก็ปรากฎว่ามีเพื่อนร่วมทริปเพิ่มมาอีกสองคน ซึ่งเป็นทริปไม่กี่ทริปที่ผมเดินทางไปร่วมกับคนอื่น เพราะโดยส่วนใหญ่มักจะแบกเป้ลุยเดี่ยว จริงๆ ก็มาจากสไตล์การเที่ยวที่คิดจะพักไหนก็พัก บางสถานที่ก็ถ่ายรูปแช่ไปเป็นชั่วโมงสองชั่วโมง ถ้ามีคนอื่นไปร่วมด้วย กลัวเค้าจะรำคาญ แต่โชคดีมากๆครับที่เพื่อนร่วมทริปครั้งนี้ต่างก็เที่ยวในสไตล์เหมือนกัน คือดื่มด่ำให้เต็มที่ไม่ต้องเที่ยวแบบรีบเก็บแต้มเช็คอิน

…อ่านถึงบรรทัดนี้ ผมบอกไว้ก่อนนะครับว่า มันเป็นบันทึกแบบมหากาพย์…

ผมออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรูที่สนามบินดอนเมือง แลกตังค์เป็นเงินหยวนให้เรียบร้อย แนะนำเลยนะครับว่าแลกเป็นเงินหยวนไปเลยสะดวกกว่าแลกเป็นดอลลาร์ เพราะเมืองจีนหาที่แลกเงินยากมาก แถมพวกเค้าก็ไม่ยอมคุยภาษาอังกฤษกันสักเท่าไหร่ แลกนอกสนามบินได้เรทดีกว่าด้วยครับ เตรียมตัวกันให้พร้อมนะครับ อ้อ เที่ยวเมืองจีนต้องมีวีซ่านะครับ ไปขอได้แถวสถานทูตจีน ใกล้ๆกับฟอร์จูนทาวเวอร์ ตรงข้ามเซ็นทรัลพระราม 9 ครับ ทำไม่ยากแค่เอาเอกสารไปให้ครบ

** สำหรับการขอวีซ่า ถ้าคุณทำงานเป็นฟรีแลนซ์แบบผม ก็ให้เขียนไปเลยนะครับว่าเราทำงานเป็นฟรีแลนซ์ และระบุไปด้วยว่าฟรีแลนซ์อะไร เช่น ฟรีแลนซ์เว็บดีไซน์เนอร์  สาเหตุที่มาบอกเช่นนี้ เพราะผมโดนถามมาครับว่าทำงานอะไร และเค้าขอเอกสารยืนยันการทำงานจริงๆ ซึ่งผมก็ไม่มี ผมก็บอกไปว่าผมทำงานนี้ๆ ก็เลยไม่มีปัญหาอันใดในการขอวีซ่าครับผม

เอาละ มาต่อเรื่องเที่ยวกันดีกว่า วันแรกที่เราไปก็คือไปที่เมืองฉงชิ่งก่อน จากนั้นแพลนก็จะเป็นนั่งรถไฟความเร็วสูงไปยังเมืองเฉิงตู

นั่งรถไฟความเร็วสูง D5113 ไปยังเฉิงตู ค่ารถ 96.5 หยวน
นั่งรถไฟความเร็วสูง D5113 ไปยังเฉิงตู ค่ารถ 96.5 หยวน

เมื่อคุณไปถึงสนามบินฉงชิ่ง ให้เดินออกไปยังอีกเทอมินัลนะครับ ที่นั่นจะมีสถานีรถไฟฟ้า เราก็นั่งรถไฟฟ้าเข้าไปยังสถานีรถไฟความเร็วสูงได้เลย ซึ่งให้นั่งไปที่สถานี Chongqing North Station นะครับ ค่ารถ คนละ 5 หยวน และเมื่อไปถึงที่สถานี ผมก็ซื้อตั๋วรถไปยังเฉิงตู ราคา 96.5 หยวน ใช้เวลาเดินทาง สองชั่วโมงกว่าๆ รถไฟออกตรงเวลามากเลยครับ

IMG_0473

สภาพในรถไฟความเร็วสูง สุดยอดมาก สะอาดมากครับ เหมือนเป็นตู้นอนเลย เราสามคนก็นั่งโดยสารอยู๋ในห้องเดียวกัน พร้อมกับมีคนจีนด้วยอีกสองคน รถไฟนี้ไม่ให้สูบบุหรี่นะครับ พนักงานต้อนรับก็น่ารัก มาตรฐานคล้ายๆบนเครื่องบินเลย ชอบๆ แถมมีที่นั่งให้นั่งริมทางเดินด้วยเผื่อใครอยากลองนั่งชมวิวอีกฝั่ง

เมื่อถึงเมืองเฉิงตู พวกผมจะพักที่เฉิงตูหนึ่งคืน จากนั่นจะนั่งรถบัสไปยังจิ่วไจ้โกวในตอนเช้าครับ สถานที่พักในวันนี้คือ Chengdu Flipflop Lounge Hostel เป็นโฮสเท็ลที่ดีงามมาก แนะนำให้ไปพัก เพราะราคาไม่แพง ที่พักดี (ข้างนอกดูเก่าคร่ำครึ แต่ข้างใน ทันสมัยสุดๆ ต่างกันฟ้ากับเหว)

IMG_0488

อย่างไรก็แล้วแต่ครับ มาเที่ยวเมืองจีน ความรู้ภาษาอังกฤษแทบจะไร้ประโยชน์ครับ คนที่นี่พูดอังกฤษกันแทบจะไม่ได้เลย แถมพวกเราก็ดันไม่รู้ทางไปโฮสเท็ลด้วยครับ! คืออ่านจีนไม่ออก คืออะไร ยังไง ข้าพเจ้างง

พวกผมเลยเดินไปถามพนักงานที่สถานีรถไฟฟ้า เผื่อเค้าจะพอช่วยได้ เค้าก็พูดอังกฤษไม่ได้นะครับ แต่ทุกคนต่างก็กระตือรือร้นที่จะช่วยพวกเรามากๆ ผมประทับใจสุดๆเลย มีการโทรถามกันข้ามสถานี (ผมเดาเอานะ) และอยู่ๆ พนักงานสาวคนหนึ่งก็เดินไปที่เสาต้นหนึ่ง พร้อมกับจิ้มๆ แล้วทันใดนั้น โอ้มายก็อดดดด มันกลายเป็นแผนที่นำทางครับ Interactive Map!! จีนทันสมัยม้ากกกกก!!!!

เธอผู้นั้นก็พิมพ์ค้นหาว่าโรงแรมนี้อยู่ตรงไหน แล้วพรึ่บ! มันก็แสดงแผนที่คล้ายๆกับ Google Map ให้เราได้เห็น และนั่นแหล่ะครับ เราถึงไปที่พักถูก ฮ่าๆ ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือหนุ่มไทยทั้งสามครับ เอิ้กๆ

พอถึงที่พัก ภารกิจแรกที่เราต้องทำก็คือ “กินข้าว” ครับ นั่งรถมาตั้งนานยังไม่มีอะไรรองท้องเลย พี่ที่ไปด้วยกันบอกว่า มีร้านอาหารร้านหนึ่งจะแนะนำ เป็นร้านบะหมี่ ทำกับข้าวโดยพ่อครัวหัวป่าก์ เป็นชาวจีนมุสลิมจากซินเจียง อาหารเลิศรส พี่ท่านก็การันตีว่าผมต้องชอบ แหม่ อวยขนาดนี้ ผมต้องไปลองให้ได้

ทางไปร้านอาหารนี้ไม่ยากครับ พอก้าวเท้าออกจากโฮสเท็ลปุ้บก็ให้หันหน้าไปทางซ้ายมือ แล้วเดินตรงไปโลดครับ เดินจนถึงทางแยก ก็ให้เลี้ยวซ้ายประมาณสิบเมตร ก็จะเจอร้านบะหมี่ ที่มีชายหนุ่มโพกหัว ยืนปั้นเส้นบะหมี่อยู่ นั่นแหล่ะครับ ร้านอาเฮียที่พี่ผมแนะนำ

IMG_0522

อาหารเค้าอร่อยมากจริงๆ! อร่อยแบบที่สุดที่เคยลิ้มลองอาหารจีนมา ผมยอมรับว่าถูกปากผมมากครับ แนะนำต่อเลยทันที ผมสั่งไปหลายเมนูครับ (ฝากท้องไว้ที่นี่สามมื้อ) อร่อยทุกเมนูที่สั่ง ส่วนมันเรียกว่าอะไรนะเหรอ หึๆ ผมไม่รู้เลยสักนิด ผมดูรูปแล้วจิ้มๆเอา อันไหนดูน่ากินก็จิ้มอันนั้นครับ ฮ่าๆ

IMG_0523

ถ้วยบะหมี่ด้านบนเนี่ย ยอมรับเลยว่าทำได้สุดยอด น้ำซุปมีกลิ่นหอมของไข่เจียว มันเป็นบะหมี่ที่ทำเองสดๆ มาปรุงรสให้เข้ากับเครื่องเทศ แล้วก็โปะหน้าด้วยไข่เจียวครับ เขียนไปน้ำลายไหลไป อยากกลับไปเฉิงตูอีกรอบ เพื่อไปกินร้านนี้โดยเฉพาะนะครับเนี่ย  แถมราคาไม่แพงด้วย 12 หยวนเองครับ (ประมาณ 60 บาท) และที่สำคัญชามเค้าไม่ใช่เล็กๆเหมือนร้านอาหารบางร้านนไทยนะครับที่ใหญ่แค่รูป เพราะที่นี่ชามเบ้อเริ่มเทิ่ม ชามเดียวเอาอยู่ และเกินพอสำหรับคนทั่วไปแน่นอน

แม้จะเป็นแค่เมืองแวะพัก แต่ช้าก่อน อย่าคิดว่าเฉิงตูไม่มีอะไรให้ดูนะครับ อย่างแรกเลย ผมไปดูโชว์เปลี่ยนหน้ากากครับ ขึ้นขื่อมากของที่นี่ ราคาตั๋ว 150 หยวน แนะนำให้ไปดูอีกเช่นเคย ไม่รู้ทำได้ไง เปลี่ยนหน้ากากได้เร็วเวอร์ๆ เสียดายผมไม่ได้เอากล้องถ่ายรุปไปด้วย เพราะนึกว่าเค้าห้ามถ่ายภาพ ที่ไหนได้ ถ่ายไปเลยจ้า แชร์บอกเพื่อนด้วย! เสียใจสุดๆ

นักร้องในบาร์แห่งหนึ่งของเฉิงตู ร้องเพลงเพราะมาก เพราะทุกร้าน
นักร้องในบาร์แห่งหนึ่งของเฉิงตู ร้องเพลงเพราะมาก เพราะทุกร้าน

