เที่ยวต่างประเทศ – Backpack Story https://backpackstory.com แบกเป้เที่ยวรอบโลก เก็บประสบการณ์การเดินทาง Sun, 07 Jun 2020 07:46:56 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.4.5 https://backpackstory.com/wp-content/uploads/2018/06/cropped-bp-32x32.png เที่ยวต่างประเทศ – Backpack Story https://backpackstory.com 32 32 My Day in Nepal #Chapter6 ลุยเมืองโพคารา ไปหาหิมาลัย https://backpackstory.com/my-day-in-nepal-chapter6-%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%9e%e0%b8%84%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%b2-%e0%b9%84%e0%b8%9b%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%ab.html https://backpackstory.com/my-day-in-nepal-chapter6-%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%9e%e0%b8%84%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%b2-%e0%b9%84%e0%b8%9b%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%ab.html#respond Sat, 27 Jan 2018 02:11:05 +0000 http://backpackstory.com?p=4771 ที่เที่ยวในกาฐมัณฑุ ผมว่าผมก็ไปมาแบบอิ่มแล้ว ผมจะไปดูเมืองอีกเมืองที่ห่างไป 200km สักหน่อยครับ ว่ากันว่าเป็นเมืองที่มีวิวสวยมาก เราจะเห็นภูเขาหิมะ เห็นทะเลสาบ และอากาศดีกว่าเมืองหลวงแห่งนี้ด้วย เมืองที่ว่าชื่อว่า Pokhara . เมืองนี้แม้จะอยู่ห่างไปแค่ 200km แต่ว่าการจราจรของที่นี่ทำให้มันต้องนั่งรถ 7 ชั่วโมงเลยครับ

The post My Day in Nepal #Chapter6 ลุยเมืองโพคารา ไปหาหิมาลัย appeared first on Backpack Story.

]]>
ที่เที่ยวในกาฐมัณฑุ ผมว่าผมก็ไปมาแบบอิ่มแล้ว ผมจะไปดูเมืองอีกเมืองที่ห่างไป 200km สักหน่อยครับ ว่ากันว่าเป็นเมืองที่มีวิวสวยมาก เราจะเห็นภูเขาหิมะ เห็นทะเลสาบ และอากาศดีกว่าเมืองหลวงแห่งนี้ด้วย

เมืองที่ว่าชื่อว่า Pokhara

เมืองนี้แม้จะอยู่ห่างไปแค่ 200km แต่ว่าการจราจรของที่นี่ทำให้มันต้องนั่งรถ 7 ชั่วโมงเลยครับ

จริงๆแล้วเราจะเดินทางด้วยเครื่องบินก็ได้นะครับ ถ้าเดินทางด้วยเครื่องบิน ตอนผมไปนั้นราคาอยู่ประมาณ $120 ซึ่งแพงม้าก! บินแค่ 25 นาทีเองนะ ฮ่าๆ ผมเลยเอาวะ นั่งรถบัสดีกว่า ตอนนี้เปย์ไม่ไหว อิอิ อ้อ แนะนำว่าถ้าจะบินจริงๆ ให้ไปซื้อผ่าน Agency จะถูกกว่าซื้อเองออนไลน์ครับผม

ผมจองรถบัสกับทางโรงแรมครับ โรงแรมก็บอกว่าถ้าเป็น Tourist Bus ก็มีสองราคา แบบแรกคือได้แค่ตั๋ว ไม่รวมค่าอาหาร ราคา 800 รูปี แบบที่สองรวมค่าอาหารเช้า กลางวัน 1,500 รูปี

ผมเลือกแบบแรกครับ อาหารเดี๋ยวหาซื้อกินเองได้

ผมนั่งไปกับรถบัสของบริษัท BABA ครับ ที่นี่รถจะออก 7:00 นะครับ ต้องรีบออกไปตั้งแต่เช้ามืดเลย แต่คำถามคือ แล้วจุดข้ึนรถอยู่ตรงไหน?

โชคดีที่เย็นก่อนหน้า ซานโตส พนักงานที่โรงแรมพาผมไปดูจุดขึ้นรถ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาโชว์แผนที่บอกผมครับ เขาบอกว่าเดินไปแค่สิบนาทีเอง แต่เราไม่เคยไปไงครับ เห็นแผนที่แล้วก็งง ย่ิงผมเดินไปดูเอง แล้วถามคนแถวนั้น ยิ่งบอกทิศคนละทิศคนละทางเลยครับ ซานโตสเลยบอกว่าเดี๋ยวเลิกงานเขาจะพาเดินไปทางลัดละกัน

ซึ่งก็จริงครับ ไปง่ายมาก แล้วก่อนหน้านี้ ยูบอกให้ไอไปไหนนน

“ก็ถนนหลักมันง่ายกับนักท่องเที่ยวไง” เขาบอกผม

โอเค งั้นไปถนนรองนี่แหละ เดินไปง่ายกว่าอีก ไม่ต้องเลี้ยวซ้าย แล้วขวา แล้วซ้าย แล้วขวา อันแค่เดินเลี้ยวขวา เจอเจดีย์ใหญ่ๆก็เดินเลี้ยวซ้ายอย่างเดียว ถึงถนนใหญ่เลย ง่ายกว่าเยอะ

