ตุรกี – Backpack Story https://backpackstory.com แบกเป้เที่ยวรอบโลก เก็บประสบการณ์การเดินทาง Sun, 14 Jun 2020 03:13:54 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.4.5 https://backpackstory.com/wp-content/uploads/2018/06/cropped-bp-32x32.png ตุรกี – Backpack Story https://backpackstory.com 32 32 แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที่ 4 นี่มันเมืองในเทพนิยายชัดๆ Goreme และ Cappadocia https://backpackstory.com/backpack-to-turkey-part-4-drive-to-travel-in-goreme.html https://backpackstory.com/backpack-to-turkey-part-4-drive-to-travel-in-goreme.html#respond Sat, 13 Jun 2020 17:07:04 +0000 https://backpackstory.com/?p=6780 กลับมาแล้วครับผม หลังจากที่ดองบล็อกไปนานมาก ผ่านมาเป็นปีถึงได้เขียนต่อ เพราะช่วงนี้คือสถานการณ์โควิด ผมก็ใช้ชีวิตอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งระหว่างที่นั่งเขียนบล็อกนี้ คิดได้ว่า ควรจะเขียนเรื่องราวการเดินทางในตุรกีต่อนะ เพื่อนร่วมทริปก็ยิกๆว่า เขียนต่อได้แล้ว จะอ่าน ฮ่าๆ งั้นมาลุยกันต่อครับผมว่า การเดินทางทริปเมืองสองทวีปนี้ดีงามแค่ไหน

The post แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที่ 4 นี่มันเมืองในเทพนิยายชัดๆ Goreme และ Cappadocia appeared first on Backpack Story.

]]>
กลับมาแล้วครับผม หลังจากที่ดองบล็อกไปนานมาก ผ่านมาเป็นปีถึงได้เขียนต่อ เพราะช่วงนี้คือสถานการณ์โควิด ผมก็ใช้ชีวิตอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งระหว่างที่นั่งเขียนบล็อกนี้ คิดได้ว่า ควรจะเขียนเรื่องราวการเดินทางในตุรกีต่อนะ เพื่อนร่วมทริปก็ยิกๆว่า เขียนต่อได้แล้ว จะอ่าน ฮ่าๆ งั้นมาลุยกันต่อครับผมว่า การเดินทางทริปเมืองสองทวีปนี้ดีงามแค่ไหน

หลังจากที่พวกเราเที่ยวเมืองอิสตันบูลแล้ว เราก็วางแผนว่าจะไปต่อที่เมือง Goreme ครับ เมืองนี้มีจุดเด่นคือภูมิประเทศที่เป็นเหมือนเขาหิน แล้วก็มีคนเจาะหินอยู่ ดูแล้วมันน่าตื่นตาตื่นใจมาก คืนนั้นเรานอนกันไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องรีบตื่นมาราวตี 3 เพื่อที่จะได้รีบล้างหน้าล้างตาไปที่สนามบิน เตรียมบินต่อไปเมือง Goreme โดยสายการบิน Turkish Airline ครับ สายการบินนี้บินในประเทศราคาถูกมาก เป็นมิตรมาก (ณ วันที่ผมไป) ใครมีเวลาไม่มาก บินข้ามเมืองเลยครับ เอาเวลาที่เหลือไปเที่ยวที่นั่นดีกว่าเนาะ

สำหรับการเที่ยวในเมืองนี้ ผมกับเพื่อนตกลงกันว่า เราจะเช่ารถพร้อมขับเที่ยวกันครับ จะได้ไม่ต้องรีบมาก อยากจอดตรงไหนก็จอดไปตรงไหนก็ไป และคำนวณดูแล้ว มันประหยัดด้วยครับผม

แต่ว่าเมื่อเราบินมาถึงสนามบิน บริษัทที่เราจองรถไว้บอกว่าจะมารอที่สนามบินครับ ซึ่งเราก็หาไม่เจอ ที่สนามบินไม่มีสำนักงานของบริษัทนี้ด้วย เราเสียเวลากันพอสมควรในการตามหาคนจากบริษัท ทั้งถามพนักงานสนามบิน ก็ไม่ได้ผลครับ เราเลยตัดสินใจเดินออกมาหาด้านนอกอีก จนสุดท้ายก็เจอคนจากบริษัทเช่ารถครับ เค้าไม่ได้ดูกระตือรือร้นมองหาพวกเราเลย เขาบอกว่า บริษัทเค้าไม่มีออฟฟิศที่นี่ เดี๋ยวขึ้นรถไปกับเค้าไปเอารถกัน 

พอไปถึง และเห็นสภาพรถ ความผิดหวังพุ่งขึ้นสูงมากครับ เป็นรถที่กล้าเอามาให้ลูกค้าใช้ได้อย่างไร มันสกปรกมาก สภาพเหมือนเพิ่งไปออกรบ เต็มไปด้วยฝุ่นและคราบบุหรี่ แถมน้ำมันไม่มีอีกจ้า แปลกดี ปกติเคยเจอคือเค้าจะเติมเต็มถังแล้วเราไปเติมกลับตอนมอบรถ แถมให้รถไม่ตรง spec ด้วยครับ แต่วันนั้น อารมณ์แบบ เออ พยายามมองข้ามไปครับ แต่แนะนำว่าให้ใช้บริการบริษัทอื่นแทนน่าจะดีกว่าที่ผมใช้นะครับ ผมรีวิวไว้ด้านล่างครับผม

รีวิวประสบการณ์เช่ารถขับที่ตุรกี

เนื่องจากผมและเพื่อนๆเดินทางเที่ยวเอง ไม่ได้ใช้บริการทัวร์ เลยตั้งใจว่าจะเช่ารถขับที่เมือง Cappadocia เพื่อความสะดวกในการเดินทาง
โดยรับรถที่สนามบิน Kayseri และคืนที่โรงแรมในเมือง Goreme

ครั้งนี้ได้เลือกใช้บริการของบริษัท NOKTA Rent A Car
เช่ารถ Hyundai i20 รวมทั้งซื้อประกันแบบครอบคลุมทุกอย่างและจ่ายค่า Drop Charge ตั้งแต่ตอนจอง

และแล้วความไม่ประทับใจก็เริ่มขึ้น
พอเดินทางไปถึงสนามบินปรากฎว่าไม่มีเคาน์เตอร์ของบริษัทนี้ที่สนามบิน
พวกเราเดินหาอยู่นานถึงเจอคนของบริษัทรถมาถือป้ายชื่อรออยู่ตรงทางออก
จากนั้นเขาก็ให้ขึ้นรถเพื่อเดินทางไปบริษัทที่อยู่นอกสนามบิน โอเคอันนี้รับได้ไม่เป็นไร

เมื่อไปถึงบริษัทก็แสดงหลักฐานการจอง ใบขับขี่สากลรวมถึงหลักฐานอื่นๆ เจ้าหน้าที่ก็จะขอบัตรเครดิตเพื่อรูดกันวงเงินมัดจำไว้ 100 ยูโร
แต่!! จะรูดเก็บค่า Drop Charge เพิ่มอีก 20 ยูโร
คราวนี้ผมก็ไม่ยอมสิครับเพราะจ่ายมาตั้งแต่ตอนจองแล้ว เลยเถียงกันอยู่สักพักเขาก็ยอมด้วยหลักฐาน (เรื่องนี้รับไม่ได้ ถ้าคนที่สื่อสารไม่ได้หรือเตรียมหลักฐานไม่พร้อมคงโดนโกง)
หลังจากเคลียร์เงินและหลักฐานเรียบร้อยก็ถึงเวลารับรถที่เช่าไว้
ความเลวร้ายอีกหลายๆอย่างก็เริ่มปรากฎ

เริ่มจากรถที่ส่งมอบเป็น Hyundai Accent ซึ่งใช้น้ำมันดีเซล ไม่ใช่ i20 ใช้เบนซินตามที่จองไว้ แต่เนื่องจากเห็นว่าเป็นรถขนาด sub-compact เหมือนกันก็เลยโอเครับได้
แต่ยังไม่หมดเท่านั้น สภาพรถที่ส่งมอบให้ลูกค้าแย่มากเหมือนผ่านสงครามมา สกปรกจนมองไม่เห็นร่องรอยความเสียหายเดิมของรถเลย
น้ำมันก็หมดจนไฟเตือนขึ้น ไม่ได้เติมให้เต็มถังตามที่ตกลงไว้
ภายในรถก็มีขี้บุหรี่อยู่ตามช่องวางแก้วเต็มไปหมด

เป็นการเช่ารถที่เลวร้ายมากไม่แนะนำให้ใช้บริการบริษัทนี้
ยอมจ่ายแพงขึ้นเช่ากับบริษัทดังๆที่มีเคาน์เตอร์ในสนามบินดีกว่าครับ

ปล. ตอนรับรถคืนก็ไม่ตรงเวลาที่นัดไว้ มาสายเป็นชั่วโมงทำให้แทนที่พวกเราจะได้ไปกินข้าวเย็นก็ต้องนั่งรอครับ เป็นประสบการณ์เช่ารถที่ไม่ประทับใจเลย เลยมาเล่าสู่กันฟังสำหรับประสบการณ์เช่ารถค่ายนี้ของพวกเราครับ

หลังจากได้รถแล้ว ต่อไปเราก็ขับไปยังโรงแรมกันครับ พยายามไม่ใส่ใจให้มากกับรถที่เขาเอามาให้เราเช่า เพื่อนผมเป็นคนขับรถ ผมนั่งเป็นผู้โดยสารไป วิวระหว่างทางคือสวยมาก ทำให้ลืมความไม่ประทับใจแรกลงไปบ้าง

ด้วยความที่ตัวสนามบิน Kayseri นี่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมืองเลยครับ เราขับรถกันเพลินๆ ชมวิวระหว่างทางไปด้วย เราจะไปพักที่โรงแรมก่อน ที่พักวันนี้คือ Caravanserai Inn Hotel แนะนำมากครับ ดีมาก สถานที่ดี ห้องดี ทุกอย่างดี ชอบมากเลย

เมืองเกอเรแมตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของผู้คนมาตั้งแต่สมัยโรมัน และเป็นที่ที่ชาวคริสเตียนยุคแรกใช้ในการเป็นที่หลบหนีภัยจากการไล่ทำร้ายและสังหารก่อนที่คริสต์ศาสนาจะเป็นศาสนาที่ได้รับการประกาศว่าเป็นศาสนาของจักรวรรดิ ที่จะเห็นได้จากคริสต์ศาสนสถานจำนวนมากมายที่ตั้งอยู่ในบริเวณนี้ครับ ที่นี่มีมรดกโลกหลายแห่งด้วย แนะนำมากว่ามาตุรกีต้องมาเยือนครับ

หลังจาก Check In เรียบร้อยแล้ว เราก็พร้อมแล้วที่จะออกไปเที่ยวชมธรรมชาติแบบแปลกตา ที่หาชมที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ตามผมมาเลยครับผม


PASABAG (MONKS VALLEY)

ตุรกีรอบนี้ผมเองก็ไม่ได้วางแผนอะไรมากครับ เทียวกันแบบ เจออะไรก็ไปกัน เปิดหาข้อมูลกันระหว่างทริปบ้าง จุดแรกที่เรามาเที่ยวกันคือปล่องไฟนางฟ้าหุบเขาพาซาแบคครับ  สำหรับสถานที่แห่งนี้ ชื่อเต็มๆก็คือ Pasabag Fairy Chimneys ครับ ต้ังอยู่ห่างจากเมือง Goreme ราว 5 กิโลเมตร ลักษณะของที่นี่จะเป็นเสาหินสูงลักษณะเหมือนเห็ดโคนตั้งอยู่เรียงรายเต็มไป

ที่แห่งนี้ว่ากันว่า Pasabag หมายถึงไร่องุ่นของแม่ทัพ มาจากคำว่า Pacha Pacha ในภาษาตุรกี ที่แปลว่า “นายพล” ครับ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Monks Valley  เนื่องมาจากมีตำนานเล่าถึงนักบุญชื่อว่า St. Simeon ที่มาสร้างอาศรมอยู่ที่นี่ และใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษ จะกลับลงมาก็เมื่อต้องการหาอาหารเท่านั้นครับ

เข็มหินรูปเห็ดในหุบเขา Pasabag ทำให้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Cappadocia 

หินของที่นี่ก็จะเป็นทรงโคน ทรงกรวยแบบดังภาพครับ เรียงตัวกันเยอะมาก แบบแปลกตาจริงๆ หลายคนบอกว่าเหมือนกับต่างดาวเลยครับ ที่นี่เราสามารถเข้าชมได้ฟรีครับ ลองปีนถ่ายรูปได้ตามสบายเลยครับ ผมว่าช่วงพระอาทิตย์ขึ้นกับตก มันยิ่งสวยมากแน่ๆ

สภาพแต่ละคนค่อนข้างอิดโรยหน่อยๆ เพราะว่านอนน้อยครับ แฮะๆ

กิจกรรมเด่นๆของการมาเยือนพาซาแบ็ก ก็อารมณ์มาเดินเล่นๆ ชมวิว ชมเขา เดินดูหินแปลกตาไปครับผม เพราะนอกจากจะลักษณะแปลกตาแล้วก็ยังมีเรื่องราวต่างๆด้วย อย่างที่บอกไปว่าครั้งหนึ่งก็เคยเป็นที่พักของนักบุญ ดังนั้นก็จะมีจุดที่นักบุญพักด้วยอะไรด้วยครับ

ลักษณะภูมิประเทศนี้เกิดจากแรงลมที่กัดกร่อนเขาและหินต่างๆ ทำให้มีภูมิประเทศแปลกตาแบบนี้ครับ


Çavusin Village หมู่บ้านโบราณ มีบ้านฮอบบิท

ถัดจากนั้นพวกเราก็ขับรถขับต่อไปละแวกนั้นอีกครับ แวะชมหมู่บ้านแถวนั้น เจอบ้านหลังนี้อย่างกะบ้านฮอบบิทเลย แถบนี้ที่อยู่ล้วนมีรูปร่างแนวๆนี้ครับผม เอาจริงๆ เพิ่งมาทราบว่านี่คือหมู่บ้านที่เป็นจุดที่น่าแวะมากครับ ชื่อว่าหมู่บ้านคาวูซิน

หมู่บ้านคาวูซิน เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีเนินเขาโอบล้อมครับ มีบ้านเรือนหลังเล็กๆเรียงรายกันอยู่ หมู่บ้านจะอยู่ระหว่างเมือง Avanos กับ Goreme เป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบมาก วันที่พวกผมไปก็คนน้อยมากครับ เราจะเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านแบบดั้งเดิม เห็นบรรดาผู้ชายนั่งจับกลุ่มจิบชา ผู้หญิงแต่งกายแบบพื้นเมือง