ดูโชว์เปลี่ยนหน้ากากเสร็จ ก็ออกมาร่อนราตรีครับ ที่พักผมมันอยู่ไม่ห่างจากแม่น้ำ ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำก็จะมีร้านอาหาร ผับ บาร์ เรียงกันเป็นตับ แถมทุกร้านมีนักร้อง! และนักร้องก็ร้องเพราะกันมาก ผมยืนฟังอยู่ข้างนอกร้าน เพลินเลย คนจีนนี่ร้องเพลงได้มีเสน่ห์นะเนี่ย

ยัง ยังไม่หมดครับ ฟังเพลงอิ่มแล้ว เดินมายังฝั่งตรงข้ามร้านพวกนี้ ก็จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเหมือนสร้างใหม่ สร้างเป็นสไตล์อารยธรรมจีน เหมาะแก่การไปเดินเล่น ถ่ายรูปมาก แถมช่วงผมไปมีการจัดอีเวนต์ต้อนรับฮาโลวีนด้วยครับ

เริ่มต้นก็ฟินขนาดนี้แล้ว แล้ววันที่เหลือมันจะฟินขนาดไหน แต่ดูเหมือนว่าบล็อกจะเริ่มยาวแล้ว ตอนต่อไปผมจะเริ่มพาไปดูความอลังการงานสร้าง แบบไม่ไหวแล้วววววว ของจิ่วไจ้โกว จะสนุก จะฟิน จะอินแค่ไหน อย่าลืมติดตามกันนะครับ

The post 8 คืน 9 วัน เดินตามฝันที่จิ่วไจ้โกว หวงหลง ตอนหนี่ง appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/8-nights-9-days-following-my-dream-in-jiuzhaigou-huanglong-part-one.html/feed 0
เที่ยวคนเดียวอย่างไร ไม่ให้เหงา https://backpackstory.com/travel-alone-but-no-lonely.html https://backpackstory.com/travel-alone-but-no-lonely.html#respond Thu, 23 Oct 2014 04:55:43 +0000 http://backpackstory.com/?p=582 ไปเที่ยวคนเดียว เหงาบ้างไหม? สำหรับผม ผมไม่เคยเหงาเลยนะครับ อาจจะเพราะโดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบชวนคนอื่นพูดอยู่แล้วด้วย ฮ่าๆ ชอบ make friend กับคนข้างๆ ผมว่าการเดินทางถ้าเราทำตัวให้เหงามันก็เหงาครับ ทริปส่วนใหญ่ของผม แม้ผมจะออกเดินทางคนเดียว แต่เอาเข้าจริงก็ได้เพื่อนร่วมทริประหว่างทางแทบจะทุกครั้งครับ เมื่อเดินทางมากขึ้น ทำให้ผมได้รู้มากขึ้นว่า ถ้าจะเที่ยวแบบไม่ให้เหงานั้น ทำอย่างไร มาดูกันครับ

The post เที่ยวคนเดียวอย่างไร ไม่ให้เหงา appeared first on Backpack Story.

]]>
ไปเที่ยวคนเดียว เหงาบ้างไหม? สำหรับผม ผมไม่เคยเหงาเลยนะครับ อาจจะเพราะโดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบชวนคนอื่นพูดอยู่แล้วด้วย ฮ่าๆ ชอบ make friend กับคนข้างๆ ผมว่าการเดินทางถ้าเราทำตัวให้เหงามันก็เหงาครับ

ทริปส่วนใหญ่ของผม แม้ผมจะออกเดินทางคนเดียว แต่เอาเข้าจริงก็ได้เพื่อนร่วมทริประหว่างทางแทบจะทุกครั้งครับ

เมื่อเดินทางมากขึ้น ทำให้ผมได้รู้มากขึ้นว่า ถ้าจะเที่ยวแบบไม่ให้เหงานั้น ทำอย่างไร มาดูกันครับ

1. เลือกที่พักแบบ Hostel หรือ Dormitory

การเลือกที่พักก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่คนกลัวเหงาน่าจะรู้ไว้ นั่นก็คือถ้าคุณเลือกที่พักแบบ Hostel หรือ Dormitory คุณจะได้เพื่อนใหม่เยอะมากๆ แถราคาก็ถูกด้วยสำหรับคนที่เดินทางคนเดียว (ถ้าหากคุณไปเป็นกลุ่มก้อน และไม่ชอบนอนห้องรวมกันหลายคน ผมแนะนำให้นอนโรงแรม เพราะอย่างน้อยคุณนอนสองคนกับเพื่อน ก็หารค่าห้องกันได้ โรงแรมเค้าคิดต่อห้อง แต่ Hostel เค้าคิดต่อเตียงครับ)

ข้อดีของการนอน Hostel เราจะได้เจอเพื่อนๆที่ชื่นชอบการเดินทางแนวเดียวกัน มีโอกาสได้รู้จักและแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิต

วันแรกๆที่ผมไปที่เกาะลันตา ผมได้เพื่อนใหม่สามคน (คือตอนนั้นทั้ง Hostel มีแขกแค่นี้ เพราะมันหน้าโลว์) เป็นสาวจากอังกฤษ หนุ่มอิตาลี และหนุ่มมาเลเซีย ถ้ารวมผมด้วยก็คือหนุ่มไทยบ้าน ฮ่าๆ

สามคนในกลุ่มเรานั้นเป็น Designer! สาวอังกฤษ เป้น Illustrator ให้กับแบรนด์เสื้อผ้า Paul Smiths ผมเป็น Web Designer และเพื่อนมาเล เป็น Printing Illustrator เวลาคุยกันเรื่องดีไซน์นี่ออกรสชาติมาก ส่วนหนุ่มอิตาลี ก็จะแซวประมาณว่า ใช่ซี้ ผมมาอยุ่กับกลุ่มพวกนักออกแบบ ผมมันแกะหลงฝูง ฮ่าๆ

เรื่องสนุกอีกอย่างของการได้นอน Hostel คือ เพื่อนที่มาพักจะมาจากหลากหลายที่ สำเนียงภาษาจะมีเอกลักษณ์ไปตามแต่ละท้องถิ่น

IMG_9659

ค่าที่นอนใน Hostel ก็ราคาไม่แพงถ้าเราไปคนเดียวนะครับ ราคามีตั้งแต่ 140 บาทขึ้นอยู่กับคุณภาพของ Hostel แต่ถ้าให้ผมแนะนำ ผมแนะนำให้คุณมองหาที่พัก ที่มันดูสมเหตุสมผล ดูเรื่องความปลอดภัย สถานที่ตั้ง อย่าเน้นถูกจนมองข้ามความปลอดภัยในชีวิตไปครับ เพื่อนจากแคนาดาคนหนึ่งเคยถูกขโมยกล้อง GoPro ตอนพักในโฮสเท็ลที่อินโดนีเซีย หรือเพื่อนสวีเดนคนหนึ่งไปพักที่พักคืนละ 140 บาท แต่ดูสภาพแล้ว อืม 140 บาทยังแพงไปด้วยซ้ำสำหรับความคุ้มค่าที่ได้กลับมา

IMG_9304

** สำหรับภาพนี้คือห้องพักใน Hostel ที่ผมไปพักครับ

แถมอีกนึดเรื่องความปลอดภัยในการพักที่ Hostel เพราะหลายท่านยังไม่มีประสบการณ์การนอนห้องรวม ก็กังวลว่าของจะหายหรือเปล่า โดยทั่วไปเค้าจะมี Locker ส่วนบุคคลให้เราครับ เราก็เอาของมีค่าไปใส่ไว้แล้วก็ล็อคไปเลย โอกาสหายก็มีน้อยมากครับผม

เว็บไซต์ที่ผมแนะนำสำหรับการจองที่พักคือเว็บ www.booking.com กับเว็บ www.hostelworld.com ครับ แต่ถ้าไปจองหน้าที่พักเลย ผมแนะนำให้ไปดูเรื่องสภาพห้องนอน เตียง ห้องน้ำ ก็ดีนะครับ อย่างเช่น Hostel ที่เมืองจีน ห้องจะสะอาด แต่ห้องน้ำอาจจะไม่อภิรมย์สักเท่าไหร่ ฮ่าๆ

2.  หาเพื่อนระหว่างทาง

ไปเที่ยวคนเดียว ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเดินทางเที่ยวทุกที่คนเดียวนี่ครับ เราสามารถหาเพื่อนใหม่ได้ และถ้าเพื่อนใหม่มีนิสัยคล้ายๆกัน เราก็ชวนกันไปเที่ยวด้วยกันเลย อย่างเช่นตอนผมไปเที่ยวจีน ผมก็ได้เพื่อนใหม่ร่วมเดินทางเป็นอาตี๋ในโฮสเท็ล เราไปเที่ยวแบบผจญภัยสนุกมาก ได้ผ่านเส้นทางที่เป็นเส้นทางเฉพาะคนในหมู่บ้านที่ใช้กัน หรือไปเที่ยวเกาะลันตา ผมก็ได้เพื่อนใหม่ชาวมาเลเซีย เราสองคนซ้อนมอไซต์ขับกันรอบเกาะ ไปพายเรือคายัคกันที่เกาะรอบๆ ก็สนุกไปอีกแบบ

IMG_9758

ยิ่งถ้าคุณพักใน Hostel อย่างที่ผมพูดถึงในตอนต้น คุณอาจจะชวนรูมเมทไปเที่ยวด้วยกันก็ได้นะครับ

อย่างไรก็ดี การมีเพื่อนเที่ยวต้องเอาให้แน่ใจว่านิสัยเข้ากับได้ อย่างผมเป็นคนชอบถ่ายรูป ใช้เวลาในแต่ละที่นาน บางทริปผมก็เลยเลือกที่จะไปเที่ยวแต่ละที่คนเดียว เพราะไม่อยากให้คนอื่นรอ แต่พอกลับมาที่พักจะไปทานข้าวกัน ก็นั่นแหล่ะครับค่อยไปจอยกัน

3. เที่ยวให้ช้าลง

แต่ละคนมีแนวทางการเดินทางที่แตกต่างกันไปนะครับ หลายคนจะเน้นเที่ยวให้หลากหลายสถานที่ แต่ละที่อาจจะไม่นาน หลายคนก็เลือกที่จะเที่ยวแบบเจาะๆ ให้อิ่มในอารมณ์ ผมเป็นพวกประเภทเจาะๆให้อิ่มเอมในแต่ละที่ครับ การท่องเที่ยวนอกจากจะได้ไปเห็นภูมิทัศน์ของสถานที่นั้นๆแล้ว การได้พบปะผู้คนที่นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่สร้างความประทับใจให้เราได้ครับ อย่างเช่นผมไปเที่ยวบาหลี ทำไมผมกลับไปซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมกลับไปเพราะผมมีมิตรภาพดีๆที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางครับ

IMG_9772

เที่ยวให้ช้าลง หมายถึงการเที่ยวแบบเก็บเรื่องราวให้มากขึ้น ได้สัมผัสความเป็น “สิ่งๆนั้น” มากกว่าเดิม การเที่ยวแบบเร่งรีบ หลายครั้งเราจะพลาดโอกาสให้การรู้จักเพื่อนใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ

ยกตัวอย่างนะครับ ตอนที่ผมไปเที่ยว Zhangjiajie แม้ผมจะเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่รอบที่สอง ผมกลับได้เจอสถานที่เที่ยวใหม่ๆ มันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก คือผมไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันมีสถานที่แบบนี้อยู่ในเมืองนี้ด้วย เพราะไม่เคยเห็นในหนังสือนำเที่ยวมาก่อน (หมายถึงที่ผมอ่านนะครับ) นี่แหล่ะครับ หลายๆครั้งการที่เราใช้เวลาในแต่ละจุดให้ช้าลง ก็จะได้เจออะไรใหม่ๆด้วย

ทั้งหมดนี่เป็นทริคเล็กๆน้อยๆที่ผมเรียนรู้จากการเดินทางคนเดียว

หากใครที่กำลังจะเดินทางลุยเดี่ยวแล้วกลัวเรื่องความเหงา ก็ลองเอาเทคนิคผมไปใช้ดูนะครับ 🙂

The post เที่ยวคนเดียวอย่างไร ไม่ให้เหงา appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/travel-alone-but-no-lonely.html/feed 0
คู่มือแบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวจีน เตรียมตัวอย่างไรบ้าง? https://backpackstory.com/what-you-need-to-know-before-travel-in-china.html https://backpackstory.com/what-you-need-to-know-before-travel-in-china.html#comments Thu, 05 Jun 2014 15:50:56 +0000 http://backpackstory.com/?p=573 ประเทศจีนนั้นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องธรรมชาติที่สวยงาม ประวัติศาสตร์อันยาวนาน และแน่นอนว่ามันเป็นดินแดนที่คนชอบเที่ยวอย่างผม ใฝ่ฝันอยากไปสัมผัสด้วยตัวเองมากๆ แต่ด้วยความที่เวลาไปเที่ยว ผมก็จะไปทีก็เกินอาทิตย์ จึงไม่ค่อยมีเพื่อนคนไหนไปร่วมทริปได้ครับ เพราะเพื่อนบอกว่า ลางานขนาดนั้นเค้าคงเชิญออก ฮ่าๆ ชีวิตหนุ่มฟรีแลนซ์อย่างผมจึงต้องแบกเป้ลุยเดี่ยวเสียส่วนใหญ่

The post คู่มือแบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวจีน เตรียมตัวอย่างไรบ้าง? appeared first on Backpack Story.

]]>
โอ้โห! บล็อกเกี่ยวกับแบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวเมืองจีน 11 วัน ในราคา 18,500 บาท มีคนสนใจเยอะมาก เป็นครั้งแรกที่บทความที่ผมเขียนมีคนไลค์คนแชร์เยอะมากขนาดนี้ ซึ่งผมก็ต้องขอบคุณทุกท่านที่่ติดตามการเดินทางของผมครับ

ประเทศจีนนั้นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องธรรมชาติที่สวยงาม ประวัติศาสตร์อันยาวนาน และแน่นอนว่ามันเป็นดินแดนที่คนชอบเที่ยวอย่างผม ใฝ่ฝันอยากไปสัมผัสด้วยตัวเองมากๆ แต่ด้วยความที่เวลาไปเที่ยว ผมก็จะไปทีก็เกินอาทิตย์ จึงไม่ค่อยมีเพื่อนคนไหนไปร่วมทริปได้ครับ เพราะเพื่อนบอกว่า ลางานขนาดนั้นเค้าคงเชิญออก ฮ่าๆ ชีวิตหนุ่มฟรีแลนซ์อย่างผมจึงต้องแบกเป้ลุยเดี่ยวเสียส่วนใหญ่

ก่อนจะไปเมืองจีน ผมก็กังวลมากๆครับ อย่างแรกเลยก็คือเรื่องภาษา เพราะผมไม่ได้ภาษาจีนเลยเหอะ รู้จักแต่หนี่ห่าว หวั่วอ้ายหนี่ ซึ่งก็คงเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ไม่มาก แถมคนจีนก็ไม่ได้ภาษาอังกฤษ สกิลภาษาอังกฤษเกรด A ทุกเทอมอย่างผมจึงไร้ความหมายโดยสิ้นเชิงเมื่อไปอยู่ที่นั่น ฮ่าๆ

อย่างต่อมาก็คือกลัวเรื่องคนครับ ฮ่าๆ ก็แหม่ ก่อนจะไปจีนรอบนี้ มีข่าวคนก่อการร้ายออกทีวีซะให้แซ่ด ผมก็ไม่ใช่แมวเก้าชีวิตเสียด้วยสิ ก็เลยแอบหวั่นๆนิดหน่อย

แต่ผมก็ไปมาแล้ว ผ่านมันมาแล้ว และประทับใจเวอร์ๆมาแล้ว จนเนื้อตัวสั่นอยากแบ่งปันความฟินให้ทุกคนได้ไปสัมผัสเหมือนที่ผมเจอ ผมจึงมาเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทางให้ครับว่า การไปเที่ยวจีนแบบแบกเป้เที่ยวเอง มันก็ไม่ได้ยากอะไรเลยนะค้าบ แค่อาศัยการเตรียมตัวแค่นั้นเอง มาดูกันครับ

IMG_0335

1. ไม่ได้ภาษาไม่ใช่ปัญหา โหลดแอพแปลภาษาลงมือถือซะ

สมัยนี้เทคโนโลยีก้าวกระโดดขนาดนี้ ใช้ให้เกิดประโยชน์ครับ แอพแปลภาษามีหลายตัวให้เลือกใช้ครับ ผมใช้ของ Google Translator แล้วโหลดแบบให้มีการใช้งานแบบ Offline ด้วย ฟินเวอร์ครับ พิมพ์ภาษาไทยหรืออังกฤษก็ได้ แล้วก็ให้มันแปลเป็นจีน ส่วนถ้าเค้าจะตอบกลับมา ก็ขอให้เค้าช่วยพิมพ์เป็นจีน มันก็จะแปลเป็นภาษาเราเอง ช่วยได้เยอะครับ

2. เตรียมรูปภาพสถานที่เด่นๆที่ต้องการจะไปไว้ให้พร้อม

บางครั้งเวลาเราถามทางคนที่นั่นเค้าก็อาจจะไม่รู้ว่าชื่อที่เราถามมันคือที่ไหน เช่น โรงแรม ร้านอาหาร หรือสถานที่บางที่ ทางที่ดีก็คือเซฟรูปสถานที่น่ันลงในมือถือ ไอแพด หรืออะไรก็ได้ที่มันโชว์รูปได้ไว้เลยครับ เซฟแบบเห็นได้ชัดๆ มีป้ายชื่อด้วยยิ่งดี อย่าไปเซฟแบบคนถ่ายภาพมุมอาร์ตๆ เพราะบางอย่างสถาปัตยกรรมมันคล้ายกันมาก

3. เตรียมคำพูดใช้บ่อยไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน

เช่น จะไปห้องน้ำ ไปสถานีรถไฟ สถานีรถเมล ราคาเท่าไหร่ ประมาณนี้ครับ จดไว้เลย แต่ถ้ามีแอพแล้วก็อาจจะไม่ต้องจดก็ได้ครับ

4. อย่าลืมไปทำวีซ่านะครับ

ข้อนี้สำคัญมาก ไปเมืองจีน ณ ตอนนี้ยังต้องใช้วีซ่าอยู่ครับ เอกสารการขอวีซ่าก็ไม่ยากครับ ปีนีี้ที่เค้าขอก็มีใบจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ ใบจองตั๋วโรงแรมที่พักตอนอยู่จีน พาสปอร์ตตัวจริง สำเนาพาสปอร์ต รูปถ่ายสองนิ้ว ครับ พร้อมกับเงินพันกว่าบาท  วีซ่าจีนไปขอได้ที่แถวๆสถานทูตจีนครับ ลงรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีศูนย์วัฒนธรรม เดินออกประตูสถานทูตจีน

วีซ่าเมืองจีนมีอายุ 3 เดือน และสามารถใช้เที่ยวได้โดยอยู่ในเมืองจีนไม่เกิน 30 วันครับ

IMG_0472

5. ทำการบ้านเรื่องการเดินทางไว้ให้พร้อม

แม้ภาษาจะไม่ใช่อุปสรรคมากนักในการสื่อสารหากเรามีแอ๊พแปลภาษา แต่! การเดินทางเนี่ยควรประหยัดเวลาให้ได้มากที่สุดครับ ถ้ามัวแต่พิรี้พิไรกดแปลกันไปกันมา เดี๋ยวพลาดรถโดยสารไปจะยุ่งครับ การเดินทางในประเทศจีนไม่ใช่เดินทางใกล้ๆด้วย เมืองบางเมืองอย่างกะนั่งจากเชียงใหม่ไปยะลา พลาดมานี่ นั่งรอรถอีกห้าหกชั่วโมงเลยนะคร้าบ

วิธีการของผมก็คือ ผมจะวางแผนก่อนว่าผมจะไปเที่ยวเมืองไหนก่อน และวิธีการเดินทางไปได้โดยวิธีไหนบ้าง แล้วก็นั่งหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตนี่แหล่ะครับ คนเขียนรีวิวเยอะแยะมากมายเลย เสร็จแล้วก็บันทึกไว้ พอไปถึงตรงไหนไม่รู้ก็ถามคนแถวนั้นได้ครับ โดยใช้สกิลข้อทั้งหลายที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์

6. ยิ้มเข้าไว้ตอนอยู่ต่างแดน

ผมว่าคนส่วนมากอยากจะเป็นมิตรและต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเราทั้งนั้นแหละครับ คนไทยเรามีนิสัยยิ้มง่ายอยู่แล้ว ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ยิ้มทักทายเค้าไปเถิดครับ เป็นการสร้างมิตรที่ง่ายที่สุดแล้ว ผมได้เพื่อนใหม่ดีๆหลายคนก็เริ่มต้นจากการยิ้มทักทายนี่แหล่ะครับ

eric

7. กล้าถาม!