ผมออกจากโรงแรมตั้งแต่ 6:30 น. ครับ เพราะว่าแม้จะรู้ว่าเดินไม่ได้ไกลมาก แต่ก็ชินว่าไปรอดีกว่าไปเลทแล้วตกรถ

ผมไปถึงที่จอดรถครับ ก็มีรถบัสจอดรอเพียบ แต่เราต้องดูว่าคันที่เราขึ้นนั้น เป็นของบริษัทไหน

“ดูป้ายทะเบียนรถก็ได้” ซานโตสบอกผม

“ผมอ่านไม่ออก” ผมบอกซานโตส

ใช่ครับ ที่นี่ใช้เลขทะเบียนเป็นภาษาเนปาล! เลขหนึ่งสองสามคืออะไรก็ไม่รู้!! ไม่ใช้เลขฮินดูอารบิค ดังนั้นการให้เราไปดูเลขทะเบียนรถ จึงไม่เกิดประโยชน์เลย

“Which company will you go with?” เสียงคนขายอาหารถามผม

“BABA”.ผมบอก

“This way. Come with me” เขาเรียกผม แล้วก็เดินพาไป แม้ผมจะบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเดินไปเองได้ เขาก็ยังจะพาไปครับ ซึ่งผมก็คิดว่า เดี๋ยวเขาก็จะเสนอขายของของเขานั่นแหละ แต่เอาวะ ไปก็ไป

ผมเดินไปจนถึงคันสุดท้ายเลยครับ ถึงเห็นรถของ BABA

“Kathmandu to Pokhara is a long way. You should buy some food and drink, sir”. นั่นไง เขาขายของแล้ว

ผมก็เลยอุดหนุน Sneaker กับน้ำดื่มขวดใหญ่ครับ ราคา 150 รูปี กับ 50 รูปี ก็ไม่ได้เป็นราคาแพงมากนะครับ ช่วยลุงแกหน่อย

ผมมองหาที่นั่งของผม หมายเลขที่นั่ง 26 ติดหน้าต่าง

ในตั๋วที่ผมได้มา มีแผนที่นั่งบนรถด้วยครับ

แต่ว่า… จำนวนที่นั่งกับแผนที่นั่งบนตั๋วไม่เหมือนกันจ้า อารมณ์ว่า บนตั๋วมี 30 แถว แต่ของจริง มีแค่ 26 แถวครับ! ผมเลยได้นั่งแถวท้ายสุดที่เป็นที่นั่งสี่ที่ติดกัน โอ้ย นอ เนปาล ฮ่าๆ

“It’s so crazy. My seat is also 25 but I get this seat” นักท่องเที่ยวหนุ่มคนหนึ่งพูดกับผม

“You look like Nepali” คุณตาชาวเนปาลหันมามองผม แล้วก็ทักขึ้น

ผมเริ่มชินแล้วแหละกับคำนี้

คุณตาถามว่ามาเนปาลครั้งแรกเหรอ ไปพักโรงแรมไหนในโพคารา ลุงมีโรงแรมแนะนำนะ แต่ผมบอกว่าผมจองไว้แล้วแหละครับชื่อว่า Blossom Hotel ลุงรู้จักไหม ลุงบอกว่ารู้จัก อยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบเท่าไหร่ โพคาราโรงแรมเยอะมาก

แต่นักท่องเที่ยวที่คุยกับผมก่อนหน้านี้ยังไม่ได้จองโรงแรม และพวกเขาก็นั่งติดกันด้วย ก็เลยบอกว่าเดี๋ยวจะไปลองดูโรงแรมที่คุณลุงแนะนำ

จากนั้น ก็กลายเป็นสามสหายสองวัยในทริปบนรถบัสครับ

คือผมชาวไทย แดเนียลมาจากมาเลเซีย อายุน้อยกว่าผมปีนึง และคุณลุงชาวเนปาล

สภาพการเดินทางไปโพคาราหรือครับ

ให้นึกภาพว่านั่งอยู่บนเก้าอี้นวดครับ ที่มันสั่นตลอดเวลา สั่นจนลำไส้ขยับไปหมด นั่นแหละครับ คือ 7 ชั่วโมงที่เราเผชิญ ทรหดอดทนมาก

เราแล่นพาเราออกไปเรื่อยๆ ผมก็นั่งดูวิวไปครับ จะหลับก็หลับไม่สนิท รถมันสั่นตลอด เอาวะ ครั้งหนึ่งในชีวิต

ผ่านไปสักพัก รถก็จอดให้เราเข้าห้องน้ำครับ จุดแรก ห้องน้ำ บรรลัยมากกกก มันก็สะอาดนะ แต่มันไม่อนามัย ผมก็รีบๆเข้าไปฉี่แล้วรีบเดินออกมา กลิ่นฉุนมาก

แล้วก็นั่งรถต่อ โยกเยกไปมา นึกว่าเจ้าเข้าทรง

ผ่านไปอีกสักสองชั่วโมง รถก็จอดครับ ให้เราลงไปทานข้าว

ที่ร้านนี้ขายแบบบัฟเฟต์ครับ กินไม่อั้น 400 รูปี แต่เอาจริงก็กินจานเดียวก็อิ่มแล้วแหละ ผมก็นั่งกินไปกับเพื่อนในทริปอีกสองคนคือแดเนียลกับคุณลุง

