Backpack Story https://backpackstory.com แบกเป้เที่ยวรอบโลก เก็บประสบการณ์การเดินทาง Wed, 12 Oct 2022 07:28:38 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.4.5 https://backpackstory.com/wp-content/uploads/2018/06/cropped-bp-32x32.png Backpack Story https://backpackstory.com 32 32 เที่ยวเกาะหมา ใต้ทะเลสวยตาแตก ชมปะการังแน่นมาก https://backpackstory.com/%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b2-%e0%b9%83%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%97%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%aa%e0%b8%a7.html https://backpackstory.com/%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b2-%e0%b9%83%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%97%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%aa%e0%b8%a7.html#respond Wed, 12 Oct 2022 07:28:10 +0000 https://backpackstory.com/?p=9183 “หาข้อมูลเกี่ยวกับเกาะหมา ไม่ค่อยมีเลย” มีน้องทักมาหาผม หลังจากที่ได้ติดตามเพจของผมและสนใจอยากไปจะไปเที่ยวเกาะหมาบ้าง แล้วพยายามหาข้อมูลที่อื่นก็หาไม่เจอ ใช่ครับ เกาะหมาไม่ใช่เกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักครับ เลยไม่ค่อยมีคนพูดถึง แต่ว่าอีกไม่นาน เกาะนี้ก็น่าจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวของสายสคูบาแล้วครับ เพราะว่าเค้าเอาเรือมาจมไว้ที่นี่ ทำให้กลายเป็นจุดดำน้ำลึกของสคูบาไปแล้ว เกาะหมาเป็นเกาะที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะลันตาครับ

The post เที่ยวเกาะหมา ใต้ทะเลสวยตาแตก ชมปะการังแน่นมาก appeared first on Backpack Story.

]]>
“หาข้อมูลเกี่ยวกับเกาะหมา ไม่ค่อยมีเลย” มีน้องทักมาหาผม หลังจากที่ได้ติดตามเพจของผมและสนใจอยากไปจะไปเที่ยวเกาะหมาบ้าง แล้วพยายามหาข้อมูลที่อื่นก็หาไม่เจอ

ใช่ครับ เกาะหมาไม่ใช่เกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักครับ เลยไม่ค่อยมีคนพูดถึง แต่ว่าอีกไม่นาน เกาะนี้ก็น่าจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวของสายสคูบาแล้วครับ เพราะว่าเค้าเอาเรือมาจมไว้ที่นี่ ทำให้กลายเป็นจุดดำน้ำลึกของสคูบาไปแล้ว

เกาะหมาเป็นเกาะที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะลันตาครับ แต่ก็เนาะ ขนาดเกาะลันตาว่าคนไทยไม่ค่อยไปแล้ว เกาะหมานี่ยิ่งแทบจะไม่เป็นที่รู้จักเลยครับ แต่ว่าแนวปะการังสวยมากๆ ตอนผมไปก็สมบูรณ์เลยครับ ว้าวมาก เห็นแล้วแบบโอ้ย นี่มันสุดยอดมากๆ ปะการังขึ้นแบบหลากหลายชนิด หอยมือเสือก็เยอะมาก แล้วก็มีโอกาสเจอฉลามด้วย จัดว่าเป็นหนึ่งใน Hidden Gems ของทะเลไทย

เกาะหมาเป็นเกาะเล็กๆ ไม่มีหาด ปกติเป็นเกาะที่พี่ชาวประมงไปหาปลากันครับ แต่นั่นแหละที่ไหนมีฝูงปลา ที่นั่นมักมีของดีครับ สามารถเหมาเรือหางยาวไปได้ครับ อยู่ระหว่างทางไปเกาะพีพีครับ โดย ณ วันที่ผมเขียนอยู่นี้ ค่าเรือหางยาวแบบเหมาวันคือ 3,000 บาท สำหรับ 1-4 คน คนถัดไปคิดเพิ่มหัวละ 300 บาท ครับ