ที่นี่มีความน่าสนใจ (ซึ่งก็มาทราบภายหลัง ฮ่าๆ) ว่ามีโบสถ์สองแห่งคือ โบสถ์ด้านบน (The upper church) โบสถ์นี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่นักบุญเซนส์จอห์น และอีกโบสถ์ คือโบสถ์ด้านล่าง (The lower Church) หรือ Çavusin (Nicephorus Phocas) Church สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแด่การมาเยือนของจักรพรรดิ Nicephorus Phocas แห่งคัปปาโดเชียน สันนิษฐานกันว่าโบสถ์ด้านบนหรือโบสถ์เซนต์จอห์นนั้นอาจจะเป็นโบสถ์ถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดคัปปาโดเกีย โดยน่าจะสร้างขึ้นตั้งแต่ราวๆ ศตวรรษที่ 5

เห็นแล้วได้แต่นึกในใจว่า บ้านหลังนี้อากาศน่าจะเย็นสบายเลยครับ เพราะว่าเป็นบ้านที่ขุดเจาะเข้าไปเป็นถ้ำ แถม รอบๆก็มีแต่ต้นไม้เขียวขจีขึ้นเต็มไปหมดเลย ผมเองก็ชอบบ้านหลังนี้มากๆครับ

แถวนั้นมีร้านคาเฟ่ด้วย หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ Goreme ครับ เป็นจุดที่ไม่ได้ไกลจากแถบ Pasabag มากนัก  ตรงนี้เป็นจุดที่เราจะเห็นภูเขาถูกเจาะเป็นช่องๆ สร้างเป็นที่พักอาศัย หมู่บ้านเงียบสงบมาก ข้อมูลที่ผมอ่านบอกว่าเป็นหมู่บ้านโบราณของชาวกรีกมาก่อน แล้วจากนั้นก็เป็นของชาวออธอด๊อกซ์ ชาวเติร์ก ชาวคัปปาโดเกีย และก็มีเหตุการณ์หินถล่มด้วยครับ ทำให้หลายที่เป็นบ้านร้างไป

นี่ครับ บ้านเรือนที่เกิดจากการขุดเจาะภูเขาและหน้าผา ให้กลายเป็นถ้ำ ซึ่งข้างในนั้น ขอบอกเลยครับว่า อากาศเย็นสบายมาก ในขณะที่ข้างนอกอากาศร้อนระอุ แต่ข้างในอย่างกะเปิดแอร์เลย ชาวบ้านบอกว่า ถ้ำแบบนี้อากาศจะเย็นสบายตลอดปี ต่อให้ข้างนอก หนาวมาก หรือร้อนมาก ข้างในอากาศก็ค่อนข้างจะคงที่ครับ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาการเอาตัวรอดของคนในสมัยก่อนเนาะ

ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆหน่อยครับ ตรงนี้ไม่มีคนอยู่ เป็นเขาว่างๆแล้ว ข้างในก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนะครับ แต่ก็แล้วแต่จุดครับ บางทีก็กว้างขวางจุคนได้เยอะ บางจุดก็อารมณ์คงเป็นห้องนอนทำนองนี้มั้งครับ

บางจุดจะเห็นว่า มีการไปเจาะช่องกันที่เกือบยอดเลยครับ ที่นี่เมื่อก่อนคือชุมชนขนาดใหญ่มาก ข้างในมีทั้งบ้าน ทั้งโบสถ์ เค้าใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำหินที่ขุดเจาะ หินพวกนี้เป็นหินชนิดพิเศษครับ เหมือนกับว่ามันขุดเจาะได้ง่ายกว่าหินทั่วๆไป

พวกเราทั้งหมดเดินชมตรงนั้นตรงนี้ เก็บภาพกันเพลินๆ ตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศใหม่ๆ เวลาไปเที่ยวมันสนุกตรงนี้แหละครับ เราจะรู้สึกเอ็นจอยได้กับทุกสิ่งอย่างที่เราเห็น ฮ่าๆ

จากนั้นก็ถ่ายภาพกันสักหน่อยเป็นที่ระลึก ก่อนที่ขึ้นรถ เดินทางไปยังจุดต่อไปของวันนี้ครับ เดี๋ยวเราจะไปที่ Panoramic View  Point กันครับ

เตรียมอำลาหมู่บ้านแห่งนี้ก่อนครับ เป้าหมายต่อไปรอเราอยู่ จะเป็นอย่างไรนะ ตื่นเต้นๆ

ระหว่างทางก็จะเห็นหินรูปกรวยแบบนี้เพียบเลยครับ

ขับไปดูวิวไป ส่งเสียงฮือฮาเป็นระยะๆครับ มาที่นี่เสาหินแบบนี้ ที่อยู่แบบนี้เยอะมาก มันเป็นวิวที่ผมว่าอัศจรรย์ดีนะ ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ลองจินตนาการไปว่าในสมัยก่อนเค้าต้องหาหนทางในการเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมแบบนี้บ้าง จากสงครามบ้าง การขุดถ้ำอยู่ก็เป็นหนทางที่ฉลาดเลย เพราะอย่างน้อยในถ้ำอากาศก็ไม่ร้อนจัดเท่าข้างนอก เวลาหนาวก็ไม่หนาวจัดด้วยเช่นกัน


Panoramic View Point @ Red and Rose Valley จุดชมวิว 360 องศา

เราขับรถกันมาใช้เวลาพอสมควรครับ ก็มาถึงจุดที่คอยชมวิวกันแล้ว เป็นจุดที่เรียกว่า Panoramic View Point  โดยพื้นที่นี้มีชื่ออีกอย่างว่า Red and Rose Valley ครับ

ตรงนี้เราจะมองเห็นวิวได้สุดลูกหูลูกตาเลยครับ มันสวยงามมากจริงๆ ในวันที่ผมไปนั้น ลมแรงมาก เพื่อนๆผมทั้งสามบอกว่า เดี๋ยวจะยืนชมวิวกันแถวนี้แหละ แต่ผมมองเห็นว่ามันมีเส้นทางให้เดินลงไปดูด้านล่างได้ด้วย ผมก็เลยบอกเพื่อนว่า งั้นผมจะลงไปนะ เพื่อนๆก็บอกว่าโอเคเดี๋ยวรอด้านบน

เดินลงไปแล้ว บอกเลยครับว่า มันเหมือนหลุดไปยังโลกในนิยาย มันหินประหลาดๆ เรียงตัวล้อมรอบแบบ 360 องศา ผมเดินไปถ่ายรุปไป เพลินมาก ตอนนั้นก็แทบจะไม่มีคนด้วยครับ

พื้นที่เหล่านี้ เป็นเพราะว่าในสมัยมีการปะทุของภูเขาไฟแล้วขี้เถ้าทั้งหลายพากันปกคลุมเต็มไปหมด จากนั้นก็มีภูเขาไฟระเบิดอีก ลาวาไหลมาทับ เลยกลายเป็นเนินตะปุ่มตะป่ำ อันนี้จากที่ผมอ่านๆมานะครับ

ผมเดินลงมาเรื่อยๆ ด้านล่างมีบ้านถ้ำด้วยนะครับ เขาเจาะหินเป็นบ้านเรือน เหลือร่องรอยให้เราได้เห็นและชวนคิดว่าสมัยก่อนคงจะมีคนอาศัยอยู่กันหนาแน่น

พื้นที่ให้เราเดินชมนี่ ยาวมาก หลายกิโลเมตรครับ มันมีจุดให้แวะชมเยอะสำหรับคนชอบแนว Landscape แปลกๆ อย่างผมเองก็ชอบเลาะตรงนั้นตรงนี้ แต่ตอนเดินก็เดินคนเดียวครับ ไม่มีใครเดินตาม หรือเดินสวนมาเลย ก็แอบวังเวงเบาๆ ฮ่าๆ

บางจุดเห็นเค้าใส่บันไดให้เดินขึ้นไปยังรูด้านบน ผมก็ปีนขึ้นไปดูด้วยครับ

ถ่ายรูปมามันอาจจะดูซ้ำๆ ไม่แตกต่างนะครับ แต่บอกเลยครับว่า ต้องไปเห็นของจริง มันว้าวมาก มันเป็นภูเขาหินแปลกๆอ่ะครับ สำหรับคนชอบธรรมชาติยิ่งน่าจะดื่มด่ำได้เพลินมาก แต่ถ้าคนไม่ชอบแนวนี้ก็คงจะรู้สึกว่า เอ มันก็เหมือนๆกัน 55 แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมเองชอบมาก ถ้าอากาศไม่ร้อนมาก ผมเดินเลาะได้ทั้งวัน

เนี่ยครับ วิวหินอันแปลกตา เดินกันไปยาวๆเลยจ้า

สักพัก ฟ้าก็ครึ้มๆครับ เหมือนฝนทำท่าว่าจะตก ผมก็เอาแล้วไง ถ้าฝนตกมา ไม่กลัวเปียก แต่เพราะมันโล่งมาก กลัวฟ้าผ่าครับ คิดไปโน่น เลยเร่งฝีเท้าขึ้น แต่ก็แบบ โอย ตรงนั้นก็สวย ตรงนี้ก็สวย รีบเดินด้วย รีบเก็บภาพด้วย

กลัวฟ้าผ่าก็กลัว อยากได้ภาพก็อยากได้ ฮ่าๆ จริงๆมันก็ไม่มีหรอกครับ แค่กลัวไปเอง เพราะเคยอ่านเจอว่าที่แกรนด์แคนยอนเมกา เป็นจุดฟ้าผ่าบ่อย แล้วตรงนี้ก็แบบ เออ โล่งดีจัง ก็คิดไปเอง ฮ่าๆ

ตรงนี้เหมือนมีร้านค้าด้วยครับ แวะไปชมสักหน่อย อย่างน้อยก็มีคนอยู่นะ

เป็นร้านค้าเล็กๆครับ ถือว่าเป็นจุดพักสำหรับคนเดินทาง ผมก็นั่งแช่แป็บนึง แล้วก็เดินต่อครับผม เดิน เดิน 

ทันใดนั้นสายตาก็ไปสะดุดกับตรงนี้ อุ้ต่ะ โบสถ์หรือ นี่จะเป็นโบสถ์ถ้ำแห่งแรกที่ผมแวะเข้าไปครับ มองซ้ายมองขวา ดูเหมือนว่ามันก็มีจุดขึ้นนะ ผมก็เลยหาจุดเดินขึ้นไปดูครับ โบสถ์เค้าจะเป็นยังไงน้า

คำตอบคือก็ไม่มีอะไรครับ แอ้ะะะะ ก็อารมณ์ถ้ำ มีที่นั่งครับ ก็เลย โอเค นั่งมองวิวร้านค้าก็ได้ ว่าแต่ คนหายไปไหนหมด เฮ้ลโล้ววววว อย่าให้ผมเหมาทั้งหุบเขาคนเดียวสิ 

ที่ดินตรงนี้ผมว่าค่อนข้างจะแล้งๆครับ ว่ากันว่า เค้าใช้ปลูกองุ่นกันครับผม แต่ผมก็ไม่เห็นไร่องุ่นนะ หรือช่วงผมมาเค้าเก็บเกี่ยวหมดแล้วผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

เขาถูกขุดถูกเจาะเป็นที่อยู่อาศัยเยอะมากครับ 

มองไปไกลๆ เห็นรถจิ๊บขับพานักท่องเที่ยวออกชมวิวด้วยครับ 

สักพักก็ดูเหมือนว่า ฟ้าจะเริ่มปลอดโปร่ง ก็เลยตั้งกล้องถ่ายรูปให้ตัวเองสักหน่อยครับ มาคนเดียว ต้องสามารถมีรูปตัวเองได้บ้าง จะได้อัพสกิล

ผมเดินไปไกลมาก ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเห็นจุดวกกลับไปยังจุดขึ้นเขาเลยครับ เอาวะ มาแล้ว ก็ต้องไปให้สุด 

สำหรับคนที่เคยมาแล้วบางคนก็เล่าให้ฟังว่า เค้าคิดว่าเมืองนี้น่าเบื่อ เพราะมันมีแต่หินประหลาดๆ เต็มไปหมด มันก็ว่ากันยากเนาะ เพราะว่าความชอบแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่างผมเอง ผมชอบเที่ยวธรรมชาติมาก อย่างแบบนี้บ้านเราก็ไม่มี ผมเองก็เลยชื่นชอบ มองว่ามันก็แปลกตาดี และมีเต็มไปหมด สุดลูกหูลูกตา ยิ่งใหญ่อลังการ ยังอยากกลับไปอีกเลยครับ

มาเมืองนี้ เราจะดื่มด่ำกับวิวหินๆ ถ้ำๆ แบบนี้แหละครับ มีให้ชมแบบจุใจมาก

สวยแบบไม่ไหวแล้ว เดินไปถ่ายภาพไปเรื่อยๆครับ อย่างที่ผมบอกว่า ผมอยู่ได้ทั้งวันแน่ๆ (ถ้ามันไม่ร้อน ฮ่าๆ)

ยามอาทิตย์ใกล้ตกดิน ลองนึกภาพตามครับว่า สีของแสงยามเย็นที่สะท้อนกับหินเหล่านี้จะสร้างบรรยากาศที่สวยงามสักเพียงใด ก็ไม่แปลกใจที่เขาจะเรียกว่า ปล่องนางฟ้า เพราะมันแสงที่สะท้อนมันขับความงามออกมาเหมือนอยู่ในโลกนิยายครับ

นี่ครับ บางช่วงมันสะท้อนแสงเป็นสีชมพู โอ้โห ชอบมากก อยากให้เพื่อนๆที่รอด้านบนมาเดินดูด้วยเสียเหลือเกินครับ

เก็บภาพเพลินครับ เดินราวชั่วโมงกว่าๆ จนแบบต้องเร่งฝ่าเท้าแล้ว เดี๋ยวเพื่อนๆรอนาน แล้วนี่คือเดินในหุบเขานะครับ ต้องเดินปีนเขาขึ้นไปอีกจ้า 

ผมถ่ายภาพเยอะมากจริงๆครับ แสงสวยๆ มีมาใช่ว่าจะบ่อย และใช่ว่าจะได้กลับมาอีกง่ายๆ ก็เก็บภาพรัวๆ 