วันนี้สภาพอากาศไม่เต็มใจด้วยครับ หมอกลงจัดมาก มองไม่เห็นวิวสักเท่าไหร่ นี่ก็กลัวว่าไปถึงโพคาราแล้วเจอวิวแบบนี้ คงโอดครวญแย่ นั่งรถมาตั้งไกล หิมาลัยตูอยู่ไหน ฮ่าๆ

กินอิ่ม ก็ขึ้นไปเล่นโยกเยกบนรถอีกครับ โยกกันไปมาอีกราวสามชั่วโมง รถก็จอดอีก ให้ไปเข้าห้องน้ำครับ แล้วก็กลับมาโยกเยกอีก เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ

จุดสุดท้ายที่รถจอดคือกินอาหารเที่ยงครับ ร้านนี้จ่ายตามจริง แต่ผมไม่ได้กินครับ ยังไม่หิว สั่งแค่น้ำผลไม้ปั่น ที่นี่ปั่นแบบสดๆเลยคับ ไม่ผสมน้ำหวานแบบบ้านเรานะ อร่อยด้วย

คุณลุงบอกว่าอีกสองชั่วโมงเดี๋ยวก็ถึง

ผมก็ได้แต่ภาวนาว่าถึงเร็วๆเหอะ ข้างในปั่นป่วนหมดแล้วววว

และในที่สุดเราก็ไปถึงสถานีรถบัสเมืองโพคาราครับ เย่!

ผมลงจากรถบัส ยืดเส้นยืดสายนิดนึง แล้วก็ลาเพื่อนร่วมเดินทางทั้งสอง

โรงแรมที่ผมพักชื่อว่า blossom hotel ครับ เขาบอกว่า ถ้านั่งแทกซี่มา maximum คือ 300 รูปีนะ ผมก็จำไว้ให้ขึ้นใจ แล้วก็เดินถามพี่แทกซี่

500 รูปี! เขาตอบ

ผมไม่เอา ถามคันใหม่

400! ไม่เอา

เขาเลยถามว่าแล้วเท่าไหร่ ผมก็บอกว่า เต็มที่ 300 เขาก็เลยว่า ขึ้นมาเลย!

ระหว่างที่นั่งรถเขาก็ทักว่า

“Hello, my friend” ฮ่าๆๆ

แล้วก็ถามว่าพรุ่งนี้จะไปไหน สนใจจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Sarangkot ไหม สวยมากเลยนะ ผมก็ตอบว่าดูก่อน ถ้าอากาศเป็นแบบวันนี้จะไปดูอะไรเล่า

“ถ้ายูจะไป ไปอย่างเดียวคิด 1,000 ไปกลับก็ 2,000 รูปีนะ ผมรอรับส่งด้วย” เขาบอก

“แต่ถ้าคุณไป เดี๋ยวผมลดให้ เหลือ 1,500 รูปี” ผมก็บอกว่าเดี๋ยวคิดดูอีกที สภาพอากาศแบบนี้ผมไม่อยากไปเสี่ยงสักเท่าไหร่ เพราะผมก็วางแผนว่าจะอยู่เมืองนี้ตั้งหลายวัน ไม่ได้รีบร้อน เขาก็บอกว่าถ้าจะไปติดต่อเขานะ แล้วให้เฟสบุคไว้

เมื่อถึงโรงแรม พนักงานที่นี่ก็แบบดูแลดีมากครับ เป็น Guest House ที่ผมโคตรแนะนำให้ไปพัก ไปเหอะ มันดีมากมากกก ห้องดีมาก โลเคชั่นดีมาก พนักงานดีมาก น้ำที่อาบก็พุ่งแรงสะใจมาก ผมไม่มีเหตุผลที่ไม่ชอบที่นี่เลย อ้อ พนักงานบอกว่า ถ้าจองผ่าน booking จะแพงกว่าเดินมาจองเองคับ แต่ก็นั่นแหละ ที่นี่ดีมาก คนเลยแห่มาพักกันเยอะ วันหลังๆ มาก็มีคนมาแล้วไม่ได้ห้องเพียบครับ

ผมถามอีกว่าถ้าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Sarangkot ค่าแทกซี่ราคาเท่าไหร่ เธอก็บอกว่า ไปกลับ 1,500 รูปีค่ะ ได้ยินแล้วก็นึกถึงคนขับแทกซี่ที่บอกว่า ไปกลับ 2,000 แต่ลดให้เหลือ 1,500 มันลดตรงไหน! ฮ่าๆ ดังนั้น บายๆ ครับ ผมไม่ชอบคนทริคกี้ พอรู้เรทแล้ว เดี๋ยวค่อยไปหาเอาเอง

หลังจากที่จัดข้าวของบนห้องเสร็จแล้ว ผมก็เดินลงมาเก็บภาพริมทะเลสาบครับ ด้วยความที่สภาพอากาศมันไม่แจ่มใส ทำให้วิวที่เห็นมันก็ไม่สวยเท่าใดนัก ประกอบกับเพิ่งจะเดินทางมานาน ก็เพลียหน่อยๆ