เกาะนี้เป็นเกาะที่เหมาะกับการมาชมแนวปะการัง ดูปะการังแต่ละแบบ ชมปลาแต่ละชนิด หรือใครที่สายฟรีไดฟ์ จะลงไปถ่ายภาพสวยๆก็ได้ครับ มีพื้นที่ลึกๆให้ลงเยอะมาก ตรงพื้นทรายขาวๆ ก็ 7 เมตรกว่าแล้วครับผม ส่วนคนฟรีไดฟ์ไม่ได้ ก็ชมปะการังแบบสนอกเกิล ความลึก 2-3 เมตร แค่นี้ก็เจอปะการังสีสันสวยๆแล้วครับ

มาครับ ไปชมความงามใต้ทะเลของเกาะหมากับผมเลย

การเดินทางไปยังเกาะหมา

แนะนำว่าเดินทางจากเกาะลันตามาเกาะหมา จะสะดวกกว่าครับ และในวันที่ผมเขียนบทความนี้ ยังไม่มีทัวร์ One Day Trip ที่เน้นเกาะหมาโดยตรงครับ หากอยากจะไปเยือนเกาะหมา ต้องเช่าเรือหางยาวไปเท่านั้น โดยเรือหางยาวที่ผมเคยเช่าไปนั้น คิดราคาวันละ 3,000 บาท สำหรับ 1-4 คน คนต่อไปคิดเพิ่มหัวละ 300 บาท  (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หลังจากสถานการณ์น้ำมันขึ้นราคา อาจจะต้องตรวจสอบราคาหน้างานอีกทีครับ) ช่องทางการติดต่อเที่ยวลันตา หรือหาเรือหางยาว แนะนำติดต่อผ่านเฟสบุคพี่ที่เกาะลันตา FB : Yatiwat Ohh ได้เลยครับ พี่เค้ามีคอนแทคเรือหางครับ

ตอนที่ผมเอาหน้าจุ่มลงไปในน้ำ โอ้โห มันอย่างกะมีคนมาจัดสวนใต้น้ำเลยครับ ด้วยความที่น้ำใส แล้วปะการังวางตัวเป็นฟอร์มที่สวยงามมาก ทั้งยังมีความหลากหลาย ในพื้นที่ที่เห็น มันมีทั้งปะการังแผ่น ปะการังเขา หอยเม่น หอยมือเสือ ฝูงปลา

นี่มันบ้าไปแล้ว โดนสาดความสวยใส่แบบไม่ยั้ง

ที่นี่หอยมือเสือเยอะมากครับ เยอะจนแทบจะเกยกันอยู่แล้ว บางจุดคือมองเห็นแต่หอยมือเสือหลายสิบตัว

หอยมือเสือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองนะครับ จริงๆปะการังทั้งหลายด้วยก็เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตรงนี้น้ำไม่ลึกครับ ช่วงผมไปก็ราว 2 เมตรหน่อยๆ ชิวมากครับ ดำลงไปดูได้สบายๆ

ปกติผมไม่ค่อยเจอสาหร่ายสีเขียวๆแบบนี้สักเท่าไหร่ ครั้งนี้เจอที่เกาะหมา แล้วสาหร่ายก็ขึ้นแบบอยู่ในดงปะการัง เลยทำให้เด่นขึ้นเยอะมาก

ปะการังที่นี่หลากหลายจริงๆครับ ครั้งนี้เห็นพวกปะการังที่เหมือนเกิดใหม่ด้วย สีสันสวยงาม

ปะการังมีความสำคัญกับทุกชีวิตเลยครับ มนุษย์เองก็พึ่งพาแนวปะการังเช่นเดียวกัน ในท้องทะเลนั้นปะการังถือว่าเป็นจุดที่ปลาส่วนใหญ่จะมาอาศัยอยู่ และแนวปะการังบนโลกใบนี้มีพื้นที่น้อยมาก พวกเราโชคดีมากครับที่มีแนวปะการังสวยๆอยู่ในประเทศให้เราได้ชมกัน แถมน้ำทะเลก็ไม่แรง น้ำไม่เย็น เหมาะกับการไปสัมผัสความงามเหล่านี้