และที่สำคัญ หุบเขาแห่งนี้ ได้ชื่อว่าเป็นหุบเขาที่สวยงามที่สุดของคัปปาโดเกียเลยนะครับ ตั้งอยู่ระหว่าง  Göremeและ หมู่บ้าน Çavusin ที่นี่หินที่กลิ้งและกระเพื่อมนั้น ต่างทอดตัวเป็นแนวโค้ง มีสีสันเป็นแถบสีชมพูพาสเทล สีเหลือง และสีส้ม ซึ่งเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟและการกัดเซาะของลมและน้ำนับพันปีครับ ระหว่างหน้าผาเป็นสวนผลไม้ และแปลงผักที่ยังคงดูแลโดยเกษตรกรในท้องถิ่น และหินเหล่านี้ก็มีที่แกะสลักเข้าไปเพื่อสร้างเป็นโบสถ์ที่ซ่อนอยู่ภายในถ้ำหินนั่นอีกที เป็นโบสถ์ตั้งแต่ยุคสมัยไบเซนไทน์ครับ ส่วนใหญ่แล้ว นักท่องเที่ยวจะมาที่นี่เพื่อมาชมพระอาทิตย์ตกดินกันครับ

แต่ละทริปได้ภาพมาเป็นพันๆครับ ลงภาพอีกสิบปีก็ไม่หมด ฮ่าๆ กดไว้ก่อน สวยไม่สวย ค่อยมาเลือกเอา

เริ่มเห็นมีคนบ้างแล้วครับ แต่ถ้าสังเกตดูก็จะเห็นว่า คนลงมาเดินกันน้อยมาก 

ตอนนั้นมือก็ถ่ายรูป ขาก็รีบเดิน เพราะเดี๋ยวเพื่อนด่าครับ ฮ่าๆ จนในที่สุดก็เดินมาถึงจุดที่ผมเดินลง แต่ตอนนั้นหาเพื่อนไม่เจอ เพื่อนไปจอดถ่ายรูปอีกจุดครับ ก็สิ้นสุดการชมวิวที่ Panaramic View Point ก่อน ต่างคนต่างหิวข้าวมาก

เราพากันขับรถกลับเข้าไปยังเขตเมืองครับ เพื่อหาอะไรทาน แต่ที่นี่พระอาทิตย์ก็ตกดินช้าครับ คือเกือบสองทุ่มจ้า นั่งรอไปนานๆเลยกว่าอาทิตย์จะตกดิน

เราเลือกร้านอาหารแห่งนึงครับ ด้านบนมีจุดถ่ายรูปด้วย พรมตุรกี! ตุรกีเค้าขึ้นชื่อเรื่องพรมมาก สวยมาก แต่หนัก เอากลับบ้านไม่ได้ เหนือสิ่งอื่นใดคือ ราคาสูงมากครับ บางผืนสูงกว่าราคาชีวิตผมอีกมั้ง 555 ก็เลยมาถ่ายรูป ร้านเค้าก็เข้าใจนักท่องเที่ยวนะครับว่า คนมาตุรกีชอบถ่ายรูปกับพรม ส่วนผม ดูสิครับ เสื้อกับพรม แยกกันไม่ออกเลย

ร้านนี้อาหารอร่อยไหม อืม จะบอกไงดี คืออาหารตุรกีบางอย่าง เหมือนเครื่องเทศเค้าจะดับกลิ่นเนื้อได้ไม่หมดหนะครับ พอกิน ก็จะรู้สึกว่า เอ๊ะ เหมือนได้กลิ่นสาบๆของเนื้อ แต่โชคดีที่ผมซื้อน้ำพริกไปด้วย เพราะได้ประสบการณ์จากอาหารอินเดีย ก็เลยไม่ถือว่าแย่มากครับ

นี่ครับ บรรยากาศตอนจะสองทุ่ม ฟ้ายังสว่างโร่เลย ทริปนี้ผมไม่มีการเก็บภาพอาทิตย์ตกเลย เพราะรอไม่ได้ หิวมาก วันนี้เป็นอีกวันที่มีความสุขมากๆครับ ได้เห็นวิวแปลกๆ อากาศดี และมาลุ้นกันว่า เราจะได้ขึ้นบอลลูนกันหรือไม่

หลังจากกินอิ่ม เราก็เดินดูตลาดแถวนั้นครับ บอกเลยว่า เมืองนี้ สิ่งของราคาถูกมาก ถูกว่าอิสตันบูลหลายเท่าครับ คิดว่าถูกสุดในบรรดาเมืองที่ไปเยือน ผมไปเจอร้านคุณลุงที่ขายของชำด้วย ร้านนั้นแบบขายถูกมาก ถูกแบบไม่แคร์ว่าร้านติดกันจะดักตี ฮ่าๆ

เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะไปชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน พาเดินลัดเลาะถ้ำ แล้วพามุดดินลงไปสี่ชั้น! อย่าลืมติดตามกันนะครับ วันนี้ขอจบบล็อกเท่านี้ก่อนครับผม แล้วเจอกันใหม่คร้าบ

The post แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที่ 4 นี่มันเมืองในเทพนิยายชัดๆ Goreme และ Cappadocia appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/backpack-to-turkey-part-4-drive-to-travel-in-goreme.html/feed 0
แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที่ 3 ล่องเรือชมสองทวีป เที่ยวพระราชวังสุดอลังการ https://backpackstory.com/backpack-turkey-part-3-bosphorus-and-visit-the-palace.html https://backpackstory.com/backpack-turkey-part-3-bosphorus-and-visit-the-palace.html#respond Mon, 19 Aug 2019 12:28:18 +0000 https://backpackstory.com/?p=6204 วันถัดมาพวกเราวางแผนกันว่าจะไปล่องเรือในช่องแคบบอสฟอรัสเพื่อที่จะชมวิวของสองฝากฝั่งในดินแดน Anatolia แห่งนี้ครับ ฝั่งหนึ่งก็เอเชีย อีกฝั่งหนึ่งก็ยุโรป ให้สมกับการมาเที่ยวประเทศสองทวีปสักหน่อย ด้วยความที่เราตื่นเช้ากันมาก ที่นี่อาหารเช้าเค้าก็ไม่ค่อยมีครับ ร้านรวงเปิดกันราว 10:00 น. แหนะ เราก็หาอะไรรองท้องกันไปก่อน

The post แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที่ 3 ล่องเรือชมสองทวีป เที่ยวพระราชวังสุดอลังการ appeared first on Backpack Story.

]]>
วันถัดมาพวกเราวางแผนกันว่าจะไปล่องเรือในช่องแคบบอสฟอรัสเพื่อที่จะชมวิวของสองฝากฝั่งในดินแดน Anatolia แห่งนี้ครับ ฝั่งหนึ่งก็เอเชีย อีกฝั่งหนึ่งก็ยุโรป ให้สมกับการมาเที่ยวประเทศสองทวีปสักหน่อย

ด้วยความที่เราตื่นเช้ากันมาก ที่นี่อาหารเช้าเค้าก็ไม่ค่อยมีครับ ร้านรวงเปิดกันราว 10:00 น. แหนะ เราก็หาอะไรรองท้องกันไปก่อน ไปหากินแถวริมสะพานข้ามไปยังอีกฝั่งนั่นแหละครับผม

หลายร้านแม้จะจัดโต๊ะอะไรแล้ว แต่เขายังไม่เปิดให้บริการนะครับ เราเดินเข้าร้านเก้อหลายร้าน ฮ่าๆ สำหรับการเดินทางไปล่องเรือนั้น พวกเรานั่งรถแทรม ไปยังสถานนี Eminonu ครับ

อาหารบ้านเค้าครับ ถามว่าอร่อยไหม ก็พอได้ครับ ตัวข้าวนะ เพราะเอาน้ำพริกจากไทยไปด้วย ส่วนอันอื่นๆก็พอถูไถได้ครับ ไม่ถึงกับไม่อร่อย แต่ก็ไม่ถึงกับคำว่าอร่อย อธิบายไงดี เอาเป็นว่าไปแล้วคิดถึ้งคิดถึงอาหารไทยครับ

ทริปนี้มีสาวติดไปด้วยครับ นานๆทีจะมีผู้หญิงเดินทางด้วย ขอลงภาพสักภาพครับ 55

สำหรับการล่องเรือนี้พวกเราก็ไม่ได้จองล่วงหน้านะครับ มีคนมาเสนอขายทัวร์ เราก็ซื้อเลยในราคาคนละ 7 Euro สำหรับราคาค่าล่องเรือก็แล้วแต่จังหวะนะครับ ลองต่อรองราคากันดูครับ

ตอนแรกนั้นเราก็ขึ้นเรืออีกลำ แต่เหมือนว่าคนจะน้อยเค้าก็เลยย้ายเราไปอีกลำแทน จากนั้นก็เริ่มออกเดินเรือครับ รอไม่นานสักเท่าไหร่

พอเรือเริ่มออก ความสนุกก็บังเกิดครับ หนึ่งในสมาชิกร่วมทาง “เมาเรือ” ครับ เรือเพิ่งออกและเกือบสองชั่วโมงต่อจากนี้ เพื่อนต้องนั่งพะอืดพะอมตลอดทาง ดังนั้นใครเมาเรือง่ายแนะนำเลยว่า กินยาแม้เมาไปก่อนเลยครับ ไม่งั้นหมดสนุกแน่นอนครับ

วิวสองฝั่งทะเลนั้นสวยงามมากครับ กิจกรรมการล่องเรือก็ไม่มีอะไรมาก นั่งชมวิวไปเรื่อยๆ รับลมเย็นๆที่พัดปะทะหน้า แต่แสงแดดอันเจิดจ้ายามเที่ยงวันก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน จริงๆผมคิดว่ากิจกรรมล่องเรือช่วงเย็นน่่าจะสบายกว่าครับ ไม่โดนแดดเผา ฝั่งที่มองเห็นภาพคือสั่งที่อยู่ทวีปเอเชียนะครับ มีสะพานเป็นตัวเชื่อม หอคอยโดดเด่นนั้นคือ Galata Tower ครับผม

สถาปัตยกรรมที่นี่ก็โดดเด่นมากครับ มีมัสยิด มีพระราชวัง สมแล้วกับที่เป็นเมืองอันรุ่งโรจน์มาช้านาน

สำหรับท่านใดที่ชอบสถาปัตยกรรมยุโรปก็น่าจะชอบกิจกรรมล่องเรือนี้นะครับ นั่งชิลๆ ดูวิวเพลินๆไปครับ

 

มีมัสยิดริมทะเลด้วยครับ ที่นี่มัสยิดเยอะมาก ก็อารมณ์เหมือนมาเมืองไทยแล้ววัดวาอารามเต็มไปหมด แต่ผมก็ชอบนะครับ ไม่ค่อยได้มีโอกาสเข้ามัสยิดสักเท่าไหร่

ชมวิวไปเรื่อยๆครับ ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดี เพราะมันคือทริปล่องเรือ ฮ่าๆ

ผ่านไปสักพัก โอ้โห แดดแรงมากครับ ผมเลยขอผ้าพันคอน้องมาพันรอบตัว ทำให้กลายเป็นจุดเด่นในเรือเลย ผมไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายนะ ผมแค่ร้อน!!

พอกลับมาถึงฝั่ง ก็มานั่งรถแทรมต่อครับ เป้าหมายต่อไปคือจะไปพระราชวัง Dolmabahçe Palace ครับ นั่งไปลงสถานี KABATAS

พระราชวังแห่งนี้ใช้บัตร Pass Museum ไม่ได้นะครับ ต้องซื้อแยกต่างหาก 90 รีล่าครับผมสำหรับเข้าชมทั้งพระราชวังและฮาเร็ม แต่ถ้าซื้อแยก ค่าเข้าพระราชวัง 60 รีล่า และค่าเข้าฮาเร็ม 40 รีล่าครับ ที่นี่ห้ามถ่ายภาพครับ เลยไม่มีภาพข้างในมาฝากนะครับ แต่บอกเลยว่า อลังการมาก ยิ่งใหญ่จนทึ่งว่าทำไมร่ำรวยขนาดนี้ แค่ด้านนอกยังอลังการเลยครับ

พระราชวัง Dolmabahce สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 เป็นหนึ่งในพระราชวังที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลก เป็นศูนย์กลางการบริหารของจักรวรรดิออตโตมันตอนปลายและสุดต่านออตโตมันองค์สุดท้ายก็พำนักอยู่ที่พระราชวังแห่งนี้ครับ

หลังจากการจัดตั้งสาธารณรัฐตุรกีในเมืองอังการา, มุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก ก็ย้ายหน่วยงานภาครัฐทั้งหมดไปยังเมืองหลวงแห่งใหม่ที่อังการา แต่เมื่อเขาไปเยือนอิสตันบูลอาตาเติร์ก เขาใช้ห้องเล็กๆห้องหนึ่งพระราชวังแห่งนี้เป็นที่พำนักครับ โดยใช้พระราชวังนี้เป็นที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง สำหรับเป็นศูนย์บัญชาการ และการประชุมระดับชาติและนานาชาติครับ และอตาเติร์กก็เสียชีวิตที่พระราชวังแห่งนี้ด้วย เวลาที่จัดแสดงในพระราชวังในห้องที่ท่านเสียชีวิต ถูกหมุนไปเวลาที่ท่านเสียชีวิตครับ คือ 09:05 น. วันที่ 10 พฤศจิกายน 1938 ทุกปีในเวลานี้ ชาวตุรกีทั้งหมดจะยืนสงบนิ่งไว้อาลัยและรำลึกถึงวีรบุรุษของพวกเขา

จริงๆแล้ว ตอนที่เราล่องเรือผ่านช่องแคบบอสฟอรัส เราก็จะเห็นพระราชวังนี้เด่นชัดมากเลยครับ คือมันสวยโดดเด่นออกมาเลย พระราชวังแห่งนี้มีความยาว 600 เมตร ใช้เวลาในการก่อสร้าง 13 ปี  สร้างเสร็จในปี 1856 ใช้เป็นศูนย์กลางบริหารจัดการของจักวรรดิออตโตมันถึงปี 1922

พระราชวังแห่งนี้ได้รับมอบหมายให้มีการก่อสร้างโดยสุลดต่าน อับดุลเมอซิด (Abdülmecid) ซึ่งเป็นคนที่ตัดสินใจว่าเราควรจะมีพระราชวังแห่งใหม่ ที่นอกเหนือจาก Topkapi และพระองค์ก็ชอบสถาปัตยกรรมแนวยุโรปมากๆ โดยให้สถาปนิกชาวอาร์เมเนียและลูกชายเป็นคนออกแบบครับ พระราชวังแห่งนี้สวยงามน่าทึ่งเป็นอย่างมาก เพราะมีการใช้สถาปัตยกรรมหลากหลายมาใช้ร่วมกัน ได้แก่ สไตล์บาร็อค โรคโคโค นีโอคลาสิคลั และออตโตมันสมัยใหม่ แบบเห็นแล้ว ต้องร้องว้าวในความหรูหรากันทุกคนเลยครับ