ข้อนี้สำคัญมากครับ ไปเที่ยวต้องกล้าถาม อย่าได้เหนียมอาย เพราะอยู่นั่นทุกอย่างคือสิ่งแปลกใหม่สำหรับเรา อันไหนไม่รู้จงถามครับ เค้าตอบได้ไม่ได้ค่อยว่าอีกเรื่อง ยกตัวอย่างเคสผม ตอนรอรถที่สถานีรถบัสฉางชา ตอนนั้นรอบัสไม่มา ผมก็ไปถามพนักงานขายตั๋ว เค้าก็ตะโกนโหวกเหวกมา ผมก็ฟังไม่ออกครับ ผมก็เลยถามอีกคน และคนนั้นก็ช่วยผมได้ นี่แหล่ะคับ เราต้องอาศัยความกล้าเข้าไว้ ไม่มีอะไรน่าอายเลย

8. ศึกษาประวัติศาสตร์ก่อนไปจะดีมาก

ถ้าคุณจะไปเที่ยวแหล่งประวัติศาสตร์ แนะนำให้ศึกษาประวัติของสถานที่นั้นๆ ไปเลยครับ อย่าไปคาดหวังว่าที่จีนเค้าจะมีไกด์พูดภาษาอังกฤษมาบรรยายให้เราฟัง หายากมาก! และต่อให้มีคำบรรยายภาษาอังกฤษเขียนประกอบสถานที่ แต่แม่เจ้าโว้ย พี่ท่านเอาศัพท์แบบว่าชาตินี้แทบจะไม่เคยเห็นมาใช้ ภาษาอังกฤษของพี่จีนหรู อลัง และเงิบมากครับ  ผมกล้าพูดเพราะทริปล่าสุด มีอยู่ครั้งนึงไปดูโชว์กับเพื่อนใหม่ชาวอเมริกา เพื่อนคนนี้ยังบอกเลยว่า ทำ English Subtitle ได้ป่วยมาก อ่านยากมาก ดังนั้นถ้าเราศึกษาไปบ้างก็น่าจะทำให้เที่ยวสนุกมากยิ่งขึ้นครับ ไม่อย่างนั้น ก็จะได้เห็นแค่ว่า เออ ใหญ่ดี เก่าดี แล้วไงต่อ?…

9. เข้าใจวัฒนธรรมคนจีน

ก่อนไปเมืองจีน ผมละมีทัศนคติกับคนจีนไม่ดีเลยครับ ก็เพราะเจอแกงค์ทัวร์จีนในไทย ที่ไร้การต่อแถว ขากเสลด ส่งเสียงดัง สูบบุหรี่เป็นบ้าเป็นหลัง แต่พอไปถึงแล้ว ผมก็ได้เรียนรู้ว่า เนี่ยมันคือวิถีชีวิตของพวกเค้า เค้าก็พยายามที่จะพัฒนาอยู่นะครับ พวกเด็กรุ่นใหม่ ไม่ค่อยเห็นขากเสลดตามท้องถนนแล้ว ส่วนการส่งเสียงดัง คือปกติเค้าก็พูดกันโฉงเฉงโหวงเหวงแบบนี้อยู่แล้วครับ

ไปอยู่บ้านเมืองเค้าเราต้องทำใจยอมรับสิ่งที่เค้าเป็นครับ จะได้ไม่อึดอัดจนขาดใจตายไปเสียก่อน

10. เตรียมตัวรับประสบการณ์แบบไม่คาดฝัน

ยกตัวอย่างเช่น จะเข้าห้องน้ำ ผมต้องบอกก่อนว่า เตรียมกระดาษชำระติดตัวไว้เลยครับ ห้องน้ำสาธารณะที่นั่นมันน่าสะพรึงเหลือเกิน (บางที่) และส่วนใหญ่ที่เจอคือไม่มีกระดาษชำระให้นะครับ เราต้องเตรียมไปเอง ดังนั้น ถ้าจะไปหวังเอาน้ำบ่อหน้า มันเป็นอะไรที่หวาดเสียวมาก

สิ่งที่ไม่คาดฝันที่ผมเจอคือ ไม่คิดว่าจะได้เจอห้องน้ำแบบไร้ประตูครับ ห้องน้ำสาธารณะไร้ซึ่งสิ่งปิดกั้น!! เข้าไปเนี่ย เห็นคนนั่งอึ ยืนฉี่กันเฉย แถมรางอึเป็นรางเดี่ยวด้วยครับ ทุกคนนั่งคร่อมราง อึแต่ละคนก็ไหลผ่านให้อีกคนได้ยลโฉม ประกวดอึกันว่าของใครเด่นกว่า เห็นแล้ว อ้วกแทบพุ่ง รับไม่ได้ ฮ่าๆ ดังนั้นทำใจไว้ด้วยนะคร้าบ ฮ่าๆ

IMG_0384

11. แลกเงินเป็นเงินหยวนไปเลยครับ

ผมแนะนำว่าแลกเป็นเงินหยวนไปเลยสะดวกกว่าครับ ครั้งแรกนั้นผมแลกเป็นเงินดอลลาร์ โหย หาที่แลกยากมาก แม้จะรู้ว่าในธนาคารแลกได้ แต่พวกเธอก็พูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก รักษาสกิลความเป็นจีนสูงจริงๆ ฮ่าๆ รอบนี้ผมเลยแลกเป็นเงินจีนไปเลยปรากฎว่าชีวิตง่ายขึ้นเยอะครับ แหล่งแลกเงินในไทยก็มีหลายที่ครับ ดังๆก็จะมี super rich ครับ แต่ผมแลกแถวหน้าปากซอย ฮ่าๆ เพราะเรทต่างกันไม่มากเท่าไหร่ คำนวณดูแล้ว ถ้าไปแลกซุปเปอร์ริช ค่าเดินทางไปกลับ แพงกว่าอีก ฮ่าๆ

12. เตรียมยาสามัญประจำบ้าน

ข้อนี้ไม่ว่าจะไปประเทศไหนครับ เตรียมยาสำคัญๆไว้ เช่น ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้ไข้ อะไรทำนองนี้ หลายคนมักจะเจอปัญหาเรื่องท้องไส้เวลาไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ยิ่งอาหารเมืองจีนขึ้นชื่อเรื่องความจืด มัน และเผ็ด ถ้าไม่สบายขึ้นมา หาหมอที่ต่างแดนมันค่อนข้างยากครับ หลักๆ ผมจะพกพาราเซตามอล พกยาแก้ท้องเสีย ยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ และยาแก้อาเจียนครับ

13. ทำ Check list

ปกติผมจะเป็นคนชอบทำ check list กับทุกสิ่งอยู่แล้วครับ มันมีข้อดีคือมันช่วยให้เรารู้ว่าเราต้องทำอะไรบ้าง เช่น Check List สำหรับแพ็คกระเป๋า จะได้ไม่ลืมครับว่าพลาดอะไรไป เอาไปเอากลับครบหรือเปล่า ข้อนี้ก็แนะนำเลยครับ

และนี่แหล่ะครับ คือข้อแนะนำง่ายๆในการเตรียมตัวไปเที่ยวเมืองจีนที่ผมใช้ในการแบกเป้ลุยเดี่ยว เที่ยวเมืองจีนสนุกครับ ขอแค่เรามีความกล้าที่จะออกเดินทาง และพร้อมจะสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ขอให้มีความสุขกับการเดินทางครับ

The post คู่มือแบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวจีน เตรียมตัวอย่างไรบ้าง? appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/what-you-need-to-know-before-travel-in-china.html/feed 2
เที่ยวจีน 11 วัน กับงบ 18,500 กว่าบาท https://backpackstory.com/how-much-i-spent-on-traveling-11-days-in-china.html https://backpackstory.com/how-much-i-spent-on-traveling-11-days-in-china.html#respond Tue, 03 Jun 2014 02:46:32 +0000 http://backpackstory.com/?p=565 เวลาไปเที่ยวกลับมาทีไร ไม่ว่าเขาหรือเราต่างก็อยากรู้ครับว่า ทริปที่ไปมาเนี่ย ใช้งบไปเท่าไหร่น้อ? สำหรับทริปล่าสุดนี้ผมก็เลยขอเขียนเพื่อเป็นแนวทางในการจับจ่ายใช้สอยว่าถ้าไปตามรอยผมจะต้องเตรียมตังค์ไปเท่าไหร่ อะไรอย่างไร แต่ต้องบอกก่อนนะครับว่า ทริปทุกทริปที่ผมไป ผมเน้น กินดี อยู่ดี(แบบรับได้ ไม่ใช่ไปอัตคัตลำบากตัวเอง) และเที่ยวดีครับ

The post เที่ยวจีน 11 วัน กับงบ 18,500 กว่าบาท appeared first on Backpack Story.

]]>
เวลาไปเที่ยวกลับมาทีไร ไม่ว่าเขาหรือเราต่างก็อยากรู้ครับว่า ทริปที่ไปมาเนี่ย ใช้งบไปเท่าไหร่น้อ? สำหรับทริปล่าสุดนี้ผมก็เลยขอเขียนเพื่อเป็นแนวทางในการจับจ่ายใช้สอยว่าถ้าไปตามรอยผมจะต้องเตรียมตังค์ไปเท่าไหร่ อะไรอย่างไร แต่ต้องบอกก่อนนะครับว่า ทริปทุกทริปที่ผมไป ผมเน้น กินดี อยู่ดี(แบบรับได้ ไม่ใช่ไปอัตคัตลำบากตัวเอง) และเที่ยวดีครับ

ทริปเมืองจีนรอบนี้ผมไปเที่ยวทั้งหมดสามเมือง นั่นก็คือเมืองโบราณเฟิงหวง เมืองจางเจี๋ยเจี้ย และเมืองฉางชาครับ

เวลาเดินทางค่าใช้จ่ายหนักๆ จะอยู่ที่

  • ค่าตั๋วเครื่องบิน (ตัวนี้ตัวทำงบบานเลยครับ)
  • ค่าที่พัก (ยิ่งถ้าไปเที่ยวคนเดียว จ่ายเองทุกสิ่งอย่างครับ)
  • ค่าเดินทาง (ในเมืองจีนด้วยความที่สถานที่ท่องเที่ยวไกลกันมาก ค่ารถก็จะแพงหน่อยครับ)
  • ค่าตั๋วเข้าชม (ทริปนี้ ตั๋วและละที่ไม่ต่ำกว่า 100 หยวน ครับ)

มาดูทีละอย่างกันครับ เริ่มต้นด้วย “ค่าตั๋วเครื่องบิน”

ต้องขอบคุณสายงานของผมที่เป็นฟรีแลนซ์ การเดินทางวันไหนจึงไม่ค่อยจะเป็นปัญหา ดังนั้นผมมักจะเลือกเดินทางในตอนที่ สายการบินมีโปรโมชั่นราคาถูกครับ อย่างเช่นครั้งนี้ ผมฝันอยากจะไปเยือนจางเจี๋ยเจี้ยอีกสักรอบ แต่ไม่มีเครื่องบินไหนบินตรงไปฉางชาเลย เคยหาก็มีของสายการบิน  China Eastern แต่ว่าราคาก็เกือบสองหมื่น เหอะๆ แล้วแจ็คพอตสายการบินแอร์เอเชียเปิดบินตรง ผมก็เลยรีบจองเลยครับ ได้ราคาไปกลับ รวมแล้ว 3,600 บาท (ทุกอย่างผมจะทำเป็นตัวเลขกลมๆนะครับ ปัดเศษนิดหน่อย อันนี้ถือว่าเข้าใจตรงกันนะครับ)

จริงๆผมเดินทางกับสายการบินนี้แทบจะทุกครั้ง เพราะว่าได้ตั๋วถูก ยิ่งช่วงโปร 0 บาท ยิ่งเหมือนถูกหวยครับ บินไปกลับต่างประเทศถูกกว่านั่งแท็กซี่เสียอีก