เดินไปเดินมา

“Hey man!” เสียงแดเนียลดังขึ้น

เราเจอกันโดยบังเอิญอีกครั้งริมทะเลสาบ

ผมเลยถามว่าเป็นไง พักที่ไหน เขาก็บอกว่าพักกับโรงแรมที่คุณลุงแนะนำนั่นแหละ แม่งโคตรไกลเลย แล้วผมละที่พักเป็นไงบ้าง ผมก็บอกว่า แม่งโคตรดีเลย เขาก็เลยบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เขาไปพักโรงแรมเดียวกับผมดีกว่า

การเจอกันครั้งที่สอง ย่อมเป็นวาสนา เราเลยแลกเฟสบุคกัน แดเนียลถามว่า พรุ่งนี้เราไปเดินดู Peace Stupa กันไหม

ผมว่าไปก็ไปดิ จะได้หารค่าเรือกันด้วย

วันนี้ผมเลยไม่มีภาพแจ่มๆมาฝากสักเท่าใดนัก แต่ก็ภาวนาว่า พรุ่งนี้ขอให้ฟ้าเปิดด้วยเถิด อยากชมบ้านเมืองนี้ในวันที่ฟ้าแจ่มใส จะได้ดูว่ามันสวยสมคำร่ำลืมหรือเปล่า

วันรุ่งขึ้น ผมรีบตื่นแต่เช้า เพื่อจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ริมทะเลสาบ เพราะเมื่อคืนผมหาข้อมูลในเน็ต เขาว่าพระอาทิตย์ขึ้นริมทะเลสาบเราจะเห็นภูเขาหิมะสะท้อนแสงยามรุ่งอรุณด้วย

ผมเดินดุ่ยๆไปเพียงลำพัง มันเงียบสงัดมาก มีนักท่องเที่ยวน้อยมากครับ ผมเห็นบรรดาหนุ่มน้อยนักกีฬา (เดาจากชุด) ใส่กางเกงขาสั้นมาวิ่งรอบๆทะเลสาบ แล้วก็เจอนักท่องเที่ยวที่มาแบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวเนปาล เราก็ทักทายกันพอหอมปากหอมคอครับ

วันนี้ท้องฟ้าก็ไม่แจ่มใสครับ ผมก็ไปเก็บภาพมาสักหน่อยนึง ถ่ายแล้วก็ได้แต่ถอนใจ เที่ยวธรรมชาติก็ต้องพึ่งดวงค่อนข้างเยอะ ถ้าฟ้าไม่เปิดก็จบเห่เลย

ผมเดินกลับโรงแรม แล้วก็เห็นแดเนียลนั่งที่ล็อบบี้ เขามาเช็คอินที่โรงแรมนี้ และบอกผมว่า เดี๋ยวออกไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน

ผมก็พยักหน้าและบอกว่า รอผมก่อนละกัน ขอไปอาบน้ำก่อน แล้วก็นัดแนะเวลากัน

พวกเราเดินไปยังร้านอาหารเนปาลครับ ที่นี่อาหารก็ไม่แพงมากนะ แม้จะเป็นราคานักท่องเที่ยว แต่มันก็เท่าๆอยู่ กทม อ่ะคับ 60-150 บาท โดยประมาณ ก็รับได้อยู่

ทีนี้พอมาเที่ยวกันสองคน มันก็จะมีปัญหาเรื่องตอนจะกินข้าวครับ การเลือกร้านกินข้าวค่อนข้างจะลำบาก เราเลยตั้งกฏว่า จะให้อีกฝ่ายเลือกร้านคนละมื้อ

ผมกิน Thukpa ครับ เป็นอารมณ์ก๋วยเตี๋ยว อร่อยดีครับ แบบที่ผมสั่งเป็น Mixed Thukpa ก็จะมี Mo Mo มาด้วย คุ้มค่ามาก

กินเสร็จก็ไปเดินถ่ายภาพแถวทะเลสาบอีกเช่นเคย เพื่อฆ่าเวลาครับ เพราะวันนี้ตอนเย็นเราตั้งใจว่าจะไปเดินขึ้น Stupa บนยอดเขาอันหนาวเหน็บกัน

ริมทะเลสาบมีร้านให้เช่าเรืออยู่สามร้านครับ แต่ละร้านราคาไม่เท่ากันด้วย

เราเลือกร้านที่ราคาถูกสุด ฮ่าๆ

ราคา 800 รูปีพร้อมคนพายเรือครับ

คนพายเรือถามพวกเราว่ามาจากไหน พอรู้ว่าเพื่อนผมมาจากมาเลเซีย แกก็คุยภาษามาเลเต็มสตรีมเลยครับ ผมก็พอฟังรู้เรื่อง ว่าลุงแกเคยไปทำงานเป็นยามที่นั่น

ลุงจอดเรือ แล้วบอกว่า จะรอที่นี่นะ

สถูปที่ว่าต้ังตระหง่ายอยู่บนยอดเขาครับ ผม เราใช้เวลาเดินทาง 45 นาที ในการเดินขึ้นไปตามบันไดธรรมชาติที่สูงต่ำไม่เท่ากัน ปวดขามากบอกเลย ฮ่าๆ

ยิ่งเดินเยอะ ยิ่งกระหายน้ำครับ แนะนำมากว่าให้เอาน้ำติดตัวไปด้วย ช่วยชีวิตได้เยอะมาก

ตอนนั้นผมได้แต่คิดในใจ ใครกันวะที่เป็นคนต้นคิดสร้างวัดวาอารามให้ลำบากลำบนแบบนี้!! แต่ก็แอบหวังนะครับว่า เมื่อไปถึงด้านบน อากาศก็น่าจะดี ให้สมกับความเหนื่อยล้า หิมาลัยต้องมาเปิดตัว!