เนื่องจากข้างในห้ามถ่ายภาพ เลยเอาภาพจากอินเตอร์เน็ตมาช่วยเล่าเรื่องละกันนะครับผม

Credit: https://www.istanbulclues.com

ตอนเข้าไปข้างในมีหลายส่วนที่ผมร้องว้าวเลยครับ เช่นห้องที่ใช้แก้วคริสตัลประดับประดา มันหรูสุดๆ หรือโคมระย้าขนาด 4.5 ตันในห้องโถงพิธี อันเป็นของขวัญจากสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียและถือว่าเป็นโคมระย้าคริสตัลโบฮีเมียที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยครับ

Credit: https://istanbultourstudio.com

ภาพด้านบนผมเอามาจากเว็บการท่องเที่ยวอิสตันบูลนะครับ เนื่องจากเค้าห้ามถ่ายภาพ เลยหาภาพมาประกอบอยากให้เห็นภาพมากขึ้นครับ คือนอกจากพวกบรรดางานแกะสลักที่สวยงาม โคมไฟระย้าที่มลั่งเมลื่องแล้ว ยังมีรูปภาพที่เป็นบรรดาภาพวาดที่ดีที่สุดในยุคปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ครับ ข้อมูลมีบอกไว้ว่ามีทั้งหมด 202 ใบเลยทีเดียว

Credit: https://istanbultourstudio.com

ว่ากันว่า การสร้างพระราชวังแห่งนี้ใช้งบประมาณมหาศาลมากๆ เยอะขนาดเทียบกับใช้ทองเป็นตัน และเป็นต้นเหตุที่ทำให้การเงินมีปัญหา และนำมาซึ่งการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมันในที่สุดครับ โดยเฉพาะห้องสุดท้ายนั้น มันเหมือนสวรรค์มากๆ

 

Credit: https://bit.ly/2KTyBxb

และนี่คือห้องสุดท้ายครับ ห้องเซเลสเชียล ของจริงมันยิ่งใหญ่มากๆ มากแบบไม่ไหวแล้ว ทำไมสร้างได้อลังการขนาดนี้นะ เป็นพระราชวังที่ห้องสวยที่สุดที่เคยเจอในชีวิตครับ ผมกับเพื่อนชาวตุรกีพากันยืนอึ้งไปนานมาก เพื่อนชาวตุรกีพูดว่า ตัวเขาเองก็ยังนึกไม่ถึงว่ามันจะอลังการได้ขนาดนี้ เป็นหนึ่งในความภูมิใจของพวกเค้าที่มรดกทางสถาปัตยกรรมที่สวยงาม แต่ก็แลกมากับความฟุ้งเฟ้อ เพราะค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสูงมากเช่นเดียวกันครับ

เที่ยวพระราชวังเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินทางไปยัง Taksim Square ครับ แต่อยู่แป็บเดียว เพราะคนเยอะมาก และสูบบุหรี่จัดมาก เราเลยพากันเดินเล่นไปอีกที่แทนครับ ก็เจอโบสถ์นี้โดยบังเอิญ สวยมากๆ ชื่อว่าโบสถ์ Hagia Triada Church เป็นโบสถ์ยุคกรีกออธอดอกซ์ครับ สวยมากๆเลย ข้างในก็มีภาพเขียนสวยๆด้วยแต่เค้าห้ามถ่ายภาพครับ

วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่อิ่มเอบกับการเดินทางมากครับ เมืองอิสตันบูลเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ ผู้คนน่ารัก (ถ้าตัดเรื่องสูบบุหรี่จัดออกไป) เป็นเมืองที่มาแล้วอยากกลับมาอีกครับ เพราะมีหลายที่มากที่ผมยังไม่ได้ไป ถ้ามีโอกาสจะกลับมาแน่นอนครับ เดี๋ยวตอนหน้าเราจะย้ายไปยังเมืองใหม่แล้วครับ รอติดตามกันนะครับผม ^^

 

The post แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที่ 3 ล่องเรือชมสองทวีป เที่ยวพระราชวังสุดอลังการ appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/backpack-turkey-part-3-bosphorus-and-visit-the-palace.html/feed 0
แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที 2 ชมมัสยิด และ พิพิธภัณฑ์ ณ อิสตันบูล https://backpackstory.com/travel-istanbul-part-2-visit-museum-and-mosque.html https://backpackstory.com/travel-istanbul-part-2-visit-museum-and-mosque.html#respond Mon, 27 May 2019 21:44:00 +0000 http://backpackstory.com/?p=6070 เช้าวันถัดมา พวกเราตกลงกันว่าเราต้องรีบไปเข้าแถวเพื่อชมพิพิธภัณฑ์ Hagia Sophia ครับ หลังจากที่เมื่อวานเราเห็นแล้วว่าคนล้นหลามขนาดไหน เราก็เลยรีบตื่นนอนกันแต่เช้า แล้วหาอะไรทานกัน แต่ที่นี่ร้านอาหารเปิดช้ามากครับ เลยต้องฝากท้องไว้กับ Burger King ครับผม เสร็จแล้วก็ไปต่อแถวกัน ซึ่งคนก็เยอะอยู่ดี สงสัยทุกคนคิดแบบเรา 55

The post แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที 2 ชมมัสยิด และ พิพิธภัณฑ์ ณ อิสตันบูล appeared first on Backpack Story.

]]>
เช้าวันถัดมา กับการ แบกเป้เที่ยวตุรกี พวกเราตกลงกันว่าเราต้องรีบไปเข้าแถวเพื่อชมพิพิธภัณฑ์ Hagia Sophia ครับ หลังจากที่เมื่อวานเราเห็นแล้วว่าคนล้นหลามขนาดไหน เราก็เลยรีบตื่นนอนกันแต่เช้า แล้วหาอะไรทานกัน แต่ที่นี่ร้านอาหารเปิดช้ามากครับ เลยต้องฝากท้องไว้กับ Burger King ครับผม เสร็จแล้วก็ไปต่อแถวกัน ซึ่งคนก็เยอะอยู่ดี สงสัยทุกคนคิดแบบเรา 55

แต่ด้วยความเรามีบัตร Museum Pass อยู่แล้ว การเข้าแถวก็ง่ายครับ เข้าตรง Fast Track ได้เลย แป็บเดียว

เมื่อผ่านเครื่องแสกนเรียบร้อยแล้ว เราก็จะเห็นว่าอาคารแห่งนี้ยิ่งใหญ่มากเลยครับ นี่คือหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางเลยแหละครับ เป็นอาคารที่เป็นที่หมายตาของนักท่องเที่ยวทั้งหลายว่ามาตุรกีแล้วห้ามพลาด เพราะการก่อสร้าง และการตกแต่งภายในนั้นเลอค่าแก่การต่อคิวเข้าชมเป็นอย่างมาก อายุของที่นี่ก็มากกว่า 1,500 ปีเข้าไปแล้ว ยังคงงามสง่าอยู่เลย


Hagia Sophia มหาวิหารฮาเกียโซเฟีย

Hagia Sophia Museum

พอลอดซุ้มเข้าไปแล้ว ก็จะมองเห็นภาพโมเสคสวยงามที่อยู่ด้านบนโค้งประตูครับ เป็นภาพของพระเยซูคริสต์ เพราะว่าก่อนหน้านี้นั่น ครั้งแรกที่สร้างขึ้นมา สร้างเพื่อจะเป็นโบสถ์สำหรับชาวคริสต์นิกายออธอดอกซ์ แต่พอมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่แห่งนี้ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นมัสยิด และถูกทาปูนขาวทับเพื่อปกปิดการตกแต่งดั้งเดิม เนื่องจากชาวมุสลิมไม่อนุญาตให้ใช้รูปสิ่งมีชีวิตพวกคน สัตว์ประดับประดาครับ พอถึงยุคการรวมชาติฝรั่งเศสในสมัยท่านอตาเติร์ก บิดาแห่งชาวตุรกี ก็เปลี่ยนที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์และมีการเลาะปูนขาวออก ทำให้เราได้เห็นความสวยงามดั้งเดิมที่มีมา . ในภาพโมเสค คนที่กำลังก้มกราบพระเยซูคือจักรพรรดิ์ลีโอที่ 6 ครับ อีกฝั่งคือภาพของพระแม่มารี ซึ่งในสมัยยุคไบเซนไทน์นั้น คนที่มีสิทธิ์เข้าออกประตูนี้ต้องเป็นจักรพรรดิ์เท่านั้นนะครับผม

โมเสคนี้ตั้งอยู่ที่ประตูจักรพรรดิ กระเบื้องโมเสคของจักรพรรดิ์ลีโอที่ 6 สร้างในช่วงศตวรรษที่ 9 กระเบื้องโมเสคที่น่าสนใจนี้มีเรื่องราวอันน่าขำขัน จักรพรรดิลีโอที่ 6 แต่งงานกับหญิงเคร่งศาสนาที่ต้องการนอนหลับบนเสื่อเพื่อให้สามารถสวดภาวนาได้บ่อยขึ้น แต่เพราะไม่มีทายาทด้วยกันจักรพรรดิก็แต่งงานกับคนใหม่ทันทีที่ภรรยาคนแรกเสียชีวิต ภรรยาคนใหม่ชื่อว่าโซอี้ (Zoe) อย่างไรก็ตามโซอี้ก็เสียชีวิตเมื่อคลอดบุตรสาวให้กับเขา เมื่อลีโอที่ 6 แต่งงานครั้งที่สามเขาถูกประณามจากนักบวช ภรรยาคนที่สามของเขาให้กำเนิดบุตรชายแต่ว่าก็บุตรก็เสียชีวิตทันที่คลอดออกมาครับ

จักรพรรดิ์ลีโอที่ 6 ก็ไม่ยอมแพ้และตัดสินใจแต่งงานใหม่อีกครั้ง ในที่สุดเขามีลูกชายกับภรรยาคนที่สี่ของเขา แต่คราวนี้เขาถูกลงโทษโดยคริสตจักร

ในงานโมเสกชิ้นนี้เราเห็น จักรพรรดิ์ลีโอที่ 6 แสดงท่าทางแบบ proskynesis (เป็นการแสดงความเคารพ) พระคริสต์ประทับอยู่กับ 2 ท่านคือพระแม่มารีและเทพกาเบรียล พระองค์แต่งกายด้วยชุดทูนิค รัดเอว (เรียกว่า Chiton) มือของพระแม่แมรี่ยื่นมือออกไปถึงพระคริสต์เพื่อให้อภัยแด่ลีโอ พระเยซูคริสต์กำลังถือถ้อยความที่เขียนว่า: “สันติสุขจงมีแด่ท่าน ข้าพเจ้าคือแสงสว่างของโลก

พอเข้าไปข้างในก็อึ้งกับความยิ่งใหญ่ ในการก่อสร้างที่มีชั้นเชิง และดีเทลประดับประดามากเลยครับ ที่นี่ไม่ใช้เสาสักต้น แต่มีการกระจายน้ำหนักโดมลงด้านข้างครับ เป็นอาคารที่สูงมากๆ แสงแดดสาดส่องเข้ามาให้เราได้เห็นความสวยงามที่คงเหลืออยู่ ในวันที่ผมไปแสงจ้ามากครับ ถ้าใครชอบถ่ายภาพด้านใน อาจจะไปช่วงเย็น น่าจะได้ภาพที่สวยกว่านะครับ

จากที่ผมสังเกต ที่นี่จะชอบใช้โคมไฟประดับครับ เราจะเห็นว่ามีโคมแนวนี้ แบบหรูๆ ประดับทั่ววิหาร และมัสยิดอื่นๆ

เห็นแบบนี้แล้วน่าจะหนักเอาเรื่องเหมือนกันนะครับ

สิ่งพิเศษอีกอย่างของที่นี่คือ ด้วยความที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทั้งโบสถ์คริสต์ และมัสยิดชาวมุสลิม เราก็จะเห็นการผสมผสานของสองศิลปะเข้าด้วยกันครับ มีภาพพระเยซูคริสต์ และมีป้ายอักษรจากศาสนามุสลิม

โถงที่เราเห็นขนาดมหึมานั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 32 เมตร สูง 56 เมตรครับ ตอนนั้นผมรู้สึกว่า มันสมควรแล้วที่ได้เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก รายละเอียดที่ประดับประดา ผมสามารถใช้เวลาได้หลายชั่วโมงในการดื่มด่ำแน่นอน ที่นี่มีหน้าต่าง 40 ช่องช่วยให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาภายใน

คือตัวอาคารมันใหญ่มากครับ ใหญ่จนกล้องผมเก็บไม่ได้ และผมก็ไม่รู้ว่าถ่ายพาโนผ่านกล้องโอลิมปัสนี่มันถ่ายยังไง เอาเป็นว่าชมเป็นส่วนๆไปด้วยกันละกันนะครับ ตอนที่ผมไปก็มีการปรับปรุงพื้นที่บางส่วนด้วย

ผมเดินถ่ายภาพอาคารเพลินเลยครับ ระหว่างนั้นก็มีเด็กนักเรียนชาวตุรกีมาขอถ่ายภาพด้วยครับ น้องๆแลดูตื่นเต้นมากที่ได้ถ่ายภาพกับนักท่องเที่ยว ดูแล้วน่าจะเรียนชั้นประถมต้น น้องๆพยายามหัดใช้ภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆ ถามว่า พี่มาจากไหนครับ ผมก็บอกว่าจากประเทศไทยครับ น้องๆก็มองหน้ากัน แล้วคุยกันว่า ไทยแลนด์ สงสัยไม่รู้จักครับ 55 ตอนนั้นมาขอถ่ายรูปด้วยเยอะจริงๆ แล้วก็แนะนำตัวว่าหนูชื่อนี้นะ ผมชื่อนี้นะ เราก็แบบเออ เป็นดาราวุ้ยทริปนี้ 55

การมาเที่ยวตุรกี ถ้าอ่านประวัติศาสตร์และที่มาก่อน หรือมีหนังสือนำเที่ยว หรือมีไกด์พาชม ผมว่าจะเที่ยวอย่างสนุกและมีคุณค่ามากขึ้นครับ เพราะแต่ละที่ล้วนผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน เคยผ่านจุดรุ่งเรือง จุดตกอับมาแล้ว

ด้วยความที่เป็นสายแช่ ผมเป็นคนคลั่งไคล้งานศิลปะ ประวัติศาสตร์ ครับ เข้าไปในพิพิธภัณฑ์ทีเหมือนได้อยู่ในโลกที่เราอยากค้นหา จึงค่อยๆดื่มด่ำไปเรื่อยๆ จนเพื่อนๆผมหนีไปก่อน ฮ่าๆ ผมก็เดินชมอะไรเรื่อยเปื่อยครับ ที่วิหารฮาเกียโซเฟียนั้นมีสองชั้นนะครับ อย่าลืมเดินเข้าไปดูชั้นสองด้วยนะครับ

เมื่ออยู่ชั้นสองและมองลงมา จะเห็นว่ามันยิ่งแสดงความยิ่งใหญ่ของวิหารนี้เลยทีเดียว

บรรดานักท่องเที่ยวเองก็ไหลหลั่งเข้ามาเรื่อยๆครับ อย่างว่าครับที่นี่คือ The Must มาแล้วต้องห้ามพลาด