ด้วยความชอบโพลิปปะการังเป็นการส่วนตัว เห็นปะการังบานๆทีไร ต้องเก็บภาพสักหน่อยทุกทีครับ เพราะมันอัศจรรย์จริงๆ สัตว์เหล่านี้ มีรูปร่างเหมือนพืชบนบกมาก

นี่ก็ปะการังอีกแบบครับ โพลิปยาวเฟื้อย

ความสมบูรณ์ ให้ภาพบอกเองครับ ปลาตัวเล็กๆมาว่ายเพียบเลยครับ

หนึ่งในไฮไลท์ประจำวันนี้คือการ “ชมปลาฉลามครีบดำ” ครับผม

น้องอยู่ในน้ำตื้นมาก ตอนที่เจอน้องคือน้ำไม่ถึง 2 เมตรด้วยซ้ำ

เทคนิคในการชมน้องคือ ลอยตัวนิ่งๆ ไม่ต้องส่งเสียงดัง อย่าว่ายตามน้อง แล้วน้องจะว่ายวนเวียนไปมาให้เราชมแบบจุใจครับ น้องเองก็อยากรู้แหละว่าเจ้าพวกนี้มันคือปลาอะไรกันเนี่ย

อย่างน้องตัวนี้ก็ว่ายมาแบบ ไม่ไปไหนเลย มาใกล้มาก แทบจะชนตัวอยู่แล้ว

เราก็สนใจฉลาม ฉลามก็สนใจเรา วิน วิน ครับ 55

บางทีก็มาเป็นฝูงครับ เอาให้หนำใจไปเลย

ผมใช้เวลาชมฉลามเกือบชั่วโมงแหนะครับ

ครั้งนี้ผมพาน้องชายชาวอังกฤษ มาเที่ยวด้วย น้องบอกว่า มายก้อด ฉลามว่ายมาใกล้มาก ฟินมากเลย สังเกตดูนะครับว่า ฉลามไม่ได้อยู่ลึกเลยครับ น้องจะพากันว่ายในแถบแนวปะการังน้ำตื้นครับ เราก็ลอยตัวนิ่งๆ ก็พอครับ

จากนั้นก็ดำชมปะการังต่อครับ ตื่นตาตื่นใจกับความหนาแน่นและหลากหลายของปะการังที่เกาะหมามากๆ

ดูสิครับ อย่างกะมีคนมาจัดสวนเลย Landscape ใต้ทะเลสวยมากๆ

มันขึ้นแบบว่า โอ้โห อะไรกันเนี่ย ทั้งปะการัง ปะการังโขด ปะการังเขา ปะการังจาน แล้วฟอร์มการเรียงตัวเหมือนมีคนมาจับวาง นี่มันงานศิลปะชัดๆ

เกาะที่ไม่ค่อยมีใครแวะ แต่กลับมีใต้ทะเลที่สวยสดงดงามขนาดนี้เลยครับ

เจอสาหร่ายเขียวๆอีกแล้ว ถ่ายรูปสิครับ รออะไร 55

ปลาก็หลากหลายด้วยนะครับ วันนั้นผมไปฟรีไดฟ์ที่ประมาณ 7 เมตรด้วย เจอฝูงปลากะพงข้างเหลืออีกเยอะมาก และแถวผิวน้ำก็เจอปลาสีน้ำเงิน (ไม่รู้จักชื่อ) เพียบเช่นกันครับ

ว่ายไปเรื่อยๆ ก็เจอปะการังสวยตลอดทาง ปะการังแน่นมาก

เป็นการอยู่ในน้ำ 5 ชั่วโมงที่อิ่มมากครับ ข้อดีของการไปเที่ยวแบบไพรเวท เราะจะลงน้ำนานแค่ไหนก็ได้

เกาะหมา เที่ยวได้ทั้งรอบเกาะเลยนะครับ ตอนนี้มีจุดดำน้ำแล้วด้วย คือตรงที่เค้าเอาเรือไปจม แต่ตอนนี้เรือเหล่านั้นยังไม่มีอะไรไปอยู่ครับ ผมเคยไปดำมาแล้วครั้งนึง เรือจมไม่มีอะไรน่าประทับใจเท่าไหร่ เหมือนที่ทิ้งขยะมากกว่าครับ น่ากลัวมาก เรือโยกเยก ประตูก็ขยับได้ ส่วนตัวแล้ว ชอบเกาะหมาตรงแนวปะการังมากกว่าครับผม