แต่ปรากฎว่า เมื่อถึงด้านบน ในสภาพลิ้นห้อย ท้องฟ้าปิดจ้าาาา จ้าาา จ้าาาาาา

หิมาลัยไม่ใครจะถูกรบกวนสินะ

โพคาราวันที่สอง ก็เป็นเช่นนี้แล

The post My Day in Nepal #Chapter6 ลุยเมืองโพคารา ไปหาหิมาลัย appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/my-day-in-nepal-chapter6-%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%9e%e0%b8%84%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%b2-%e0%b9%84%e0%b8%9b%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%ab.html/feed 0
ตะลุยเวียดนามตอนที่สอง หนาวนี้ที่ดาลัด https://backpackstory.com/%e0%b8%95%e0%b8%b0%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%aa%e0%b8%ad%e0%b8%87.html https://backpackstory.com/%e0%b8%95%e0%b8%b0%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%aa%e0%b8%ad%e0%b8%87.html#comments Mon, 31 Mar 2014 16:43:02 +0000 http://backpackstory.com/?p=406 ตอนที่สองนี้จะเป็นเรื่องราวการเดินทางเที่ยวเวียดนามแบบไร้การวางแผน ทุกก้าวคือประสบการณ์แบบสดๆครับ ตอนนี้ผมมาถึงเมืองดาลัดเรียบร้อยแล้ว ใช้เวลานั่งรถนอนจากเมืองโฮจีมินห์มาที่เมืองดาลัดประมาณ 7 ชั่วโมงครับ มาถึงตอน 5:3o น. โอ้โห อากาศต่างกันราวฟ้ากับเหว ที่นี่หนาวม้าก ดีนะที่ผมเตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วย

The post ตะลุยเวียดนามตอนที่สอง หนาวนี้ที่ดาลัด appeared first on Backpack Story.

]]>
ตอนที่สองนี้จะเป็นเรื่องราวการเดินทางเที่ยวเวียดนามแบบไร้การวางแผน ทุกก้าวคือประสบการณ์แบบสดๆครับ ตอนนี้ผมมาถึงเมืองดาลัดเรียบร้อยแล้ว ใช้เวลานั่งรถนอนจากเมืองโฮจีมินห์มาที่เมืองดาลัดประมาณ 7 ชั่วโมงครับ มาถึงตอน 5:3o น. โอ้โห อากาศต่างกันราวฟ้ากับเหว ที่นี่หนาวม้าก ดีนะที่ผมเตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วย

ผมไม่ได้จองโรงแรมล่วงหน้านะครับ แต่ก็ระหว่างนั้นผมก็นั่งเล่นเน็ตดูราคาโรงแรมใน agoda  ไปพลางๆ อือ ราคาก็ไม่ได้แพงมาก แต่ก็คิดไว้ว่าเดี๋ยวจะไปเดิน Walk in หาดูอีกทีก็ได้ ทริปนี้เราชิลอยู่แล้วนี่นา อ้อ ผมซื้อซิมเล่นเน็ตของ mobiphone นะครับ ไม่แพง ประมาณร้อยกว่าดอง เน็ตแรงดีใช้ได้เลยครับ

IMG_5648

ตอนนั้นผมเดินออกมาที่นอกอาคารสถานี โอ้โห แสงยามเช้าสวยมาก โคตรชอบเลย ท้องฟ้าเล่นสีสันหลากหลายสี ฉากหน้าเป็นอาคารทรงยุโรป ริมทางเป็นต้นสนภูเขา ผมนึกว่าไปอยู่ยุโรปนะเนี่ย อากาศยิ่งหนาวๆอยู่ ว่าแล้วก็ไปนั่งแท็กซี่เข้าไปยัง Dalat city ครับ เจรจาราคาได้ 50,000 VND ก็บอกเค้าไปว่า ไปที่พักที่ดีๆ แพงไม่ว่าขอแบบดีไว้ก่อน แต่เค้าก็ดูไม่ค่อยเข้าใจ ก็เลยอือออ ขอให้ไปถึงก็พอ ฮ่าๆ

พอไปถึงครับ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องที่พัก เพราะที่นี่มีที่พักเยอะมาก แค่เห็นพวกเราแบกเป้ เค้าก็กุลีกุจอมาขายห้องพักแล้วครับ มีราคาหลากหลายมาก แล้วแต่จะเลือกใช้บริการตามจำนวนงบในกระเป๋า ผมเดินดูสักพัก ก็เลยแวะที่โรงแรม  Mai Mai Hotel ครับ สภาพห้องโอเคนะ มีหน้าต่าง มองเห็นวิวด้วย เค้าขายที่ 300,000 VND ต่อคืน แต่ผมก็ต่อราคาดูครับว่า ลดลงหน่อยได้ไหม เค้าก็เลยให้ที่ 250,000 VND จริงๆ คนเวียดนามใจดีมากนะครับ เป็นมิตรมาก ตลอดทริปผมหลงรักประเทศนี้ไปเลยแหล่ะ ประทับใจมาก อยากกลับไปอีก