ภาพนี้เป็นอีกหนึ่งโมเสคที่สวยงามมากครับ แต่ก็น่าเสียดายมากที่มันเสียหายจากการเวลา

เป็นโมเสคที่ชื่อว่า Deesis Mosaic ครับ สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 นี่ถือว่าเป็นผลงานสุดยอดเกี่ยวกับศิลปะโมเสคจากสมัยไบเซนไทน์ครับ Deesis Mosaic ถูกวาดในสไตล์มนุษยนิยม  และเพราะหน้าต่างที่เปิดทิ้งทางด้านซ้าย ส่งผลให้ภาพของพระแม่มารี ได้รับความเสียหายมานานหลายศตวรรษ

เรื่องราวในโมเสกก็คือ  พระแม่มารี และ เซนต์จอห์นเดอะแบปทิสต์และพระคริสต์ กำลังถูกขอร้องให้มีการทักทายมนุษย์โดยแสดงอารมณ์ในแบบที่เสมือนจริงครับ โมเสคชิ้นนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในฐานะผู้บุกเบิกศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาด้วย

ด้านบนเป็น กระเบื้องโมเสกเซราฟิมครับ (Seraphim Mosaic) เป็นผลงานที่สร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 9 ครับผม ตั้งอยู่ตรงแถวตรงกลางโดม ในภาษาฮิบรู คำว่า เซเซราฟิมหมายถึง ‘ผู้เผาไหม้’ ภาพผลงานเราจะเห็นว่าเซราฟิมจะถูกปิดใบหน้าไว้ด้วยดวงดาวครับผม คือภาพต้นฉบับเราจะเห็นหน้าเซราฟิมนะครับ แต่ว่าด้วยความที่ในยุคออตโตมัน คือยุคมุสลิมเค้าห้ามมีภาพคนไงครับ ก็เลยวาดดาวทับเลย ฮ่าๆ

ทูตสวรรค์เซราฟิมมี 6 ปีกเลยครับ 2 ปี คลุมเท้า 2 ปีก ปิดหน้าและ 2 ปีก กางออกพร้อมที่จะบิน เซราฟิมส์ทางด้านตะวันออกเป็นภาพต้นฉบับในขณะที่ภาพอื่น ๆ เป็นเพียงภาพวาดเลียนแบบครับ

ส่วนตัวอักษรยึกยือที่เขียนบนแผ่นไม้กลมๆรอบๆมหาวิหารนั้นเป็นผลงานเขียนอย่างวิจิตรบรรจงโดย M. Izzet Efendi ครับ  ซึ่งถูกนำมาประดับเพิ่มในช่วงรัชสมัยของสุลต่านอับดุลเมจิด (Abdulmejid) เป็นชื่อของพระอัลเลาะห์ โมฮัมเหม็ดและหลานชายของเขา ฮะซันและฮุสเซน และกาหลิบสี่คน ในตอนที่มีการเปลี่ยนจากมัสยิดมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ภาพเหล่านี้เกือบจะถูกถอดทิ้งไปแล้วนะครับ แต่สุดท้ายก็ยังคงอยู่ครับ

The Zoe Mosaic เป็นอีกหนึ่งผลงานโมเสคที่น่าสนใจครับ โมเสคนี้ถูกค้นพบในปี 1934​ โดยสถาบัน Byzantine Institute เป็นโมเสคที่มีอะไรมากมายที่จะบอกเราเกี่ยวกับจักรพรรดินีโซอี้ โซอี้เป็นลูกสาวของคอนสแตนตินที่ 8 ที่มีความต้องการอยากให้เธอแต่งงานกับอาร์รีรอสก่อนที่เขาจะเสียชีวิต (ผมคิดว่าน่าจะเป็นคนละ Zoe ที่แต่งกับจักรพรรดิ์ลีโอที่ 6 นะครับ) เมื่อเธอแต่งงานกับอาร์กีรอส โซอี้อายุ 50 ปีแล้วและยังเวอร์จิ้นอยู่ หลังจากการแต่งงานของพวกเขา โซอี้ตกหลุมรักหนุ่มน้อยชื่อว่าไมเคิล

พอตกหลุมรักกัน พวกเขาทั้งคู่ก็พากันฆ่าอาร์กีรอสครับ โดยจับถ่วงน้ำในอ่าง และไมเคิลก็กลายเป็นจักรพรรดิแทน อย่างไรก็ตาม ประมาณ 7 ปีถัดมา ไมเคิลที่สี่ก็เสียชีวิต และหลานชายของเขา ไมเคิลที่ 5 ก็กลายเป็นจักรพรรดิ์แทน และจับโซอี้ไปกักขัง สิ่งนี้กลายเป็นเรื่องที่นำไปสู่การจลาจลต่อต้านจักรพรรดิ์องค์ใหม่ และเขาถูกปลดบัลลังก์โดยคอนตแสนตินที่ 9 ที่ชื่อว่า  Constantine IX Monomachos ซึ่งเป็นสามีคนที่สามของจักรพรรดินีโซอี้ ในช่วงชีวิตของโซอี้ เธอไม่มีลูกเลยครับ

ดังนั้นสามีแต่ละคนที่โซอี้มี ภาพใบหน้าในโมเสคก็เปลี่ยนไปตามยุคของสามีครับ ดังนั้นภาพที่เราเห็นจึงเป็นภาพของสามีคนสุดท้ายของจักรพรรดินีโซอี้

ข้อความที่อยู่ด้านบนภาพศีรษะของจักรพรรดิ์ Constantine IX Monomachos เขียนว่า “ศาสนาแห่งจักรพรรดิของชาวโรมัน คนรับใช้ของพระเยซู Konstantinos Monomakhos” ส่วนข้อความบนจักรพรรดินี เขียนว่า “ศรัทธาต่อศาสนา ออกัสต้า โซอี้” และยังมีตัวย่อ IC XC ซึ่งเป็นตัวย่อของพระคริสต์ครับ

จริงๆแล้วในมหาวิหาร Hagia sophia ยังมีผลงานจัดแสดงอีกเยอะมากเลยทีเดียวครับ แต่ผมขอนำเสนอเพียงเท่านี้ก่อน เพราะว่าเดี๋ยวจะเยอะและยาวไป ฮ่าๆ อีกอย่างเพื่อนๆผมหนีไปเที่ยวที่อื่นแล้วครับ ผมต้องรีบไปสมทบกับเพื่อนๆแล้ว โดยสถานที่ต่อไปคือ มัสยิดสีน้ำเงินครับ


Blue Mosque มัสยิดสีน้ำเงิน

ด้วยความที่มัวแต่ดื่มด่ำกับความงามของมหาวิหาร Hagia Sophia ผมก็เลยไปต่อคิวคนเดียวที่มัสยิดสีน้ำเงินครับ เพื่อนๆผมไปต่อคิวก่อนแล้ว ตอนนั้นคนเยอะมากๆ เราต้องใส่ถุงพลาสติกหุ้มรองเท้าเราด้วยครับ ที่นี่เข้าฟรีครับผม

คนต่อคิวยาวเหยียดมากๆ ช่วงที่ผมไปก็มีการปรับปรุงอีกแล้วครับ ผืนผ้าใบเต็มทั่วทั้งอาคาร เพื่อนผมเข้าไปแล้วบอกว่า ไม่ค่อยมีอะไร เพราะมีแต่การก่อสร้าง ผมก็บอกว่า ไม่เป็นไร ไหนๆก็มาถึงแล้ว ขอเข้าไปเห็นกับตาครับ

โชคดีมากที่ที่นี่อากาศไม่ค่อยร้อนครับ คือแดดแรงจริง แต่มันไม่ร้อน ทำให้เราอยู่กลางแดดได้นาาน และผิวถูก UV ทำร้ายโดยไม่รู้ตัวครับ ฮ่าๆ เอาน่าอย่างน้อยก็ไม่ต้องร้อนด้วยได้ยูวีด้วยเนอะ

บลูมอสก์ หรือ Blue Mosque สุเหร่าสีน้ำเงินนี้ เดิมมีชื่อว่า สุเหร่าสุลต่านห์อาร์เหม็ดที่ 1 (Sultan Ahmed Mosque) ครับ และเนื่องจากว่าเป็นมัสยิดสำหรับทำพิธีกรรมทางศาสนา เวลาเข้าไปเราก็ต้องสำรวมให้เกียรติศาสนสถานด้วยครับ  เป็นมัสยิดที่สร้างขึ้นในปี 1609 และสร้างเสร็จในปี 1616 ครับ เป็นการสร้างเสร็จหนึ่งปีก่อนที่สุลต่านอาห์เหม็ดจะสิ้นพระชนม์ด้วยวัยเพียง 27 พรรษาเท่านั้น

โดยส่วนตัวแล้วผมชอบมากๆเลยนะครับ งานข้างในคือละเอียดมาก เป็นงานกระเบื้องที่เข้าโค้งได้อย่างลงตัว มันมีความเยอะที่หรูหรา เอาจริงๆ ผมก็ว่าผมอยู่ดูได้เป็นชั่วโมงอีกนั่นแหละ บอกแล้วว่าผมสายเที่ยวแบบแช่ครับ 55

เหตุผลได้ที่ชื่อว่า  Blue Mosque ก็เพราะว่าภายในมัสยิดมีการประดับด้วยกระเบื้องสีฟ้าจากอิซนิคครับ มีการประดับประดาด้วยลวดลายดอกไม้ต่างๆ เช่น ดอกกุหลาบ ดอกทิวลิป ดอกคาร์เนชั่น ที่นี่อนุญาตให้เข้าชมได้แค่ชั้นล่างเท่านั้น ชั้นสองจะห้ามขึ้นไปครับ

ดูสิครับ ลวดลายสวยงามเสียเหลือเกิน เสียดายนะครับที่ตอนผมมาเค้าก็ปิดซ่อมขนานใหญ่ อดเห็นความเป็นสีน้ำเงินภายในตัวอาคารเลย

เดินชมความงามของการตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตาไปครับ

มัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นอยู่ตรงข้ามกับวิหาร Hagia Sophia เลยครับ เพราะสุลต่านต้องการจะบอกว่า เห้ย เราก็สร้างสิ่งยิ่งใหญ่ได้เหมือนกันนะ ไม่แพ้วิหารนั้นหรอก ก็สร้างมัสยิดนี้ขึ้นมานั่นเอง

ผมใช้เวลาที่นี่พักใหญ่ ดื่มด่ำกับความงามของอินทีเรีย ก็ออกมาพบเพื่อนๆครับ เพื่อนผมถามว่าเป็นไงบ้างข้างใน ผมก็บอกว่าผมชอบนะ ผมทำงานสายออกแบบด้วยแหละ งานพวกนี้ผมก็ชอบดู จะได้เอามาประยุกต์ใช้กับการทำงานของตัวเอง พอเจอกันแล้วเราก็เดินไปตรงประตูด้านหลังมัสยิดครับ แล้วเราก็จะเจอตลาดขายของ และพิพิธภัณฑ์โมเสคด้วย


The Museum of Great Palace Mosaics

ต้องบอกก่อนเลยว่า ที่นี่จะเหมาะกับคนชอบงานโบราณนะครับ เพราะเป็นโมเสคที่สร้างขึ้นในช่วงปี คศ 450-550 ครับผม เราจะเห็นผลงานศิลปะวัตถุโบราณถูกจัดแสดงรอบพิพิธภัณฑ์เลยครับ

ผลงานโมเสคที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นภาพวิถีชีวิต สิงสาราสัตว์ สัตว์ในเทพนิยาย ครับ ไม่มีภาพเกี่ยวกับศาสนาใดๆ สามารถเดินชมได้เพลินๆ ที่นี้ใช้บัตร Museum Pass เข้าได้เลย

เสน่ห์ของภาพโมเสคก็คือ มันเป็นกระเบื้องชิ้นเล็กๆ ที่ศิลปินนำมาต่อต่อกันเป็นเรื่องราว และมีการไล่เฉดสีอีก เป็นงานที่ต้องอาศัยระยะเวลาและความพยายามมาก

นี่ครับผม ลองดูใกล้ๆ โมเสคกระเบื้องชิ้นเล็กมากเลยครับ

ชิ้นนี้ค่อนข้างสมบูรณ์ครับ เป็นภาพนายพรานกำลังออกไปล่าสัตว์

ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์เพิ่มเติม เราจะอินกับที่นี่มากครับ เพราะว่าครั้งหนึ่งนั้นที่นี่เคยถูกสร้างประดับประดาด้วยงานโมเสคหรูหราที่เป็นผลงานของศิลปินชั้นครูในยุคนั้น แค่เราได้เห็นถนนที่หลงเหลือที่ทำเป็นโมเสคละเอียดๆแบบนี้ ก็พอทำให้เราเห็นภาพความเจริญในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่งในสมัยนี้ผมก็คิดว่ายังไม่มีที่ไหนมีถนนที่ละเอียดได้แบบยุคนั้นกระมัง


Basilica Cistern

เที่ยวชมทั้งวิหารทั้งมัสยิดจนตะวันเริ่มบ่ายแล้ว เราก็พากันหาอาหารเที่ยงทานกันครับ แถวนั้นมีร้านอาหารหลายร้าน สามารถเลือกดูได้เลย ราคาอาหารตอนผมไปก็ราว 30-70 TL ครับ เรทเหมือนเรานั่งกินข้าวในห้างทุกมื้อ ผมชอบฮอตชอคโกแลตและน้ำผลไม้ที่นี่นะครับ มันคือผลไม้จริงๆ ไม่ใช่เน้นน้ำแข็งเยอะๆแบบบ้านเราอ่ะ บ้านเราได้แต่น้ำแข็ง น้ำผลไม้จริงประมาณ 2/10 ฮ่าๆ

กินข้าวอิ่มแล้ว ก็พากันเดินไปยังจุดต่อไปครับ ทีนี้เราจะต่อแถวลงไปใต้ดินกันจ้า ไปดูความมหัศจรรย์ของคนโบราณที่สร้างความยิ่งใหญ่ใต้พื้นพิภพได้ขนาดนี้เลยหรือเนี่ย มันคืออ่างเก็บน้ำใต้ดิน หรืออุโมงค์ส่งน้ำครับ สร้างในีปี คริสตศักราช 532  ก็เกือบ 1,500 ปีมาแล้วครับ สร้างในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน เพื่อที่ต้องการจะให้เป็นที่เก็บน้ำเอาไว้ใช้สอยภายในพระราชวัง