ต่อมาเรื่องค่าที่พักครับ

ผมพักที่เมืองเฟิงหวง 3 คืนครับ โดยพักที่ FengHuang Old Town International Youth Hostel ซึ่งสองคืนแรกนั้นผมจองผ่าน booking.com เป็นห้อง Single Bed room นอนคนเดียว ราคาห้องสำหรับสองคืนอยู่ที่ 177 หยวนครับ ห้องนี้โดยรวมผมติดใจแค่เรื่องห้องน้ำแบบจีนนิยมที่นั่งยองๆครับ ผมว่ามันมีกลิ่นหน่อย เครื่องทำน้ำอุ่นร้อนช้า และไวไฟไม่เสถียร แต่อย่างอื่นผมก็โอเคมากครับ ราคาสองคืนไม่ถึงพันเนี่ย หายาก และสตาฟก็เฟร็นด์ลี่มาก ภาษาอังกฤษเก่งกันมากครับ

แต่พอคืนที่สามผมย้ายห้อง (เพราะห้องเดิมเต็ม) มาเป็นแบบ Deluxe แทนสภาพห้องโอเคกว่ามาก ทุกอย่างที่เป็นปัญหาสำหรับห้องแรก ห้องนี้แทบจะไม่มีเลย มีอย่างเดียวคือไวไฟที่ก็ยังไม่ค่อยเสถียรครับ แต่ผมก็แบกคอมไปเล่นที่ล็อบบี้แทน ได้เจอเพื่อนคนอื่นด้วย ถือว่าชดเชยกันได้ครับ ค่าห้องคืนนี้อยู่ที่ 158 หยวน

หลังจากนั้นผมมาพักที่เมือง Zhangjiajie โดยพักอยู่โรงแรมเดียวครับ เพราะว่าประทับใจมากทั้งขนาดห้อง (แต่เพื่อนผมคนจีนมานอนด้วยคืนนึง มันบ่นว่าห้องเล็กไปหน่อย แต่ส่วนตัวผมว่ามันโอเคมากนะครับ เพราะวันที่เหลือผมนอนคนเดียวนี่นา ฮ่าๆ) สถานที่ตั้งก็ไม่ไกลจากสถานีขนส่ง จุดขึ้นกระเช้า จุดไปดูโชว์ เจ้าของโรงแรมก็ดีมากๆ ผมนอนตั้งแต่คืนวันที่ 23-28 เลยครับ นอนหกคืน คืนแรกจองผ่าน Booking.com คืนละ 128 หยวนครับ โรงแรมนี้ได้เรทติ้งดีมากๆของเว็บ booking.com นะครับ ทุกคนต่างประทับใจกัน

พอคืนต่อๆมาผมบอกเจ้าของโรงแรมว่าผมจะขออยู่ต่อนะ วันที่เหลือเจ้าของโรงแรมบอกว่า ลดให้ผมเหลือวันละ 100 หยวน ส่วนวันสุดท้ายเค้าคิดแค่ 80 หยวนเองครับ ค่าที่พักที่เมืองนี้อยู่ที่ 608 หยวน

คืนสุดท้ายผมนอนที่โรงแรมในฉางชาหนึ่งคืน แต่เพื่อนผมคนจีนเป็นคนพาไปเดินหา ตอนแรกว่าจะนอนที่ International Youth Hostel แต่ไปเป็นสถานที่ตั้งแล้ว ลึกลับเกิน เดินไกล เลยไม่เอา มาหาแบบติดถนน เดินทางสะดวกดีกว่า ก็เลยพักที่โรงแรมแถวย่าน Lieshi Park Monument Changsha ครับ คืนละ 118 หยวน  จำชื่อไม่ได้ครับ

สรุปค่าที่พักตลอดทริปก็อยู่ที่ประมาณ 1000 หยวน หรือราวๆ 5,000 บาท ครับ (เฉลี่ยคืนละ 500 เอง)

IMG_1997

ค่าเดินทางไปยังเมืองต่างๆและการเดินทางภายในตัวเมือง

สำหรับการเดินทางนั้น ผมจะเน้นพวกตั๋วที่ต้องจ่ายหนักๆนะครับ เพราะว่าการเดินทางภายในตัวเมือง ผมนั่งรถเมลก็จะอยู่ที่ราคาครั้งละ 1-2 หยวนเองครับ ไม่แพงเลย การใช้บริการรถโดยสารสาธารณะภายในตัวเมืองถูกมาก แต่ตั๋วเดินทางต่างเมืองจะแพงหน่อยครับ มาเริ่มกันเลยเนาะ

  • นั่งรถแอร์พอร์ตบัสจากสนามบินมาที่สถานีรถไฟ 16.5 หยวน
  • นั่งรถแท็กซี่จากสถานีรถไฟไป West Bus Station 23 หยวน
  • ตั๋วรถจากฉางชาไปเฟิงหวง 150 หยวน
  • นั่งแท็กซี่จากสถานีรถบัสเฟิงหวงไปยังตัวหมู่บ้าน 10 หยวน
  • นั่งแท็กซี่จากหมู่บ้านเฟิงหวงไปสถานีขนส่ง 7 หยวน
  • ตั๋วรถจากเฟิงหวงมาจางเจี๋ยเจี้ย 70 หยวน
  • ตั๋วรถจากจางเจี๋ยเจี้ยไปฉางชา 94 หยวน
  • ตั๋วรถจากสถานีรถไฟไปสนามบินโดยนั่งแอร์พอร์ตบัส 16.5 หยวน

ดังนั้นหลักๆแล้วค่าเดินทางจะอยู่ประมาณ 387 หยวน หรือประมาณ 1935 บาท ครับ

ค่าตั๋วเข้าชมสถานที่ต่างๆ

เนื่องจากว่าตอนไปเฟิงหวงผมไม่ได้ซื้อตั๋วครับ แต่จริงๆต้องซื้อนะครับ คนละ 148 หยวน ผมเข้าไปได้แบบงงๆ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ฮ่าๆ ดังนั้นผมจึงตัดตรงนี้ไป แต่คนอื่นไปต้องซื้อนะครับ อย่าลืมบวกไปทีหลังเด้อ

  • ค่านั่งกระเช้าขึ้นเขาเทียนเหมินซาน 240 หยวน
  • ค่ารองเท้าผ้าสำหรับเดินบนสะพานกระจกบนเขาเทียนเหมินซาน 5 หยวน
  • ค่านั่งกระเช้าไปยังวัดที่อยู่บนสุดของเขาเทียนเหมิน 25 หยวน
  • ค่าชม Zhangjiajie Fox Show  160 หยวน
  • ค่าชม Tusi Castle 120 หยวน
  • ค่าเช่ารถมอไซต์พาเที่ยวหนึ่งวัน 200 หยวน

สรุปแล้วค่าตั๋วในทริปนี้ก็อยู่ที่ประมาณ 750 หยวน ก็ราวๆ  3750 บาท ครับ ส่วนใครจะไปชมเขาอวตารด้วย ต้องซื้อตั๋วเพิ่มอีกครับ 248 หยวน ใช้ได้สามวัน แต่ผมเคยไปมาแล้ว รอบนี้เลยไม่ได้ไปครับ

และที่เหลืออีกประมาณ 4,000 กว่าบาท ก็คือค่ากินอยู่ซื้อของอย่างอื่นและนั่งรถเมลเที่ยวในตัวเมืองครับ สำหรับสิบวัน ก็ตกวันละประมาณสามร้อยกว่าบาทครับ ผมว่าไม่แพงเลย ยิ่งถ้าเราไปกันหลายคน จะประหยัดค่าอาหารได้เยอะมาก เพราะเค้าเอามาบริการแบบเยอะมากครับ กินคนเดียวไม่หมด

และนี่แหล่ะครับคือค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนี้ ไม่รู้ว่าถูกหรือแพง แต่สำหรับผม มันคุ้มมากครับ และผมมองว่าถูกด้วย ฮ่าๆ แล้วเจอกันใหม่สำหรับบทความท่องเที่ยวตอนต่อไปครับ ใครอยากสอบถามอะไร ก็สามารถสอบถามได้นะครับ ถ้าผมรู้ก็จะยินดีตอบคำถามค้าบ

The post เที่ยวจีน 11 วัน กับงบ 18,500 กว่าบาท appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/how-much-i-spent-on-traveling-11-days-in-china.html/feed 0
ลุยเดี่ยวเที่ยวเมืองจีน มิตรภาพมิรู้ลืม ฉางชา เฟิงหวง จางเจียเจี้ย ตอนที่ 1 https://backpackstory.com/backpack-to-travel-in-fenghuang.html https://backpackstory.com/backpack-to-travel-in-fenghuang.html#comments Sun, 01 Jun 2014 07:33:22 +0000 http://backpackstory.com/?p=509 วันแรกของผม ผมเจอเรื่องประทับใจเยอะมากตั้งแต่อยู่บนเครื่อง ซึ่งผมจะขอเล่าให้ฟังครับ เพราะอยากแบ่งปันเรื่องราวดีๆที่ผมเจอมา ตอนอยู่บนเครื่องผมนั่งติดกับสองสาวจีนที่มาเที่ยวเมืองไทย ตามธรรมเนียมผมก็จะทักทายคนที่นั่งติดกัน เพื่ออย่างน้อยก็ได้ผ่อนคลายบรรยากาศ

The post ลุยเดี่ยวเที่ยวเมืองจีน มิตรภาพมิรู้ลืม ฉางชา เฟิงหวง จางเจียเจี้ย ตอนที่ 1 appeared first on Backpack Story.

]]>
ผมตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง เพราะตื่นเต้นมากกับทริปนี้ เมืองนี้เป็นเมืองที่อยู่ในลิสต์ 100 สถานที่แนะนำของจีนด้วย แถมยังเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเทียนเหมินซาน จางเจียเจี้ยด้วย ซึ่งแม้สองสถานที่หลังนั้นผมเคยไปมาแล้ว แต่ผมก็ยังอยากไปเยือนอีกรอบ

ครั้งนี้ผมเดินทางไปขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองครับ เป็นการบินตรงสู่ฉางชา แถมเป็นทริปแรกที่ผมจะเดินทางลุยเดี่ยวในเมืองจีนด้วยนะครับ

IMG_0322

วันแรกของผม ผมเจอเรื่องประทับใจเยอะมากตั้งแต่อยู่บนเครื่อง ซึ่งผมจะขอเล่าให้ฟังครับ เพราะอยากแบ่งปันเรื่องราวดีๆที่ผมเจอมา ตอนอยู่บนเครื่องผมนั่งติดกับสองสาวจีนที่มาเที่ยวเมืองไทย ตามธรรมเนียมผมก็จะทักทายคนที่นั่งติดกัน เพื่ออย่างน้อยก็ได้ผ่อนคลายบรรยากาศ สองสาวพูดภาษาอังกฤษไม่คล่องครับ แต่ก็พยายามมาก เราแนะนำตัวกัน ทั้งสองคนเป็นหมอครับ อายุยังน้อยอยู่เลย น่าจะเพิ่งเรียนจบ (จากที่ถามมา) สองสามรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อทราบว่าผมจะเดินทางไปเที่ยวเมืองจีนคนเดียว
“เมืองจีนระวังถูกหลอกนะ เป็นคนต่างชาติ เค้าจะฟันราคา” ทั้งสองพยายามบอกผมแบบนี้ ซึ่งผมเองก็เข้าใจ เพราะทุกที่เป็นแบบนี้หมด ฮ่าๆ ผมก็ขอบคุณเค้า บอกว่าผมจะพยายามครับ