IMG_6300

หลังจากเช็คอินอะไรเรียบร้อยแล้ว ก็หาอาหารทานกันครับ อาหารเวียดนามอร่อยมาก ตอนแรกผมกังวลเรื่องอาหารนะ เพราะที่เมืองไทย อาหารเวียดนามก็หนีไม่พ้นแหนมเนือง ซึ่งผมก็ไม่ค่อยสันทัดกับการมานั่งกินผักแบบนั้น แต่ที่ไหนได้ พอไปจริงๆ มีเนื้อ ไก่ ปลา ให้เราเลือกสรรกันเต็มที่ ราคาก็ไม่แพงเลยครับ 30,000 VND ขึ้นไป ซึ่งก็ราคาเท่าๆเมืองไทยนั่นแหล่ะ กินอยู่สบาย

IMG_5588

กินเสร็จ ก็มาเช่ามอเตอร์ไซด์ที่โรงแรมนั่นแหล่ะครับ เค้าบอกว่า 100,000 VND ต่อวัน ผมก็ต่อราคาอีกครับ ได้ที่ 80,000 VND ต่อวัน รถที่นี่เติมน้ำมันเองนะครับ จากนั้นผมกซื้อแผนที่เที่ยวในโรงแรมครับ ราคา 10,000 VND คือแบบว่าประเทศนี้แผนที่ก็มีแต่ภาษาเวียดนาม ไม่เป็นไร ดูชื่อเอากับรูป เดี๋ยวค่อยคลำทางไป ว่าแล้วก็แว๊นมอเตอร์ไซด์ไปเที่ยวกันเลยครับ

IMG_5709

ที่ดาลัดจะมีทะเลสาบกว้างใหญ่มาก น้ำก็ใสดี ควรใช้เวลายามเย็นหรือยามเช้าที่นี่ให้เต็มที่ครับ เอ็นจอยกับธรรมชาติไป หลังจากถายภาพเสร็จแล้วผมก็ขับมอไซด์ไปต่อที่สวนดอกไม้ครับ โดยส่วนตัวผมชอบสวนดอกไม้ที่นี่มากกว่าที่สิงคโปร์อีกนะครับ มันดูสวยและไม่เฟค ราคาเข้าชมก็ไม่แพงหูฉี่เหมือนสิงคโปร์ด้วย ราคาน่าจะประมาณ 20,000 VND ครับ

IMG_5747

ที่นี่มีดอกไม้หลากหลายสีสันมาก ชอบเลย ชอบทุกอย่าง! เป็นทริปที่ไม่คาดหวัง แต่ก็ชอบจนไม่รู้จะพรรณาอย่างไร ฮ่าๆ คือผมคิดว่าผมไปอยู่ยุโรปจริงๆนะ อากาศก็เย็นๆสบายตัวครับ เที่ยวดูต้นไม้ ดอกไม้ไป

IMG_5773

สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปนะ เชื่อเลยว่าคุณต้องหลงรักที่นี่แน่ๆ เพราะเค้าจัดดอกไม้ได้หลากสี และมีมุมน่าถ่ายรูปเต็มไปหมด การได้ออกเดินทางมันก็สอนอะไรหลายๆอยางนะครับ อย่างเช่นทริปนี้ก็ทำให้ผมรู้ว่า บางครั้งการเดินทางแบบไม่คาดหวัง เราก็มักจะได้ประสบการณ์เกินความคาดหมาย

IMG_5848

ที่นี่ถ้าเรามาตรงกับช่วงดอกไม้สีขาวบาน ผมว่าคงไม่ต่างอะไรจากเทศกาลชมซากุระที่ญี่ปุ่น ตอนที่ผมไปมันเริ่มร่วงกันแล้วครับ แต่ก็ยังสวยนะ ต้นไม้ที่มีดอกสีขาว ยาวตลอดแนวฝั่งถนน โรแมนติกมาก ฮ่าๆ

IMG_5861

อิ่มหนำกับการดูดอกไม้แล้ว จากนั้นไปยังจุดท่องเที่ยวถัดไปครับ เป็นวัดและน้ำตก จริงๆตรงนี้มีกระเช้าด้วยนะครับ แต่ผมเห็นแล้วรุ้สึกว่าไม่ฟิน เลยข้ามไป แต่ใครยังไม่เคยนั่งกระเช้าจะลองมานั่งดูก็ได้นะ แต่ผมเคยนั่งที่เมืองจีนและสิงคโปร์แล้ว ก็เลยไปทำกิจกรรมอย่างอื่นดีกว่า

IMG_5894

ผมไม่แน่ใจว่าคนเวียดนามเค้านับถือพุทธเหมือนบ้านเราไหม ไม่เห็นมีพระเลยครับตามท้องถนน วัดนี้ดูลักษณะแล้วเหมือนของมหายานครับ ชอบวัดนี้มาก เค้าอยู่บนเขา มีเสียงกังวาลของระฆัง (จริงๆเรียกว่าอะไรไม่รุ้ มันเป็นบ้องๆ เหมือนโมบาย พอลมพัดมาก็จะมีตัวที่อยุ่ตรงกลางเคลื่อนไปกระทบ เกิดเสียงดนตรีตามธรรมชาติ ฟังแล้วเกิดความรู้สึกสงบมาก)