เข้าไปแล้วจะเห็นว่าเสาที่ตั้งตระหง่านเป็นร้อยๆเสานั้นดูน่าทึ่งเสียเหลือเกินครับ เป็นเสาคอลัมน์ที่ค้ำยันหลังคาอยู่ใต้ดิน เป็นศิลปะแบบคอรินเทียนของโรมันครับผม มีทั้งหมด 336 ต้น สูงต้นละ 9 เมตรเลยนะครับ!! เรียงๆกันทั้งหมด 12 แถว แถวละ 28 ต้น เมื่อก่อนก็จะเต็มไปด้วยน้ำเต็มเพดานเลย เราเข้าไม่ได้ แต่ตอนนี้เค้าสูบน้ำออกหมดแล้วครับ ที่นี่เคยเป็นที่ใช้ในการถ่ายทำหนัง Hollywood ด้วยนะครับ คือเรื่อง “Inferno”

หนึ่งในสิ่งที่คนให้ความสนใจคือเสาที่มีหัวเป็นเมดูซ่าแต่ว่าหันข้างและกลับหัวครับ คือเป็นเคล็ด เพราะว่าใครก็ตามที่จ้องตาเมดูซ่าจะกลายเป็นหิน จึงต้องออกแบบแบบนี้ ให้ปกปักสถานที่แห่งนี้อยู่ใต้บาดาล

ตามตำนานเทพกรีก เมดูซ่าเป็นผู้หญิงที่สวยและน่าสงสารมากครับ นางหลงรักเทพพอร์ซิอุลบุตรของซุส แต่เทพีอาธีนาก็ปลื้มเทพเพอร์ซิอุสเช่นเดียวกัน จึงเกิดความอิจฉา ก็เลยสาปเมดูซ่าว่า ขอให้เธอมีผมเป็นงู และใครจ้องมองเมดูซ่าจะต้องกลายเป็นหิน แหม่ เทพนี่ก็มีด้านร้ายไม่แพ้กันเลยครับ

ที่นี่ก็จะมีแต่เสาและเสา ครับ เราเลยไม่ได้ใช้เวลาอยู่นานเท่าไหร่ เรารีบออกไปยังจุดถัดไปก่อนที่มันจะปิดครับ นั่นก็คือพิพิธภัณฑ์งานศิลปะโบราณคดีครับ


Archeological Museum Istanbul

พิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล (Istanbul Archeology Museum) เป็นกลุ่มของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งจัดแสดงโบราณวัตถุ และผลงานทางศิลปะ ในด้านต่างๆ มากกว่าหนึ่งล้านชิ้น และครอบคลุมเกือบทุกยุค และทุกอารยะธรรมในประวัติศาสตร์โลกครับ โอ้ยยยย คนคลั่งพิพิธภัณฑ์อย่างผมอยากจะดิ้นแด่วๆ ชอบมาก ฮ่าๆ

ข้างในก็มีของโบราณเยอะมาก แบบเยอะ เยอะ เยอะะะะะะะะ ภาพนี้เป็นโลงศพจากอียิปต์ครับ มีอักษรภาพบนโลงศพด้วย

โอย ปลามปลื้ม ปลื้มปริ่ม มีความสุขกับการได้เห็นของเหล่านี้ ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงคลั่งไคล้งานโบราณ อาจจะมาจากเคยอ่านหนังสือสมัยเด็ก แล้วก็ใฝ่ฝันอยากจะเห็นสิ่งที่เราเคยอ่านด้วยตาตัวเอง พอมาเจอแล้วมันเหมือนฝันที่เป็นจริงครับ อักษรภาพแม้จะเคยเห็นผ่านหนังสือ แต่มันก็คนละความรู้สึกนะ ไม่เหมือนเวลาเห็นด้วยตาตัวเองจริงๆ

อักษรคูนิฟอร์ม!! วะ วะ วะ ว้าววววว นี่คืออักษรรูปลิ่ม เป็นรูปแบบของการเขียนอักษรที่เก่าแก่ที่สุดของโลกในยุคเมโสโปเตเมียเลยนะครับ!

และนี่คือสนธิสัญญาแห่งคาเดช (Treaty of Kadesh) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาสงบศึก ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก!! ถ้าไม่รู้ประวัติศาสตร์ก็คงจะเฉยๆใช่ไหมครับ บักสน แกจะตื่นเต้นทำไมนักหนา มาครับ มาดูเรื่องราวที่ว่าทำไมผมถึงตื่นเต้น

คลิกเพื่ออ่านบทความเกี่ยวกับ The Battle of Kadesh นี้ดูนะครับ เค้าเขียนได้ดีมากๆเลยครับ

เป็นไงครับ? อ่านหรือยัง แล้วก็คงจะเข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่าทำไมผมถึงตื่นเต้นที่ได้เห็นเจ้าตัวนี้ ฮะฮะฮ่า

ผลงานจัดแสดงหนึ่งล้านชิ้น ผมไม่สามารถเอามาฝากได้หมดครับ อยากเห็นต้องไปดูเองนะครับ ผมถ่ายมาเฉพาะบางจุดครับ มันเยอะเสียเหลือเกิน แล้วก็เสียดายมากที่ไปตอนเย็นแล้ว มีเวลาเที่ยวไม่เยอะ ไม่เป็นไร ไว้เก็บตังค์ไปใหม่ ฮิๆ ภาพนี้ผมก็กรีสอีกแล้วครับ เป็นผลงานจากประตูอิชตาร์แห่งบาบิโลน อ้ากกกกกก

คือในยุคสมัยของบาบิโลน พระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ ให้มีการสร้างกำแพงล้อมกรุงไว้ครับ โดยจะมีประตูหลวงที่เรียกว่า “ประตูอิชตาร์” (The Ishtar Gate) เค้าสร้างขึ้นมาเพื่อถวายแก่มหาเทวีอิชตาร์ ผู้ที่เป็นเทวีประจำเมืองและเทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่ชาวบาบิโลเนียนเคารพนับถือ

ตัวประตูที่สมบูรณ์นั้นจะอยู่ที่เบอร์ลินนะครับ อันนี้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ชอบมากๆ

เรียกได้ว่ามันเยอะมาก เยอะจนละลานตาครับ อยู่ได้ทั้งวัน หรือไม่แน่อาจจะสองวันเลยก็ได้ถ้าให้ดูละเอียดทั้งสามอาคาร ตอนนั้นผมเสร็จที่อาคารแรกก็เดินออกมายังสวนด้านนอกครับ เดินไปยังอาคารถัดไป สวนเข้าก็ทำสวยครับ ประดับด้วยวัตถุโบราณที่สวยมาก

และระหว่างที่ผมถ่ายรูปผมก็ได้ยินเสียงคนทัก ขอให้ถ่ายรูปให้ครับ เป็นหนุ่มน้อยชาวตุรกีที่มาทราบชื่อทีหลังว่า ชื่อ อาห์เหม็ด เป็นนักเรียนปีหนึ่งคณะ Biochemsitry ที่มหาลัย Ege University ที่อิซเมียร์ น้องบอกว่าเดินทางเที่ยวตุรกีคนเดียว คุยกันถูกคอเพราะชอบเที่ยวเหมือนกัน จากนั้นน้องก็เลยไปเที่ยวกับผมเกือบทุกเมืองเลยครับ

ในอาคารที่สองเป็นอาคารหลักครับ ถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุด และสำคัญที่สุดด้วย ก่อตั้งโดยโอซมัน ฮัมดีเบย์ (Osman Hamdi Bey) ในปี ค.ศ. 1891 เพื่อเก็บรักษาวัตถุทางวัฒนธรรม ที่ได้รับจากการขุดพบ ตามเมืองต่างๆ ในเขตปกครอง ของจักรวรรดิออตโตมันครับ

แค่ชั้นแรกที่เข้าไปเห็นบรรดาโลงศพที่มีการแกะสลักแบบไม่เกรงใจคนดู ก็ทึ่งละจ้า

แกะสลักได้งามงาม ควรค่าแก่การมาเยี่ยมชมมากเลยครับ

ถือว่าวันนี้เป็นอีกวันที่อิ่มมากๆครับ อิ่มอกอิ่มใจกับการได้เห็นงานศิลปะที่มีอายุนับพันปี และมีความสวยงาม จนเห็นแล้วก็ปลื้มใจแทนที่พวกเขามีสมบัติมรดกโลกกันเยอะแยะขนาดนี้

หลังจากเที่ยวเสร็จ พวกเราก็ไปยัง Grand Baazar เพื่อไปทานร้านอาหารที่โด่งดังจากท่าโรยเกลือครับ “Nur-Est”  เป็นร้านที่ดังมาก และค่าอาหารแพงมากจ้า แพงทุกอย่าง ตั้งแต่โค้ก แต่เอาหนะมาถึงแล้วก็ลองทานดูเนาะ

สาขานี้ตอนผมไปรอคิวประมาณครึ่งชั่วโมงครับ

ได้เนื้อบางๆหกชิ้น ราคาเกือบพันบาท ฮืออออออออ และบอกตามตรงว่า โดยส่วนตัวคิดว่าไม่อร่อยครับ ไม่คุ้มค่าเงิน อาจจะเป็นเพราะผมไม่ชินกับรสชาติอาหารที่นี่ด้วยแหละครับ ปากใครปากมันเนอะ แต่น้องที่ไปด้วยคนตุรกีแอบมาถามผมว่า พี่ว่าอร่อยไหม เอาจากใจจริงนะ ผมก็บอกว่าไม่อร่อยอ่ะ น้องบอกว่า ผมก็ว่าไม่อร่อย และแพงเกิ๊น 555 ส่วนขวดแยมนั้นคือน้ำพริกปลาย่างที่พกไปจากเมืองไทยครับ ช่วยชีวิตได้จริงๆนะ ฮ่าๆๆๆ

รวมเบ็ดเสร็จ มื้อเย็นในร้านดังของเรา ก็หมดไปราว 4,000 บาทครับ แพงสุดในบรรดาอาหารทุกมื้อของทริป

และเรื่องราวการเดินทางในตอนที่สองของผมก็ขอจบลงเท่านี้ก่อนนะครับ มันยาวมากอีกแล้ว ฮ่าๆ  แล้วเจอกันตอนที่สามนะครับ

The post แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที 2 ชมมัสยิด และ พิพิธภัณฑ์ ณ อิสตันบูล appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/travel-istanbul-part-2-visit-museum-and-mosque.html/feed 0
แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอน 1 อิสตันบูล โคตรคูลเลย https://backpackstory.com/backpack-to-turkey-part-1-istanbul-is-wonderful.html https://backpackstory.com/backpack-to-turkey-part-1-istanbul-is-wonderful.html#respond Sat, 25 May 2019 13:06:25 +0000 http://backpackstory.com/?p=5907 ตุรกีนี่เป็นประเทศแรกที่ผมไปไกลขนาดนี้ ปกติลัดเลาะแต่แถบเอเชียใกล้ๆ อยู่ๆก็อยากจะไปเที่ยวไกลๆดู ก็ลองหาประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า แล้วก็เหมาะเจาะที่ประเทศตุรกีพอดีครับ ประเทศนี้เคยได้ยินมาบ้างสมัยเรียนหนังสือ แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดเชิงท่องเที่ยวมากนัก แล้วผมก็ชวนเพื่อนๆน้องๆไปด้วย รวมกันเป็นสี่คน

The post แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอน 1 อิสตันบูล โคตรคูลเลย appeared first on Backpack Story.

]]>
สวัสดีครับผม กลับมากันอีกครั้งกับบันทึกเรื่องราวการเดินทางแบกเป้ของผมนะครับ ครั้งนี้ผมจะมาเล่าการเดินทางที่เพิ่งกลับมาสดๆร้อนๆ ที่ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ เต็มไปด้วยอารยธรรม ศิลปะ และผู้คนที่เป็นมิตรมากๆ นั่นก็คือประเทศตุรกี ไล่ตั้งแต่ อิสตันบูล ไปสิ้นสุดที่อิสเมียร์ครับ

นี่เป็นประเทศแรกที่ผมไปไกลขนาดนี้ ปกติลัดเลาะแต่แถบเอเชียใกล้ๆ อยู่ๆก็อยากจะไปเที่ยวไกลๆดู ก็ลองหาประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า แล้วก็เหมาะเจาะที่ประเทศตุรกีพอดีครับ ประเทศนี้เคยได้ยินมาบ้างสมัยเรียนหนังสือ แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดเชิงท่องเที่ยวมากนัก แล้วผมก็ชวนเพื่อนๆน้องๆไปด้วย รวมกันเป็นสี่คน การเดินทาง 2 – 15 พ.ค. 2019 ครับ

แพลนการเดินทางนะครับ

  • DAY 1 นั่งสายการบิน​ Gulf Air ไป อิสตันบูล ทรานสิทที่บาเรห์น
  • พักที่โรงแรม จองผ่าน AirBnb
  • DAY 2 เที่ยว Nuruosmaniye Mosque, พระราชวัง Topkapi และ Harem ต่อด้วยสวนสาธารณะ GÜLHANE PARK และเลาะทะเลตรงช่องแคบบอสฟอรัส
  • DAY 3 Hagia Sophia , Blue Mosque , Mosaic Museum, Archeological Museum, Underground Cistern
  • DAY 4 ล่องเรือชมวิวช่องแคบบอสฟอรัส, พระราชวัง Domabahce Palace + Harem, จตุรัส Taksim
  • DAY 5 บินไปยังเมือง KAYSERI เช่ารถเที่ยวในแถบ Cappadocia, Pasabagi, Panoramic View Point
  • พักที่โรงแรม Caravanserai Inn Hotel
  • DAY 6 ไปเที่ยว Uchisar, เมืองใต้ดิน Kaymakli Underground City
  • DAY 7 เที่ยวในเมือง Cappadocia ไปเดิน Treking ชมวิว ตอนดึกนั่ง Night Bus ไปยัง Antalya
  • DAY 8 เที่ยวเมืองเก่า Antalya, ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน, หอคอยเก่า, Hadrian’s Gate, Antalya Museum
  • พักโรงแรม Hotel Twenty
  • DAY 9 นั่งรถบัสไปยังเมือง Pamukkale
  • พักที่โรงแรม Aspawa Hotel
  • DAY 10 เที่ยวข้างใน Pamukkale
  • DAY 11 นั่งรถไฟไปยังเมือง Selcuk เที่ยว Roman Aqueduct, Ephesus, Basilica of St. John, Ayasuluk Fortress, Isa Bey Mosque
  • พักโรงแรม Homeros Pension & Guesthouse
  • DAY 12 เที่ยว Ephesus Museum
  • DAY 13 บินไปยัง Istanbul
  • พักโรงแรม
  • เที่ยว Grand Bazaar, Spice Bazaar
  • DAY 14 บินกลับไทยสายการบิน Gulf Air
  • งบประมาณต่อคน รวมทุกสิ่งอย่าง 40,000 บาท