IMG_0350

เราคุยกันตลอดการเดินทางบนเครื่อง (แต่สองชั่วโมงหลัง เราพากันหลับ เพราะมีแต่คนตื่นเช้า) ก่อนจะลาจากกันเราแลก QQ กันครับ และเค้าให้เบอร์โทรผมไว้ด้วย บอกว่าถ้ามีปัญหาอะไรระหว่างเดินทาง โทรหาเค้าได้เลยนะ พร้อมกับแนะนำว่าซื้อซิมจริงๆแค่ 50RMB ก็เพียงพอแล้วแหล่ะ เป็นสองสาวที่นิสัยดีมากครับ นี่เป็นเรืองประทับใจเรื่องที่หนึ่ง

IMG_0363

เมื่อมาถึงสนามบิน ระหว่างที่จะเอากระเป๋าของชั้นวาง ก็มีผู้หญิงสาวจีนตัวเล็กๆคนหนึ่งเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย ขอให้ผมหยิบกระเป๋าให้หน่อย ซึ่งผมก็ยินดี เค้าถามผมว่าเป็นคนไทยเหรอ? ผมก็บอกว่าใช่แล้วครับ เค้าบอกว่ามาเที่ยวกับใคร ผมก็ตอบว่ามาคนเดียว เค้าก็บอกว่า โอ ระวังตัวหน่อยนะ เพราะว่าเมืองจีนจะฟันราคานักท่องเที่ยว แหม่ว์ แต่ละคน โปรโมทประเทศตัวเองดีจัง ฮ่าๆ เค้าถามว่าจะเดินทางไปที่ไหน ผมก็บอกว่าจะไปเฟิงหวง เค้าเลยอาสาพาไปขึ้นรถบัสคับ ระหว่างนั้นเค้าก็ชวนคุยหลายๆอย่าง ผมว่าคนจีนก็นิสัยดีนะ คือคนส่วนใหญ่ที่ผมเจอเค้าก็ต้อนรับนักท่องเที่ยวดี ยิ่งมาคนเดียวเค้าก็พากันเป็นห่วง

ผมบอกว่าจริงๆแล้วมีเพื่อนจีนคนหนึ่งเค้าบอกว่าจะมารับที่สนามบิน แต่ผมก็ไม่เคยเจอตัวจริงหรอกนะครับ พอถึงทางออกก็มองเห็นหนุ่มตี๋ใส่แว่น ชูป้ายกระดาษเขียนชื่อผมอยู่ ผมก็เลยลาสาวน้อยคนนั้น พร้อมบอกว่านั่นแหล่ะคือเพื่อนของผมที่มารับครับ เราเลยจับมือร่ำลากัน

eric

ตี๋หนุ่มคนนี้เพิ่งมาฉางชาเมื่อวานครับ และก็อาสามารับที่สนามบินเลย ชื่อว่า Eric เพื่อนคนนี้พาไปซิ้อตั๋วรสบัสเพื่อไปยัง Railway station ราคา 16 หยวนนะครับ แต่เค้าก็ออกให้ผม ซึ่งผมเองก็ไม่อยากรบกวนเลย แต่แปลกแฮะ คนที่นี่มักจะต้อนรับเพื่อนด้วยการพยายามออกให้ ก็คงเหมือนตอนที่เพื่อนผมไปหาที่เมืองไทย ผมก็พยายามออกให้กระมัง

เรานั่งรถไปถึงตัวเมืองกัน ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ครับ เมืองฉางชาเป็นเมืองที่ใหญ่มาก เป็นเมืองหลวงของมณฑลหูหนาน ในตัวเมืองก็ดูเป็นเมืองครับ แลดูวุ่นๆ ฮ่าๆ

IMG_0384

เมื่อถึงที่สถานีรถไฟแล้ว อีริคก็พาผมไปทานข้าวเที่ยงก่อน เค้าก็พยายามจะออกให้ผมอีก ผมบอกว่า เห้ย อย่าเยอะ ขอออกเองบ้างอะไรบ้าง มาครั้งก่อนก็เพื่อนสปอยดีเกินจนเกรงใจจนไม่เป็นตัวของตัวเอง และถือว่าเป็นการแลกกันที่เค้าซื้อตั๋วรถให้ผม ผมเลยขออาสาเลี้ยงข้าว เราแย่งกันออกตังค์ครับ ฮ่าๆ ค่าอาหารกลางวันสองคนก็ 50 RMB ไม่ถือว่าแพง เพราะอาหารเป็นชุด กินไม่หมด เลยด้วยซ้ำ

จากนั้นก็ไปซื้อ sim card ก่อนครับ แปลกแฮะที่ร้านที่ไปมีแต่ราคาแพงๆ และผมต้องการเน้น internet จึงซื้อตัว 150RMB มาซึ่งก็โอเค ไม่ได้มายด์มาก แต่ปรากฎว่าใช้กับมอืถือผมไม่ได้! พอใส่ปุ๊บเครื่องรีสตาร์ทเองตลอดครับ งงมาก เกิดอะไรขึ้นเนี่ย แต่ก็ซื้อมาแล้ว ก็เลยทำใจ เสียดายตังค์มากตอนนั้น และเราเสียเวลาอยู่ร้านซิมมือถือนานเกินไป จนอีริครู้ว่าเห้ยเวลาผ่านไปเยอะแล้ว ต้องรีบไปสถานีรถบัสซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร

เรานั่งแท็กซี่ไปครับทั้งหมดก็ 23 RMB แล้วก็ไปซื้อตั๋วไปเฟิงหวง 150 RMB ครับ แต่เราพลาดรอบบ่ายสองครึ่ง ทำให้ผมต้องรอรอบห้าโมงยี่สิบ อิีริคก็ขอโทษผมเป็นการใหญ่ ว่ารู้สึกเสียใจที่ทำให้ผมต้องเสียเวลา และอีริคเองก็มีธุระต้องทำต่อในช่วงบ่าย ผมก็บอกว่า ไม่เป็นไร ผมอยู่ได้ อีริคเลยขอตัวกลับบ้านก่อน แต่สักพัก ก็เดินมาหาอีก บอกว่าอยุ่ได้นะ ผมก็บอกว่าอยู่ได้ดิ

จากนั้น Eric ก็เดินทางกลับบ้านไปครับ ผมก็นั่งรอจนกระทั่งได้เวลาที่รถบัสควรจะมาถึงแล้ว แต่ก็ไม่เห็นมีวี่แววว่าเอ๊ะ แล้วทำไมพนักงานไม่เรียกไปขึ้นรถสักที ผมก็เลยเดินไปถามพนักงานตรงจุดขึ้นรถครับ ถามเป็นภาษาอังกฤษ เค้าตอบมาเป็นภาษาจีน เป็นยังไงละ ทักษะภาษาจีนของผม เงิบสิครับ! คืออะไรหว่า? เค้าก็ตะโกนพูดเสียงดัง ผมก็เลยเดินหงอยกลับมาที่นั่งรออย่างงงๆ

แต่เพราะความกระวนกระวายใจ ยังไงก็ต้องเมคชัวร์ให้ได้ว่า รถมันมาแล้วหรือยัง ก็เลยหันไปสะกิดคนที่นั่งหันหลังให้ผมครับ (ที่นั่งรอจะเป็นแบบหันหลังชนกัน) ปรากฎว่าเป็นตี๋หนุ่มวัยใกล้เคียงกับผมครับ เขาพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก แต่ก็เฟร็นด์ลี่มากๆ และนี่คือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพที่ผมจะไม่มีวันลืมอีกเรื่องเลย ซึ่งผมจะเล่าต่อในตอนหน้าครับ แล้วเจอกันครับ บอกไว้ก่อนเลยว่า ทริปนี้ ฟินที่สุด

The post ลุยเดี่ยวเที่ยวเมืองจีน มิตรภาพมิรู้ลืม ฉางชา เฟิงหวง จางเจียเจี้ย ตอนที่ 1 appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/backpack-to-travel-in-fenghuang.html/feed 1
แบกเป้เที่ยวเวียดนามตอนที่สาม ทะเลทรายแสนสวยที่มุยเน่ https://backpackstory.com/beautiful-sand-dune-in-mui-ne-vietnam.html https://backpackstory.com/beautiful-sand-dune-in-mui-ne-vietnam.html#respond Tue, 01 Apr 2014 03:12:11 +0000 http://backpackstory.com/?p=445 การเที่ยวเวียดนามในครั้งนี้ เที่ยวสามเมือง สามรสชาติ สามบรรยากาศเลยจริงๆครับ ที่โฮจีมินห์ก็อารมณ์เที่ยวเมืองหลวง ดูสถาปัตยกรรม ความเป็นอยู่แบบคนเมือง อยู่ดาลัดก็ให้อารมณ์เหมือนเดินทางข้ามทวีป อยู่ในเมืองสุดโรแมนติก ใส่เสื้อกันหนาว จูงมือคนรักนั่งยองๆกินมันเผาเคล้าลมหนาว มีหมู่มวลดอกไม้หลากสีรายล้อม

The post แบกเป้เที่ยวเวียดนามตอนที่สาม ทะเลทรายแสนสวยที่มุยเน่ appeared first on Backpack Story.