IMG_5941

หลังจากเที่ยววัดเสร็จก็ต่อที่น้ำตก Da tan la ครับ บังคับว่าต้องไป เพราะน้ำตกสวย และมีเครื่องเล่นให้เล่นด้วย เป็นรถโรลลิ่ง ไปนั่งเหอะ ไม่กี่บาท ไปเที่ยวอย่าไปเสียดายเงินไม่กี่สิบบาทหรือหลักร้อยสองร้อย ค่าตั๋วเดินทางไปต่างประเทศตั้งแพง จะมามัวตระหนี่กับเรื่องพวกนี้ผมว่าพลาดครับ ฮ่าๆ

IMG_6020

เที่ยวเสร็จ ก็ลัดเลาะกลับเข้าตัวเมืองครับ ไปดูโบสถ์ในเมือง สวยยยยย ชอบอีกแล้ว ฮ่าๆ

IMG_6110

จากนั้นก็ไปต่อที่ Crazy House ไปดูว่ามันเครซี่อย่างไร พอไปถึง อึ้งกิ่มกี่ บ้านที่น่าสนใจที่สุด คิดได้ไง ออกแบบได้หลุดโลก แนะนำว่าต้องไป เพราะมันคุลเวอร์ๆ

IMG_6201

จริงๆบรรยากาศในบ้าน Crazy House มีอะไรมากกว่านี้นะครับ แต่คิดว่าลงภาพเพียงบางส่วนดีกว่า อยากให้ไปเห็นกับตาตัวเอง ผมเชียร์เลยว่าไปถึงแล้วควรไปให้ได้ เพราะมันน่าทึ่งในเชิงสถาปัตยกรรม แถมสามารถเดินเหินปีนป่ายทะลุห้องนั้นห้องนี้ จนไปอยู่บนหลังคาตั้งแต่เมื่อไหร่ กลายเป็นจุดชุมทาวน์วิวไปอีกแบบ ห้ามพลาด

IMG_6436

มาดูวันที่สองของการใช้ชีวิตในดาลัดกันครับ

วันที่สองนั้นผมกับเพื่อนเที่ยวกันแบบชิลๆ เน้นแว๊นมอเตอร์ไซต์ตะลุยนอกเมืองดาลัด โดยตั้งใจว่าจะไปที่น้ำตกที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในเวียดนามใต้ พอถามพนักงานที่โรงแรมเค้าก็บอกว่าไกลมาก ราว 20 กิโลเมตร เอ๊ะ ยี่สิบกิโลนี่ไม่ไกลนะ พอไปทานข้าวถามคนขายอาหาร เค้าก็บอกว่าไกลมาก ราวก 30 กิโลเมตร อืม มาตรวัดที่นี่แลดูใกล้เคียงกันมาก ฮ่าๆ แต่ก็ไม่ถือว่าไกลสำหรับพวกผม กินข้าวเสร็จ บิดมอไซด์ไปน้ำตกเลยครับ

IMG_6450

ระยะทางไปถึงน้ำตก โอ้โห ไกลมากกกกก ผมว่าน่าจะ 50 กิโลเมตรได้ แถมเป็นการเดินทางในเวียดนามถนนไม่ได้สะดวกตลอดการเดินทางครับ เพราะมีทั้งขึ้นเขา ลงเขา ทางโค้ง แต่ริมทางก็สวยดีนะครับ

ระหว่างที่เดินทาง มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดครับ! 

ตอนที่อยู่ที่ดาลัด ผมเช่ารถมอเตอร์ไซต์ครับเพื่อไปยังน้ำตกที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเกือบ 50 กิโลเมตร แล้วรู้ไหมครับว่า ขับไปได้ราว 30km. รถมอไซตด์ยางแตก เพราะไปเหยียบโดนอะไรสักอย่าง ตอนนั้นก็ตกใจกันครับ ทำอย่างไรดี? ผมกับเพื่อน (ทริปนี้ไปกันสองคน) เลยแวะเข้าร้านอาหารข้างทาง เค้าก็คุยภาษาอังกฤษไม่เก่งครับ สื่อสารกันสักพัก เค้าบอกว่าร้านซ่อมต้องขับย้อนไปในตัวเมืองประมาณ 2km. แต่สักพักเค้าเห็นพวกเราทำหน้างงๆ คือจะหาเจอไหมละ คนประเทศนี้ยิ่งได้ภาษาอังกฤษกันน้อย เค้าเลยทำท่าทางประมาณว่า รอสักครู่ แล้วก็หยิบมือถือมาโทร คุยเสร็จก็บอกพวกเราว่า เดี๋ยวเค้าจะเอารถไปซ่อมให้เอง ให้พวกผมดื่มน้ำดื่มท่ารอละกัน แบบโอ้โห! ซึ้งในน้ำใจมากครับ

IMG_6470

ผ่านไปราวสี่สิบนาที เค้าก็ขับรถมอเตอร์ไซด์ของพวกเรามาคืน พร้อมกับบอกว่าคงเหยียบโดนตะปู มันรั่วไปสองรูเลย ตอนนี้เค้าให้ร้านเปลี่ยนให้แล้ว ค่าซ่อมและค่ายางใน 50,000 ดอง (ประมาณ 80 บาท) ตอนนั้นได้แต่ขอบคุณๆ เค้าก็บอกว่ายินดี และขอให้สนุกกับการเดินทาง