เอาละครับ ทีนี้มาเริ่มอ่านบันทึกการเดินทางของผมกันได้เลยครับ

การเดินทางครั้งนี้ด้วยความที่ต้องการประหยัดงบ เพราะเป็นประเทศแรกที่ต้องแลกเงินยูโรไปด้วย ก็แบบโอเค ยอมนั่งสายการบินที่ทรานสิทก็ได้ ฟรีแลนซ์แบบผมไม่มีปัญหา เพื่อนที่ไปด้วยทำงานประจำก็ไม่มีปัญหา ก็เลยจบที่สายการบิน Gulf Air ครับ ไม่เคยนั่งเหมือนกัน พยายามหาอ่านรีวิวก็มีเขียนทั้งดีและไม่ดี ก็ได้แต่คิดว่า เอาหนะ ไม่ลองไม่รู้ ปรากฎว่ามันก็ดีมากนะครับ ยกเว้นตอนบินจากไทยไป เครื่องบินกระจกสกปรกมาก ถ่ายภาพวิวด้านนอกไม่ได้เลย และแอร์แอบเห็นหยากไย่ 55 แต่ขาบินไป อิสตันบูล และตอนขากลับไทยก็ดีมาก โดยรวมผมให้ 8.5/10 ครับ มีอาหาร มีน้ำเสิร์ฟ แต่ก็มีเรื่องดีเลย์ครับ เกือบ ชั่วโมง

เราไปทรานสิทกันที่บาเรห์นก่อน ที่นี่ Duty Free แพงไม่ดูโลกภายนอกเลยจ้า เห็นราคาแล้วสะอึก นี่คือ Duty Free มิติไหนกันเนี่ย แพงกว่าร้านช้อปในห้างอีกครับ ก็ได้แต่เดินดูเฉยๆ เพราะไม่มีเงิน มีสิ่งเดียวที่เราซื้อได้คือ Coke เพราะราคาแค่ 1 USD ครับ ที่นี่รับบัตรเครดิตไม่มีขั้นต่ำ พวกผมก็นั่งๆทำไรฆ่าเวลาตลอด 6 ชั่วโมงครับ เป็นสนามบินที่เล็กมาก และมีเน็ตฟรีบริการแค่ 45 นาที รู้สึกแบบ อืม ผิดหวังหน่อยสำหรับคนติดเน็ตแบบผมครับ 55

พอมาถึงสนามบินอิสตันบูล โอ้โห สนามบินเค้าใหญ่มากๆ มารู้ว่าเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ การเข้าประเทศเขาก็ง่ายมากครับ เดินไปที่ ต.ม. เลย ยื่นพาสปอร์ต จบปิ้ง ไม่มีถามไรสักคำ ไม่ต้องกรอกใบขาเข้า คือเป็นประเทศที่ชิลจริง แต่แสกนกระเป๋าไม่ชิลนะครับ อย่างผมมีคอมพิวเตอร์ มี iPad เค้าให้เปิดเครื่องให้ดูทุกครั้งเลย ไม่เข้าใจเหมือนกัน แถมเป็นแค่ของผมนะ เพื่อนไปด้วยก็ไม่เจอ หรือเขาสงสัยอะไรก็ไม่รู้ครับ บางทีอาจจะสงสัยพวกแบตเตอรี่มั้ง แบบในหนังที่เอาระเบิดพ่วงกับแบตอะไรทำนองนี้ ก็เดาไปนะครับ

ทีนี้ด้วยความที่เราไปถึงอิสตันบูลตอนตีหนึ่งกว่า กว่าจะได้กระเป๋า ก็เกือบตีสอง ตอนนั้นก็ไม่มีรถสาธารณะแล้วครับ ผมก็ใช้วิธีเรียก Taxi ที่สนามบิน ได้มาราคา 25 EUR ที่นี่จ่ายเงินด้วยเงินลีร่า หรือยูโร ก็ได้ เอาที่สะดวก จริงๆเป็นค่ารถที่แพงนะครับ แต่ก็ซื้อเวลาครับ เพราะเจ็ทแล็คกันหมดเลย เหนื่อยมาก อยากไปถึงที่พักเร็วๆ ตอนนั้นก็หกโมงเช้าไทยแล้ว แต่ที่นั่นเพิ่งตีสอง พอไปถึงที่พักก็รีบนอนเอาแรงกันครับ เพลีย นั่งเครื่องนาน แถมเวลาถอยหลังอีกครับ


DAY 2 MERHABA ISTANBUL!

เช้าวันถัดมา พวกเราก็ตื่นนอนกันแบบสลืมสลือครับ ในที่สุด ทริปแดนไกลของพวกเราทั้งสี่คนก็พร้อมแล้วครับ ทริปนี้มีน้องผู้หญิงไปด้วยคนหนึ่ง หนึ่งสาวกับชายหนุ่ม อย่างแรกที่เราต้องทำคือ “แลกเงิน” ครับ และนำว่าไปแลกตรงแถว Grand Bazaar ได้เรทดีครับ ตรงประตูทางเข้า ตอนผมไปก็ได้ราวๆ 1 EURO = 6.6 TL ครับ

ช่วงที่อยู่ตุรกี จะมีคนมาขอถ่ายรูปด้วยหลายคนครับ รู้สึกเหมือนตัวเองหน้าตาดีมากเลย 55 มีครั้งหนึ่งมีคนเดินมาบอกว่า น้องของฉันอยากถ่ายรูปกับคนญี่ปุ่น เราขอถ่ายรูปกับคุณด้วยได้ไหม พวกเราก็บอกว่าเราเป็นคนไทย ไม่ใช่คนญี่ปุ่น เค้าก็บอกว่า ไม่เป็นไร อยากถ่ายด้วย เราก็ฮากันไปครับ

ที่อิสตันบูลวันนี้อากาศดีมากครับ เย็นสบายมาก เดินกันเพลินเลยทีเดียว บ้านเมืองเค้าก็สะอาดด้วยครับ ตรงจุดที่ผมพักนั้นจะเดินลงเนินไปหน่อย ใครที่มีกระเป๋าลากก็อาจจะต้องเดินหอบนิดนึงนะครับ

ระหว่างทางก็จะเห็นอาชีพที่หาไม่ได้แล้วในเมืองไทยคือ อาชีพช่างขัดรองเท้าครับ ผมเคยอ่านเจอมีคนรีวิวบอกว่าที่นี่จะมีพวกที่มาทำท่าทำแปรงขัดรองเท้าตก พอเราหยิบให้ เค้าก็จะเสนอขัดรองเท้าให้ฟรี แต่พอขัดเสร็จก็ขอเงินเราอะไรแบบนี้ อันนี้ก็ต้องระวังนะครับ แต่ถ้าคนที่นั่งขัดอยู่กับที่ พวกนี้คืออาชีพเค้าอยู่แล้ว ใช้บริการได้เลย

ที่ตุรกีมีร้านขายของแบบรถเข็นเหมือนบ้านเราด้วยนะครับ ส่วนมากจะขายขนมปัง ขายผลไม้ แล้วก็พวกไอติม

หลังจากที่ได้เงินลีร่าตุรกีมาแล้วแล้ว กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องครับ ผมกังวลเรื่องอาหารมาก หลังจากไปอินเดียก็ทำให้รู้ว่า ผมไม่สามารถทานอาหารได้ทุกชาติ ทริปนี้จึงพกมาม่าคัพไป 6 ถ้วย และน้ำพริกปลาย่าง 2 กระปุก เผื่อพลาด ก็ปรากฎว่าจริงด้วยครับ อาหารที่นั่นไม่ค่อยถูกปากผมเลย ก็ได้เจ้าน้ำพริกนี่แหละครับ ที่มาทาขนมปังกินกับข้าวได้ ไม่งั้นนะ โอ้ย น้ำหนักคงลดมากกว่านี้ ทุกครั้งที่เราทานอาหารจะพากันขำตลอด ขำกับรสชาติอาหารที่แปลกลิ้น ลุ้นกันทุกมื้อว่าจะรสชาติเป็นอย่างไร

ในเมืองอิสตันบูล เค้าจะให้ถนนร่วมกันระหว่างคนเดิน รถราง และรถอื่นๆครับ นั่งรถรางที่นี่ถูกมากๆ ราวสองรีล่ากว่า หรือประมาณสิบสองบาทครับ และต้องใช้บัตรแตะ ซึ่งบัตรนี้สามารถใช้ร่วมกันได้ด้วย คือถ้าผมแตะแล้วก็ส่งให้เพื่อนอีกคนแตะเข้ามาก็ได้ ข้อดีของมันก็คือ คนที่สองจะได้รับส่วนลด! ประหยัดไปอีก เป็นนโยบายให้คนของเค้าใช้รถสาธารณะกันครับ

เดินเล่นได้เรื่อยๆครับ อากาศแบบนี้ อยากให้เมืองไทยมีอากาศเย็นๆแบบนี้บ้าง ฮ่าๆ

จุดแรกที่เราไปเที่ยวกันนั้น เป็นมัสยิดที่เราก็ไม่รู้จักหรอกครับ ทริปนี้ชิล ทุกคนไม่ได้วางแผนอะไรเลย มานั่งหาจุดท่องเที่ยวกันสองสามวันก่อนเดินทาง ระหว่างเดินในถนนก็เห็นป้ายแนะนำว่า ตอนนี้คุณอยู่ตรงไหน มีอะไรล้อมรอบที่น่าสนใจ ซึ่งมันประหลาดมาก เพราะมีภาษาตุรกีกับภาษาเกาหลี และอักษรเบรล!! แต่ไม่มีภาษาอังกฤษ ก็ได้แต่ร้อง อะไรวะเนี่ย 5555 พวกเราก็เลยเดินไปดู เพราะมันอยู่ใกล้ๆกันครับ

นี่คือตัวมัสยิดเมื่อมองจากภายนอกครับ ยิ่งใหญ่ตระการตา เชื้อเชิญให้เข้าไปสัมผัสเสียเหลือเกิน เอาจริงๆแค่ความยิ่งใหญ่ของตัวอาคารภายนอกมันก็ดูไม่ธรรมดาแล้วแหละ

ตัวอาคารใหญ่มากจริงๆครับ โดดเด่นเห็นแต่ไกล

พอไปถึง โอ้โห แม่เจ้าโว้ยยย นี่มันมัสยิดอะไร ทำไมสวยแบบนี้ บ้านเราไม่มีด้วยไงครับ ก็พากันถ่ายภาพกันยกใหญ่ แล้วก็เดินเข้าไปข้างใน ไปดูกันว่าข้างในมัสยิดนั้นจะเป็นแบบไหนนะ

พอไปเห็นสถาปัตยกรรมข้างในแล้ว อึ้งครับ สวยจริงๆ มันสวยแบบคลาสิค และเงียบสงบ เพราะแทบจะไม่มีคนเลย ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นมัสยิดที่สวยงามแบบนี้  ที่นี่เข้าชมฟรีด้วยครับ แต่ผู้หญิงต้องมีผ้าโพกศีรษะครับ

มัสยิดนี้คือมัสยิด Nuruosmaniye Mosque ครับ เป็นมัสยิดที่ได้สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 1 สั่งให้ดำเนินการก่อสร้างในปี 1749 แต่ว่าสุลล่านก็สิ้นพระชนม์ก่อนที่จะสร้างเสร็จ มัสยิดนี้สร้างเสร็จในปี 1755 ในช่วงการปกครองของออสมันที่ 3 และได้รับการตั้งชื่อว่า Nuruosmaniye ที่แปลว่า “แสงกว่าแห่งออสมัน” เนื่องมาจากการที่มีหน้าต่างจำนวนมากที่เปิดให้แสงส่องเข้ามาในมัสยิดครับ

ที่นี่มีการก่อสร้างที่มีโครงสร้างซับซ้อนอยู่ภายในตัวมัสยิดเอง คือมีทั้ง มาดราซ่า (โรงเรียนสอนศาสนา) ห้องครัว ลานน้ำพุ ห้องสมุด หลุมฝังศพ โดยมัสยิดนี้สร้างโดยสถาปนิคสองคนได้แค่ มุสตาฟาอากา และ ไซเมียนคาลฟ่า โครงสร้างนี้เป็นโครงสร้างที่เป็นตัวอย่างผลงานของสถาปัตยกรรมออตโตมันบาร็อคเนื่องจากองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมบาร็อค เช่นการตกแต่งที่อวดโดมขนาดใหญ่ ให้ความสำคัญกับแสงที่สอดส่องลงมา มีหน้าต่างหลายบาน เป็นต้น

ตามความหมายของ “แสงสว่างแห่งออสมัน” มัสยิดแห่งนี้มีหน้าต่างจำนวน 174 บานเลยครับ ทำให้แสงที่สอดส่องเข้ามาสว่างไสวไปทั่วภายในตัวอาคาร

ภายในโดมของมัสยิด Nuruosmaniye นั้นได้รับการตกแต่งด้วย “verse of light” จากอัลกุรอาน

มัสยิดนี้มีสิ่งที่แตกต่างจากมัสยิดออตโตมันอื่นๆ คือเสี้ยวที่อยู่ด้านบนของหออะซานของมัสยิด ทำจากหินแทนที่จะเป็นทองสัมฤทธิ์

มัสยิดแห่งนี้การตกแต่งภายนอกที่หรูหราและมีหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับแสงเข้าสู่ภายในตัวอาคาร เมื่อเราเดินเข้าไปข้างในก็ตะลึงกับการตกแต่งภายในที่เรียบง่ายแต่หรูหราเช่นเดียวกันครับ บอกไม่ถูกเหมือนกัน คือมันสวยอ่ะ เป็นการมาเจอมัสยิดแบบงงๆ แต่โดนใจเลยครับ ตอนนั้นผมคุยกันว่านี่ขนาดมัสยิดที่เราไม่รู้จักยังขนาดนี้  แล้วที่ดังๆจะขนาดไหน ตรงนี้ตั้งอยู่แถวสุลต่านอาเหม็ดเลยนะครับ มาง่ายมาก เปิดทุกวัน 09:00-18:00 น. ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมจ้า

พอดื่มด่ำกับเสร็จแล้วเราก็เดินกันไปยังจุดต่อไปครับ ที่พักของเราอยู่ในแถบ Sulatanahmed ซึ่งดีมาก เพราะใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ระยะทางคือเดินได้ครับ อากาศไม่ร้อนมาก (แต่แดดแรง) ตอนนั้นตั้งใจจะไปที่พิพิธภัณฑ์ Hagia Sophia แต่เห็นแถวยาวเหยียดแล้ว เลยเปลี่ยนแพลนไปพระราชวัง Topkapi แทนครับ

อย่างแรกเราต้องไปซื้อบัตรเข้าชมก่อน พวกผมใช้วิธีซื้อ Museum Pass 315 TL ใช้ได้ 15 วัน เข้าได้ที่ละครั้ง และใช้ในช่อง fast track ได้ด้วย ประหยัดเวลามาก คุ้มค่ามากครับสำหรับคนที่ชอบพิพิธภัณฑ์