]]>
ทริปท่องเที่ยวเวียดนามของผม แบ่งเขียนเป็นสามตอนกันเลยทีเดียว เพราะว่ามันค่อนข้างจะมีรายละเอียดอยากเล่าเยอะ หลังจากที่พาไปฟินกับสองเมืองแล้ว วันนี้มาดูอีกเมืองหนึ่งครับ เป็นเมืองที่อยู่ห่างจากโฮจีมินห์แค่ประมาณ 4 ชั่วโมง นั่นก็คือเมืองมุยเน่นั่นเอง เมืองนี้เค้ามีทีเด็ดเรื่องอะไรบ้าง ไปดูกัน

ผมนั่งรถจากดาลัดมาถึงมุยเน่ ประมาณหกโมงเย็นแล้วครับ ถือว่าเย็นมากๆ ก็พากันเดินหาโรงแรมที่จะเช็คอินก่อน ผมได้โรงแรมที่อยู่ติดทะเลเลย อากาศดีนะครับ ห้องพักก็สะอาด หน้าห้องมีเปลให้นอนรับลมทะเลด้วย คือละ $20 ถ้าจำไม่ผิด (เริ่มจะสับสนกับตัวเลขแล้ว ฮ่าๆ)  เช็คอินห้องพักเสร็จแล้ว ผมก็ซื้อทัวร์เที่ยวมุยเน่แบบ Sun rise tour ครับ เป็นโปรแกรมเที่ยวครึ่งวัน นั่งรถจิ๊บส่วนตัวไปเที่ยวสี่ที่ ได้แก่ White Sand dunes, Red Sand dunes, Fisihing village และ Fairy Stream ครับ ราคาคนละ $6 ใช้เวลาเที่ยวโดยรวมประมาณ 4 ชั่วโมง

ทางโรงแรมบอกว่าให้ผมตื่นมารอตั้งแต่ 4.30 น. นะครับ ผมก็ตื่นตั้งแต่ตีสี่ ออกมารอเลย แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นรถจิ๊บมารับ ตอนนี้คิดในใจซวยละหว่า ทำไงดี จนถึงตีห้าก็ยังไม่มีมาครับ ผมเลยโทรเข้าเบอร์เจ้าของโรงแรมเลย บอกว่า เห้ย เนี่ยไม่มีใครมารับผมเลยอ่ะ เค้าก็ตกใจกันนะครับ พากันตื่นยกบ้าน ฮ่าๆ แล้วโทรหารถจิ๊บกันยกใหญ่ แล้วก็ขอโทษผม บอกว่าเหมือนรถจิ๊บที่ติดต่อไว้จะมีปัญหา เค้าติดต่ออีกเจ้าให้แทน ขอให้รออีกสิบนาที ผมก็โอเค ไม่ได้อะไรมาก แล้วรถจิ๊บก็มารับครับ เฮ้อ ดีใจจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลทราย

IMG_7014

พอไปถึงทะเลทรายขาว โอ้ สวยงามมาก ไม่น่าเชื่อ UNSEEN จริงๆ ไม่คิดมาก่อนเลยว่า เวียดนามจะมีทะเลทรายไกลสุดลูกหูลูกตาแบบนี้

เที่ยวทะเลทรายตอนเช้าๆแบบนี้มันก็ดีไปอย่าง คือ “ไม่ร้อนเท้า” ครับ เดินเล่นสบาย ถอดรองเท้าเดินนี่แหล่ะครับ เพราะถ้าใส่รองเท้าผมรู้สึกว่าเดินลำบากมาก เดินถ่ายรุปกันอย่างสนุกสนาน ผมอัพภาพเหล่านี้ลงเฟสบุค เพื่อนที่เคยมาเวียดนามหลายคนต่างก็แปลกใจว่าที่นี่คือเวียดนามจริงๆหรือ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีทะเลทรายด้วย ฮ่าๆ

การเที่ยวเวียดนามในครั้งนี้ เที่ยวสามเมือง สามรสชาติ สามบรรยากาศเลยจริงๆครับ ที่โฮจีมินห์ก็อารมณ์เที่ยวเมืองหลวง ดูสถาปัตยกรรม ความเป็นอยู่แบบคนเมือง อยู่ดาลัดก็ให้อารมณ์เหมือนเดินทางข้ามทวีป อยู่ในเมืองสุดโรแมนติก ใส่เสื้อกันหนาว จูงมือคนรักนั่งยองๆกินมันเผาเคล้าลมหนาว มีหมู่มวลดอกไม้หลากสีรายล้อม พร้อมกับวิวทะเลสาบกว้างใหญ่อยู่เบื้องหน้า ส่วนเมืองมุยเน่ ก็ประหนึ่งว่าเดินทางสู่ดินแดนตะวันออกกลาง ได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ของทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา ทริปนี้ เป็นทริปที่หลงรักเลยครับ ฟินเวอร์ๆ

IMG_7042

ก่อนจะเดินทางไปเวียดนาม ผมกังวลหลายอย่างครับ กังวลเรื่องคนเวียดนามจะขี้โกง โกหก หลอกลวง เห็นดอลลาร์ไซน์ในหน้าผมหรือเปล่า (Dollar sign in my face) แล้วเรื่องการจราจรที่คงจะว้าวุ่น หนวกหูเสียงบีบแตรกันแน่ๆ อาหารก็คงจะจืดชืดมีแต่ผักตามสไตล์ประเทศหลังสงครามสินะ แล้วก็คงจะมีหมามาขายกันให้วุ่น

แต่เอาเข้าจริง มันไม่ใช่เลยครับ ผมไปแล้ว เจอแต่คนดีๆมีน้ำใจ ต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างผมดีมาก ถามว่ามีคนโกงไหม ผมไม่มองว่าเค้าจะโกงอะไรหรอกครับ เช่นตอนขายของ แน่นอนก็จะมีบางเจ้าขายสินค้าราคาแพง ราคานักท่องเที่ยว แต่ผมมองว่ามันก็มีอยู่ทุกที่แหละ สำหรับคนพวกนี้ ประเทศไทยเราเองก็ไม่ใช่ว่าจะน้อยหน้าเค้าเท่าไหร่เรื่องกดขี่ราคาสินค้า แต่เราก็เลือกได้ว่าจะเอาหรือไม่เอา ตรงนี้ผมเลยไม่หยิบมาเป็นประเด็น อืม แต่ที่เห็นชัดๆว่าถูกโกงก็ตอนจ่ายค่าจอดรถมอไซด์ครับ ปกติการจอดรถเนี่ยเค้าจะมีตั๋วจอดให้เราเป็นแบบทางการมาก ค่าจอดก็ประมาณ 2,000-3,000 ครับ แต่ครั้งนั้นเค้าให้ผมแค่ใบเขียนๆเอาด้วยลายมือ พร้อมกับบอกว่าจ่าย 5,000 บาท ตอนนั้นผมก็รู้แหล่ะว่า นี่แหละคือการโกง แต่ก็โอเคจ่ายไป เพราะมันก็เงินห้าหกบาท และเป็นแค่เหตุการณ์เดียวที่ผมเจอ นอกนั้นทุกคนคือคนดีมาก สำหรับผมครับ

IMG_7069

เรื่องการจราจร บ้านเค้ามีรถมอเตอร์ไซด์เยอะมาก แน่นอนว่าการบีบแตรเป็นการส่งสัญญาณทางจราจรอย่างหนึ่งในบ้านเค้า และมันก็จำเป็นมากๆด้วย แปลกดีนะ หลายเมืองไม่มีสัญญาณไฟจราจร เช่นที่เมืองดาลัด การขับรถนี่ต้องเดาใจกันมาก แต่มันก็ไม่ได้วุ่นวายเสียจนรับไม่ได้นะครับ รถไม่ติดเท่า กทม ด้วยซ้ำ

ส่วนเรื่องอาหาร อาหารเวียดนามอร่อยมาก มีทั้งแบบผัก แบบเนื้อให้เลือกกินอย่างจุใจครับ แม้มันจะไม่ได้หลากหลายเท่าอาหารไทย แต่มันก็ไม่ได้อัตคัดเหมือนที่กลัวเลย มีเรื่องฮาด้วยครับ ตอนอยู่มุยเน่ ผมก็ไปทานอาหารที่ร้านอาหารริมทะเล วิวสวย ดูราคาอาหารแล้วก็ไม่ได้แพงเท่าไหร่ พอไปถึง เมนูมาเป็นปึกครับ เออ เป็นร้านแรกที่มีเมนูอาหารเยอะดี แต่เมนูเป็นภาษาเวียดนามทั้งหมดครับ ผมก็ไม่รู้มันคืออะไร ก็เลยใช้การ “ชี้รูป” เอาครับ เค้าก็บอกว่า อันนี้ไม่มี ผมก็ชี้อันใหม่ เค้าก็บอกว่า อันนี้ก็ไม่มี ผมก็ชี้ตัวอื่น เค้าก็บอกอีกว่า ไม่มี ผมเลยถามว่า แล้วร้านมีอะไรบ้าง? เค้าบอกว่า มีทุกอย่างที่เขียน ส่วนรูปไม่เกี่ยวข้องกับเมนูเลย แค่เอามาแปะเพื่อความสวยงาม อ้าว มีแบบนี้ด้วย ฮ่าๆ

IMG_7078

เนื้อหมาที่นี่ราคาแพงครับ เค้าไม่เอามาขายราคาสามสิบบาทสี่สิบบาทหรอก อีกอย่างย่านท่องเที่ยงเค้าก็จะมีขายหลักๆก็เป็นไก่ ปลา หมู เนื้อครับ ดังนั้นไม่ต้องกังวลใจไป

กลับมาที่มุยเน่ต่อครับ หลังจากดื่มด่ำกับการเที่ยวทะเลทรายกันแล้ว ก็ไปต่อกันที่ทะเลทรายแดง Red Sand Dunes ครับ แต่ในช่วงเช้าผมว่าทะเลทรายขาวสวยกว่า เลยไปใช้เวลาแค่ที่ทะเลทรายแดงแค่ประมาณยี่สิบกว่านาทีครับ ที่นี่เค้ามีให้เล่นสกีทะเลทรายด้วย ใครสนใจก็ลองเล่นดูก็ได้นะครับ

IMG_7216

ถัดจากเที่ยวทะเลทราย ก็ไปต่อที่หมู่บ้านชาวประมง ที่นี่ก็มีสิ่งแปลกใหม่สำหรับผมด้วยครับ นั่นก็คือ “เรือกลมๆ” มันเหมือนกะละมังลอยน้ำนะ ฮ่าๆ ผมไปสังเกตดูเห็นว่าเป็นการจักสานด้วยไม้ แล้วก็ทาชันแล้วก็ทาสีทับครับ เป็นเรือรูปทรงแปลกๆดีจัง เค้าใช้เรือนี้ออกไปหาปลาด้วย แต่ที่หมู่บ้านนี้ผมเหม็นคาวปลาครับ ก็เนาะ หมู่บ้านประมงก็ต้องมีกลิ่นปลาอยู่แล้ว สำหรับใครที่อยากไปดูวิถีชีวิตชาวประมง ก็น่าจะชอบสถานที่นี้ครับ

IMG_7224

และใกล้ๆกันก็เป็นจุดสุดท้ายที่เราจะไป Fairy Stream นั่นเอง ตอนแรกผมก็งงๆ ว่ามันคืออะไร แฟรี่อย่างไร พอเดินไปถึงก็จะเห็นกลุ่มวัยรุ่นบอกว่าให้ถอดรองเท้านะครับ แล้วก็ฝากไว้ แต่ต้องจ่าย 5,000 VND แต่ผมไม่ฝากครับ เดินลุยไปเลย ถือรองเท้าเองได้ เริ่มงกแล้ว ฮ่าๆ มันเป็นลำธารเล็กๆ น้ำเหมือนสีส้มๆ เดินไปก็นึกอยากรู้ว่ามันมีอะไรให้ตื่นเต้นเหรอ พอเดินไปสักพักก็เริ่มเห็นหินรูปทรงแปลกๆ แล้วก็ริมแม่น้ำที่เป็นเหมือนหน้าผาขนาดย่อมสีส้มสลับขาว สวยมากครับ เหมือนแกรนด์แคนยอนแบบย่อมๆเลย คุ้มค่าเช่นกันครับ