IMG_6471

นี่แหล่ะครับ น้ำใจของเจ้าบ้านที่ดี ก่อนหน้านี้ผมได้ยินมาว่าระวังนะคนเวียดนามขี้โกง มองเราเห็นเป็นเงินเป็นทองไปหมด แต่ที่ผมเจอมา เกือบร้อยเปอร์เซ็นล้วนเป็นคนดีมีน้ำใจมากครับ

พอไปถึงน้ำตก โอ้โห แห้งแล้งครับ! ฮ่าๆ แต่ก็ได้บรรยากาศอีกแบบนะ เหมือนไปสามพันโบกในเมืองไทย ผมชอบอยู่นะ แต่อากาศก็ร้อนไปหน่อย แนะนำว่าให้ทาครีมกันแดดด้วยก็ดีครับ เพราะเมืองนี้อยู่นอกเขตเมืองดาลัดแล้ว

กลับมายังที่พักผมก็กระหน่ำกินกันจุมากๆ ระยะห่างระหว่างอาหารแต่ละอย่างประมาณ 15 นาทีครับ ก็แหม่ อาหารที่นี่ถูกปากซะขนาดนี้ แม้ผมจะตัวผอมแต่ก็ไม่เคยแพ้เรื่องการกินอยู่แล้ว ไล่ตั้งแต่กินเฝอ กินไก่ย่าง กินเนื้อย่าง หมูย่าง ของหวาน มันเผา ฮ่าๆ

IMG_6788

เช้าวันรุ่งขึ้นก็ออกไปเดินตลาดครับ ผมชอบเดินตลาดนะ มันได้เห็นวิถีชีวิตของคนจริงๆ ไปดูว่าเค้าซื้ออะไรขายอะไร มันดูมีชีวิตดีครับ ผมได้เห็นผักผลไม้แปลกๆหลายอย่าง เช่นดอกอติโชค ก็เป็นพืชชนิดใหม่ที่ผมเพิ่งเคยได้ยินตอนมาเวียดนามนี่แหล่ะครับ

IMG_6799

ผมออกมาเดินคนเดียวครับ ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ สนุกดี อากาศที่ดาลัดดีจริงๆ ไม่ร้อนเลย เย็นสบายมาก หลงรักเลยครับ

IMG_6845

คนเวียดนามเค้าไม่ได้มีรายได้สูงอะไรเลยนะครับ จากการเฝือกของผม ฮ่าๆ ผมสอบถามหลายๆคนมา ก็เห็นมีรายได้ประมาณสี่ห้าพันต่อเดือนครับ ไม่ถือว่าเยอะเท่าไหร่ แต่พวกเค้าก็ทำมาหาเลี้ยงชีพสุจริตกัน ไม่ค่อยเจอขอทานเหมือนประเทศไทยเท่าไหร่ครับ

IMG_6878

ถ่ายภาพสนุกจริงๆครับ เดินเพลินกันเลยทีเดียว อยากจะให้ทุกท่านได้มาสัมผัสด้วยตัวของตัวเองนะครับ ผมเชื่อว่าคุณจะหลงเสน่ห์เมืองนี้ไม่แพ้ผมหรอก ไปแล้วก็ยังกลับไปอีก เนี่ยระหว่างเขียนอยู่นี้ผมก็ยังอยากกลับไปนะ ฮ่าๆ ชอบจริงๆ

IMG_6903

ถ่ายภาพจนพอประมาณแล้ว ผมต้องรีบออกไปหาข้าวเช้าทานแล้วแหล่ะครับ ผมแวะที่ร้านคุณลุงที่อยู่ใกล้ๆที่พัก คุณลุงท่านอัธยาศัยดีนะครับ ชวนคุย สอนคำศัพท์เกี่ยวกับอาหารให้ด้วย เช่นคำว่า กอม แปลว่า ข้าว กา แปลว่าไก่ ฮิว แปลว่าหมู บอ แปลว่าเนื้อ คุณลุงเคยมาทำงานที่เมืองไทยด้วย เลยพูดไทยได้นิดหน่อย (นิดหน่อยจริงๆ ฮ่าๆ) ร้านอาหารคุณลุงสะอาด และอาหารอร่อยด้วยครับ ผมไปใช้บริการร้านคุณลุงบ่อยเลยแหล่ะตอนที่อยู่ดาลัด

IMG_6905

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ที่ดาลัดแล้วครับ ตอนเที่ยงครึ่งรถทัวร์จะมารับไปที่เมืองมุยเน่ สำหรับตอนต่อไปผมจะพาไปเที่ยวเมืองมุยเน่ครับ ไปดูว่าเมืองนี้มีอะไรดี ที่ผมไปเห็นแล้วโคตรตื่นเต้นไม่แพ้กัน แล้วเจอกันตอนหน้าครับ 🙂

The post ตะลุยเวียดนามตอนที่สอง หนาวนี้ที่ดาลัด appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/%e0%b8%95%e0%b8%b0%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%aa%e0%b8%ad%e0%b8%87.html/feed 1