Topkapi Palace Museum มีการเปิดให้เข้ามชม และมีบางจุดที่ห้ามถ่ายภาพครับ คือพวกแถบที่จัดแสดงเครื่องครัว เครื่องเรือน เครื่องใช้ครับ ไปเห็นแล้วก็อึ้งอีกครั้งกับความร่ำรวย อยากรวยแบบนี้บ้าง แค่เห็นกาน้ำชาก็หรูหรามากแล้วครับ 55

Topkapi Palace เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของของเมืองอิสตันบูลเลยครับ มีการเจริญและเสื่อมโทรมตามกาลเวลาและประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงสมัย ทุกวันนี้ที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดโอกาสให้คนเข้ามาสัมผัสว่าที่ที่ครั้งหนึ่งบรรดาเจ้าของจักรวรรดิเคยพักอยู่มันเป็นอย่างไร เราเข้าไปแล้วจะได้ได้ทำความรู้จักกับสุลต่านแห่งจักรวรรดิออตโตมันค่อนข้างใกล้ชิดผ่านแต่ละห้องที่มีการเปิดให้เข้าชมครับ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

พระราชวังนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1461 โดยสุลต่านเมห์เม็ตที่ 2 ที่แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นทั้งบ้านและสัญลักษณ์ทางการเมืองของจักรวรรดิ์ออตโตมัน จนกระทั่งยุคสมัยของสุลต่านอับดุล เมซิด ที่ 1 ได้ย้ายครอบครัวและข้าราชบริพารไปยังพระราชวัง Dolmabahce ในปี 1853 เท่ากับว่าในตลอดระยะเวลา 4 ศตวรรษ สถานที่นี้ทำหน้าที่เป็นที่พำนักให้กับสุลต่านถึง 22 พระองค์เลยครับ

ต่อมาก็ถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ครับ ภายหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมันและยุคการสร้างชาติสาธารณรัฐตุรกีในปี 1924

ภาพด้านบนนี้เป็นภาพของ “ช่องเพดาน” ครับ เค้าทำเป็นช่องๆ โปร่ง ให้อากาศถ่ายเทได้ แล้วตอนแสงส่องลงมา มันมีสีๆแบบดังภาพครับ ผมเลยถ่ายภาพมาฝากด้วย

ต้องบอกเลยว่าที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผมแนะนำว่าต้องมาดูให้ได้ครับ ข้างในมีสวนที่ประดับด้วยดอกไม้หลากสี สนามหญ้าสวยๆ มีนิทรรศการจัดแสดงเยอะด้วยครับ ไล่ตั้งแต่คลังอาหาร ห้องครัว คลังอาวุธ คอลเลคชั่นชุดชงกาแฟ ภาพวาด โอย เยอะแยะจริงๆครับ ก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะที่นึ่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่คนเข้าเยี่ยมชมเยอะสุดในอิสตันบูล ผมอ่านเจอมีเขียนว่าปีนึงคนเข้าประมาณ 3 ล้านคนครับ และแน่นอน คิวก็จะยาวด้วย ดังนั้นก็วางแผนดีๆเด้อ ใช้บัตร Museum Pass ประหยัดเวลาสุดครับ อิอิ

คือข้างในนี้มันมีห้องหับเยอะมากครับ เยอะจนแบบถ่ายภาพกันเพลินเลย ลวดลายที่ประดับประดาก็จะเป็นลายแบบดังภาพครับ งานกระเบื้อง งานพรม คือดีจริงอะไรจริง

ตามกฎของมุสลิมจะไม่อนุญาตให้ใช้ภาพคนหรือสัตว์มาประดับครับ ดังนั้นข้างในก็จะเป็นพวกงานกระเบื้องที่มีการประดับด้วยภาพพืช ดอกไม้ อย่างตรงนี้จริงๆมันคือโดมที่ใหญ่มากครับ แล้วเค้าก็วาดต้นองุ่นลงไป คือสวยมากๆ

นอกจากนี้ที่พระราชวังแห่งนี้ยังมี Harem ด้วยครับ ใช่แล้ว สถานที่ไว้บำเรอกามของสุลต่านนั่นเอง คือสุลต่านเค้าจะมีนางสนมเยอะมากครับ ตามตัวเลขที่ผมเห็น ในช่วงรัชสมัยของAbdülaziz (2404-1919) มีมากถึง 800 กว่าคนเลยครับ ว่ากันว่านางสนามเหล่านี้มักถูกนำมาจากจอร์เจียหรือคอเคซัสหรือไม่ก็ถูกจับในฮังการีโปแลนด์และเวนิส

บางคนบอกว่าการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมัน  ส่วนหนึ่งเนื่องจากความบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นกับน้องชายที่โชคร้ายของสุลต่านผู้ถูกกักขังในคุก (ตั้งอยู่ในส่วนฮาเร็ม) เพื่อป้องกันสงครามสืบราชบัลลังก์ เมื่อถึงตาของพวกเขาที่จะขึ้นครองบัลลังก์ หลายคนดูเหมือนจะคลุ้มคลั่งและเป็นบ้าจากการถูกจำคุกเป็นเวลาหลายปีและก็เลยถูกลอบสังหารในเวลาต่อมา

ที่นี่จะมีส่วนที่จัดแสดงผนังที่ประดับด้วยเพชร 86 ชิ้น ที่เป็นเพชรเม็ดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลกด้วยครับ แต่ผมไม่เห็นนะ เพราะเค้าปิดซ่อม 55 พลาดไป เสียดายเหมือนกัน สงสัยต้องได้กลับไปแก้ตัว อิอิ

ในฮาเร็มมีหลายห้องมากครับ ผมว่าใช้เวลาทั้งหมด ราวสองสามชั่วโมงได้เลย ถ้าคนชอบงานดีเทลก็น่าจะมากกว่านั้น

ในห้องสุดท้ายของฮาเร็ม คือผมตื่นตะลึงยิ่งขึ้นไปอีกครับ งานข้างในคือสวยมาก สวย สวย สวยยยยยยย ถ่ายภาพมาก็ไม่ได้อย่างตาเห็น แอบเสียดายอยู่เหมือนกันครับ

พอชมพิพิธภัณฑ์ที่นี่เสร็จ ผมก็บอกกับเพื่อนๆว่า เราไปชม Archeological Museum Istanbul กัน เพราะมันอยู่ติดกัน แต่ปรากฎว่ามันปิดแล้วครับ ก็เลยเดินลัดเลาะตามทางเดินมาเรื่อยๆ คือต้องบอกเลยว่าช่วงที่ผมไปอากาศมันดีมาก แม้แดดจะแรงแต่มันไม่ได้ร้อนไงคับ แล้วตอนนั้นเราก็เห็นสวนสาธารณะข้างๆ โอ้โหหห ทุ่งดอกไม้กำลังผลิบาน ดอกทิวลิปหลากสี เห็นแล้ว อดรีนาลีนไหลพลุ่งพล่าน

เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นดอกไฮยาซินธิ์ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นดอกทิวลิปสาระพัดสี ใครที่ชอบอ่านตำนานกรีกอาจจะผ่านหูผ่านตาเกี่ยวกับความเป็นมาของดอกไฮยาซินธิ์นะครับ เพราะมันคือดอกที่เกิดจากเทพอพอลโลสร้างจากชายคนรักของตัวเองที่เสียชีวิตในอ้อมกอด เป็นความเศร้าของอพอลโลจึงสร้างดอกนี้เพื่อรำลึกถึงชายคนรักของตัวเองครับ ตำนานเทพกริกโรมัน ความรักไม่แบ่งเพศนะครับ ดังนั้นเราจะเห็นว่ามีคู่รักแบบเพศเดียวกันเยอะมาก ไล่ตั้งแต่เทพเจ้าซุสลงมาเลย

ดอกเป็นพุ่มๆ สวยดีครับ และมันเยอะมาก เยอะแบบละลานตาครับ สวนนี้ อยู่ติดกับพระราชวัง Topkapi และพิพิธภัณฑ์ Archeological Museum Istanbul เป็นสวนสาธารณะที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองนี้ครับ

สวนแห่งนี้เป็นสวนที่มีขนาดใหญ่มาก ทอดตัวยาวลงไปยังทะเล เราสามารถเดินเล่นไปเรื่อยๆ แล้วก็จะเห็นชายทะเลที่ช่องแคบบอสฟอรัสครับ

Gülhane Park เคยเป็นส่วนหนึ่งของสวนด้านนอกของพระราชวัง Topkapı และส่วนใหญ่ประกอบด้วยป่าละเมาะ ส่วนหนึ่งของสวนด้านนอกได้รับการวางแผนให้เป็นสวนสาธารณะโดยเทศบาล . และเปิดให้สาธารณชนเข้าชมในปี 1912 สวนสาธารณะแห่งนี้มีพื้นที่สำหรับสันทนาการ มีสนามเด็กเล่นและอื่น ๆ มีรูป รูปปั้นAtatürk แห่งแรกในตุรกีด้วยครับ รูปปั้นถูกสร้างขึ้นในสวนสาธารณะในปี 1926 โดย Heinrich Krippel

ส่วนบรรดาดอกทิวลิปนั้นก็เยอะมากเหมือนกันครับ ตอนแรกไม่คิดว่าจะได้เห็นด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าทิวลิปคงร่วมหมดแล้ว แต่ที่ไหนได้ ที่สวนนี้ยังมีให้เห็นเพียบ เป็นพันเป็นหมื่นต้น หลากสีสัน อ้อ ทิวลิปมีต้นกำเนิดที่ตุรกีนะครับ ตอนนี้ทางรัฐบาลตุรกีเองก็พยายามที่จะประชาสัมพันธ์ให้คนรู้ เพื่อทวงคืนตำแหน่งทิวลิปกลับมา

ดอกทิวลิปสีเหลืองอร่าม แต่ละสีเหมือนมีความหมายด้วยครับ

นี่ก็ครั้งแรกที่เพิ่งเคยเห็นดอกทิวลิปสีนี้ครับ เหมือนสีกำมะหยี่คล้ำๆ

เราเห็นว่ามีคนมาที่สวนนี้ค่อนข้างเยอะพอสมควรครับ น่าจะเป็นสวนที่สวยที่สุดของอิสตันบูลนะครับ คนมาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์เบิกบาน บางคนก็มานอนอ่านหนังสือกัน

ทิวลิปสีชมพูก็สวยมากเหมือนกันครับ มีหลากสีจริงๆ

พอเราเดินสุดทางของสวนเราก็จะเห็นทางเชื่อมไปยังชายทะเลครับ ที่นี่ไม่มีชายหาดครับ ไปถึงปุ๊บ ก็ทะเลเลย แปลกดีครับ อีกฝั่งที่มองเห็นก็คนละทวีปแล้วนะครับ

อากาศที่นี่ก็เริ่มเย็นครับ เห็นแสงแดดแบบในภาพ อย่านึกว่าเพิ่งสี่ห้าโมงเย็นนะครับ นี่เกือบสองทุ่มแล้วจ้า มาเที่ยวช่วงนี้กำไรมากๆ เพราะกว่าพระอาทิตย์จะตกดินก็หลังสองทุ่มแล้วครับ ถ่ายภาพได้เพลินทั้งวัน

แถวนี้เราจะเห็นชาวตุรกีจูงคนรัก ลูก หลาน มาเดินเล่น และหลายคนก็มาตกปลาครับ

ตกปลาได้แล้ว ผมเห็นว่าเขาโยนให้แมวด้วย ที่นี่แมวเยอะมากๆ

น้ำทะเลสีเข้มมาก เข้มแบบไม่ต้องใช้ฟิลเตอร์ ไม่ต้องแต่งภาพใดๆ ส่วนคลื่นก็จะแรงๆหน่อยๆครับ

สาวๆบอกว่า หนุ่มตุรกีงานดี ดีจริงไหม ลองดูเองครับ จากที่ผมเห็น ผมรู้สึกว่าคนตุรกีมีความหลายหลายทางใบหน้าสูงมาก ส่วนใหญ่จะหน้าตาเป็นฝรั่งแต่ผมดำ บ้างก็เหมือนชาวอาหรับ บ้างก็คล้ายคนอินเดีย และหลายๆคนก็เหมือนคนเอเชียแบบจีนอะไรทำนองนี้ครับ

อ้อ มานี่คนจะทักพวกเราว่าเป็นคนจีน ไม่ก็ญี่ปุ่น ไม่ก็เกาหลี ผมเคยถาม เค้าบอกว่าเค้าแยกไม่ออก ก็คงเหมือนเราแยกฝรั่งไม่ออกว่าชาติไหนมั้ง มาที่นี่รู้สึกฮอตครับ ฮ่าๆๆๆๆๆ

อีกเรื่องที่ผมสังเกตที่นี่ครับ คือหาผู้หญิงตุรกียากมาก ที่เจอส่วนมากคือนักท่องเที่ยวครับ ไม่แน่ใจว่าเพราะกฎหมายมุสลิมหรือเปล่า แต่ก็ไหนบอกว่าเป็นประเทศมุสลิมที่ไม่เคร่ง แล้วผู้หญิงไปไหนหมด แทบจะไม่เคยเห็นผู้หญิงทำงานเลยครับ มานี่จะมีแต่ผู้ชายมาบริการเรา

ที่นี่แมวเยอะมากครับ เยอะแบบเยอะไปไหม แล้วผมก็ไม่รู้ว่าแมวมันสะอาดไหม มีเชื้อไหม แต่ก็เห็นบรรดาทาสๆทั้งหลายก็พากันวิ่งไปเล่นกับน้องแมวครับ แมวก็อ้วนพี เพราะคนตุรกีรักแมว ริมทะเลนี่เค้าตกปลาให้แมวกินจ้า

วันนี้เราทั้งสี่คนยังมีอาการเจ็ทแล็คกันอยู่บ้างครับ พระอาทิตย์ก็ตกดินช้าเสียเหลือเกิน ข้อเสียก็คือเราเดาเวลาไม่ถูกถ้าอิงแค่จากสภาพแสง ข้อดีคือ เราเที่ยวได้นานขึ้น และผมคิดว่าสำหรับบล็อกตอนนี้ผมขอจบการเล่าเรื่องของวันแรกก่อนละกันนะครับ ไม่งั้นมันจะยาวมหากาพย์อีก เดี๋ยวติดตามการเดินทางวันต่อไปครับ ขอบอกก่อนเลยว่า อิสตันบูลนะ สามสี่วันมันไม่พอหรอกครับ ผมชอบมากๆ แล้วเจอกันตอนต่อไปนะครับ

The post แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอน 1 อิสตันบูล โคตรคูลเลย appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/backpack-to-turkey-part-1-istanbul-is-wonderful.html/feed 0