IMG_7321

หลังจากเที่ยวเสร็จ ผมก็กลับไปที่พัก แล้วก็นอนต่อจนสิบเอ็ดโมง ถึงตื่นขึ้นมาอาบน้ำอาบท่า เช็คเอาท์ รอขึ้นรถกลับโฮจีมินห์ วันสุดท้ายที่โฮจีมินห์ ผมไปเที่ยวอุโมงค์ Cu Ching ครับ ผมแนะนำเลยนะว่าถ้ามีเวลาควรจะไปสัมผัสกับภูมิปัญญาในสมัยสงคราม เพราะเป็นอุโมงที่ขุดด้วยชาวบ้านนี่แหล่ะ เป็นระบบที่ซับซ้อนมาก ชาวบ้านอาศัยอยู่ใต้ดิน เป็นอุโมงค์ที่ยาวไปจนถึงกัมพูชาเลยครับ ตอนสงครามเวียดนาม อเมริกันแพ้สงครามก็เพราะอุโมงนี้เช่นเดียวกัน

ขอบคุณที่ติดตามการเดินทางของผมนะครับ สำหรับทริปหน้าจะเป็นที่ไหน รอดูกันนะครับ แล้วเจอกันใหม่คร้าบ 🙂

The post แบกเป้เที่ยวเวียดนามตอนที่สาม ทะเลทรายแสนสวยที่มุยเน่ appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/beautiful-sand-dune-in-mui-ne-vietnam.html/feed 0
แบกเป้เที่ยวจีน เที่ยวเหนือฟ้าที่เขาเทียนเหมินชาน https://backpackstory.com/travel-in-china-at-tianmen-shan.html https://backpackstory.com/travel-in-china-at-tianmen-shan.html#comments Mon, 21 Oct 2013 09:04:39 +0000 http://backpackstory.com/?p=328 วันนี้มาเล่าเรื่องราวการเดินทางที่เมืองจีนของผมสู่กันฟังต่อนะครับ หลังจากตอนที่แล้วผมพาไปเที่ยวดูภูเขาที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องอวตารแล้ว วันนี้ผมเข้าไปในตัวเมืองจางเจี๋ยเจีย และเตรียมตัวไปยังภูเขาอีกที่ ซึ่งการเดินทางจะเป็นการเดินทางโดยนั่งกระเช้าไปครับ

The post แบกเป้เที่ยวจีน เที่ยวเหนือฟ้าที่เขาเทียนเหมินชาน appeared first on Backpack Story.

]]>
ห่างจากเรื่องตอนที่แล้วไปนานหน่อย ต้องขออภัยด้วยครับ ฮ่าๆ วันนี้มาเล่าเรื่องราวการเดินทางที่เมืองจีนของผมสู่กันฟังต่อนะครับ หลังจากตอนที่แล้วผมพาไปเที่ยวดูภูเขาที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องอวตารแล้ว วันนี้ผมเข้าไปในตัวเมืองจางเจี๋ยเจีย และเตรียมตัวไปยังภูเขาอีกที่ ซึ่งการเดินทางจะเป็นการเดินทางโดยนั่งกระเช้าไปครับ

IMG_8557

ผมกับเพื่อนเดินทางออกจากที่พักไปยังจุดขึ้นกระเช้า อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟในเมืองเลยครับ ตอนที่ผมไปคนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะว่าไปก็สายแล้วมั้งครับ ทำให้ไม่ต้องต่อคิวรอขึ้นกระเช้านานเท่าไหร่ เราใช้เวลาในการนั่งกระเช้าจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายปลายทาง ราวๆ 45 นาทีครับ เป็นการนั่งกระเช้าที่นานมาก และฟินมากๆ เพราะว่าได้เห็นบรรยากาศด้านล่าง และเมื่อสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ทะลุเมฆเลยครับ

IMG_8604

ผมตื่นเต้นกับการนั่งกระเช้ามากๆ เพราะว่าเป็นครั้งที่สองที่ผมได้มีโอกาสนั่ง และครั้งนี้เราขึ้นไปสูงมากจริงๆ ยิ่งตอนที่ผ่านท้องฟ้าไปนะครับ รอบตัวขาวโพลนไปหมด มองไม่เห็นอะไร เป็นประสบการณ์ที่สุดยอดจริงๆ และเมื่อโผล่พ้นฟ้าไปแล้ว มองลงมาก็เห็นเพียงยอดเขาเท่านั้น และมีเมฆลอยบังอยู่ เป็นฉากเหมือนในเทพนิยายจีนจริงๆ

IMG_8625

วันที่ผมไปนั้นอากาศค่อนข้างจะไม่แจ่มใสเท่าใดนัก เพราะก่อนหน้านี้ฝนตกครับ แต่มันก็สวยไปอีกแบบนะครับ เพื่อนผมเล่าให้ฟังว่าที่แห่งนี้ไม่ว่าจะมาช่วงไหนมันก็สวยหมดนั่นแหล่ะ แต่เป็นความสวยงามคนแบบ เสน่ห์คนละอย่าง แต่เสียอย่างเดียว ถ้าในฤดูฝน การเดินทางมันค่อนข้างแฉะๆ และถนนลื่น จะต้องระวังกันให้มากหน่อย

แค่บรรกยากาศระหว่างทางยังสวยขนาดนี้ ผมละอดตื่นเต้นไม่ได้ว่า เมื่อไปถึงยอดเชาแล้วจะเป็นอย่างไร ผ่านไปเกือบชั่วโมง ผมก็นั่งมาถึงยอดเขาจนได้ครับ จากนั้นเราก็ต้อง “เดิน” เที่ยว เดินกันไกลหลายกิโลเมตรเลยครับ ความสนุกกำลังจะเริ่มต้นอีกแล้ว

IMG_8679

บนยอดเขานี้จะมีทางเดินเสียวๆแบบนี้ครับ เป็นทางเดินกระจก สร้างยื่นออกมาจากหน้าผา ตอนที่เดินอยู่ก็แอบเสียวๆ มองลงไปทะลุกระจกไม่เห็นพื้นดินหรอกนะครับ เพราะมันอยู่เหนือเมฆ ฮ่าๆ การจะเดินในทางเดินกระจกนี้ก็ต้อง “จ่ายตังค์” ด้วยนะครับ พี่จีนท่านเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ มีเก็บรายทางเยอะอยู่เหมือนกันครับ แต่เอาน่า ไหนๆ ก็มาแล้ว ไม่ควรพลาด

IMG_8703

ถ้ามาที่นี่ผมแนะนำให้มาเที่ยวตั้งแต่เช้าจะดีกว่าครับ จะได้เดินดื่มด่ำความสวยงามรายทางได้อย่างเต็มที่ ผมเองพลาดไปตรงที่ไปสายแล้ว แล้วก็ดันจองตั๋วรถไฟจะไปอีกเมืองหนึ่งตอนห้าโมงเย็น การเดินทางก็เลยเหมือนแอบรีบๆอยู่เบาๆ กระนั้นความสุขก็เต็มเปี่ยมเหมือนกันครับ เพียงแค่เหนื่อยมากขึ้น เพราะรีบเดินนั้นเอง แฮะๆ

IMG_8736

บางจุดในภูเขานี้จะมีที่สำหรับเขียนคำอธิษฐานแล้วก็ผูกไว้กับต้นไม้ เพื่อขอพรครับ เขียนลงบนผ้าสีแดง ซึ่งแน่นอนครับ จ่ายตังค์อีกเชนเคย ส่วนผมไม่ได้เขียนไปหรอกครับ ไม่รู้จะเขียนอะไร อีกอย่างก็คือ งก ครับ ฮ่าๆ แต่ก็ขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึกไว้หน่อยก็แล้วกัน

IMG_8793

ผมทึ่งในความสามารถในการก่อสร้างของเมืองจีนมาก ไม่รู้ว่าตอนที่สร้างเดินยื่นจากหน้าผาเนี่ย เค้าทำอย่างไร ทางเดินยาวหลายกิโลเมตรเลยนะครับ ช่วงที่เป็นทางโค้งของภูเขา เราก็จะมองลงไปที่พื้นครับ สูงมากๆ ตกลงไปเนี่ย ไม่อยากจะคิดสภาพว่าจะเป็นอย่างไร ตอนที่ผมไปคนไม่ค่อยเยอะครับ ถือว่าโชคดีมาก เพราะเห็นคนอื่นเล่าให้ฟังว่าที่เที่ยวในเมืองจีนหลายแห่งนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด ทำให้เที่ยวอึดอัด แต่ทริปนี้ ชิลมาก สบายๆ

IMG_8918

หลังจากดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติบนยอดเขาแห่งนี้แล้ว พวกผมก็นั่งกระเช้าลงมายังจุดแวะระหว่างทางครับ เพื่อนั่งรถบัสไปต่อที่ หุบเขาเทียนเหมินชาน สถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามอันดับต้นๆของเมืองจีน ถนนของเค้ามีโค้งเยอะมาก ประหนึ่งมังกรล้อมภูเขาเลย อ้อ รถบัสบริการฟรีนะครับ เย่ ไม่ต้องจ่ายตังค์เพิ่ม ดีใจจังเลย ฮ่าๆ

IMG_8931

เอาละสิครับ มาถึงทางเดินขึ้นหุบเขากันเสียที แต่ว่าบันไดขึ้นไปยังจุดปลายนี่เยอะมาก 999 ขั้น และชันมากด้วย และลื่นมากด้วยเช่นกัน เพราะฝนตก การเดินขึ้นไป แนะนำให้จับราวบันไดไว้ด้วยครับ อย่าประมาท เพราะถ้าพลาดตกลงมา ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตครับ ผมมีเวลาในการเดินขึ้นและลงรวมแล้วไม่ควรเกิน 40 นาทีครับ อยากจะบอกว่า เมื่อยน่องมาก เดินมาหลายวันไม่รู้สึกอะไร เพิ่งมารู้สึกเพราะการเดินขึ้นบันไดที่นี่แหล่ะครับ ไม่แนะนให้รีบๆเหมือนผมนะครับ ทรมานจริงๆ

แต่เมื่อไปถึงก็ประทับใจกับฉากตรงหน้าเช่นเดียวกันครับ เราจะมองเห็นวิวทิวทัศน์เบื้องล่างผ่านช่องภูเขานี้ ผมมองแค่ด้วยตาเปล่าครับ ถ่ายภาพมาไม่ไหว เมฆมันเยอะ ถ่ายออกมาก็ไม่สวย เลยไม่ถ่ายดีกว่า รอให้เพื่อนไปดูด้วยตาตัวเองเวิร์คกว่าครับ หลังจากที่อยู่บนยอดเขานี้ประมาณสิบนาที (ย้ำอีกครั้งว่าสิบนาที) ผมก็รีบเดินลงไปครับ เพื่อเตรียมตัวไปนั่งรถไฟไปเมืองฉางเต๋อ เมืองที่ผมเกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยิน บทความเรื่องหน้าจะพาไปดูว่าเมืองฉางเตอเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเจอกันใหม่นะคร้าบ ^^

The post แบกเป้เที่ยวจีน เที่ยวเหนือฟ้าที่เขาเทียนเหมินชาน appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/travel-in-china-at-tianmen-shan.html/feed 1