ใครชอบถ่ายภาพแนว landscape ผมว่าเกาะนี้ก็มีมุมสวยๆเพียบเลยครับ แล้วแต่มุมมองของแต่ละท่าน

แต่ละด้านของเกาะ ก็จะมีจุดเด่นต่างกันออกไป เช่น ฝั่งนี้ปะการังแบบนี้ อีกฝั่งปะการังอีกแบบ และหนึ่งในสิ่งที่คนชอบมากก็คือ ดอกไม้ทะเล และปลาการ์ตูนครับ ที่นี่มีเยอะเช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่เป็นปลาการ์ตูนสีส้มๆแบบในภาพครับผม

จู่ๆ น้องปลาก็ว่ายมาแล้วหยุดหน้ากล้องซะงั้น สงสัยน้องอยากมีภาพ ก็จัดไปครับ

ชอบ Shape ของแนวปะการังที่นี่มากเลยครับ มีการเรียงสูงต่ำที่ประทับใจสุดๆ

หอยมือเสือก็เยอะมาก และสีสันหลากตา หอยมือเสือหายากนะครับ ทั่วโลกจัดให้เป็นสัตว์กลุ่มเปราะบาง เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์​ด้วย

ปะการังก็หลากหลายเช่นกัน ผมว่าที่นี่ถ้าทำแนวท่องเที่ยวเชิงความรู้ พาสนอกเกิลชม Coral’s ID ผมว่าน่าจะสนุก

เจออีกแล้วครับ หอยมือเสือในแนวปะการัง

ว่ายไปก็เจอกับปะการังอีกแบบ สีม่วงๆครับ ปลาลอยตัวเหนือปะการังนี้เยอะเช่นเดียวกัน

ตรงนี้ก็สวย ตรงนั้นก็สวย อยากมาเที่ยวทุกวันเลยครับ ฮ่าๆ

ปะการังนี้ผมชอบเรียกว่า ปะการังกุหลาบ เพราะมันเหมือนดอกกุหลาบ (จริงๆเป็นปะการังผักกาด) ดูสิครับ เรียงตัวสวยเกินไปแล้ว

แค่มาสนอกเกิลเท่านั้นนะครับ ไม่ต้องลงน้ำลึกอะไรเลย อย่างวันนี้ก็ลงไม่เกิน 4-5 เมตรครับ แล้วน้ำมันใส ก็มองเห็นชัดๆเลย

ปะการังอีกแบบครับ สวยอีกแล้ว

เจอน้องปักเป้ากล่องสีน้ำเงินลายจุดด้วยครับ ตัวนี้เป็นตัวผู้ครับ สังเกตที่ตัวน้องจะมีสีสันสวย มีสีน้ำเงินด้านล่าง ถ้าตัวเมียจะเป็นดำหรือน้ำตาลๆ ไม่ออกน้ำเงินครับ

อีกจุดก็จะเป็นดงปะการังแบบนี้ครับ ปะการังแผ่นเปลวไฟ หนาตามากครับผม Heliopora coerulea หรือปะการังสีน้ำเงิน

ฝูงปลาใต้แนวปะการังครับ เยอะมากเช่นกัน

นี่ก็ฝูงปลาอีกแล้วครับผม ดื่มด่ำกันจนอิ่มหนำสำราญกันสุดๆ เป็นทริปที่แฮปปี้มากๆ

และนี่แหละครับ คือโลกใต้ทะเลของ “เกาะหมา” เกาะที่ไม่ไกลจากเกาะลันตา อยู่ระหว่างทางของการไปเกาะพีพี

ถ้าใครที่มาลันตาไม่ว่าจะหน้า High season หรือ Low season แล้วอยากจะหาจุดเที่ยวใหม่ๆ ก็ลองพิจารณาเกาะนี้ดูได้นะครับ

สำหรับผมแล้ว ผมเป็นคนชอบปะการังมาก ดังนั้นขอแค่มีปะการัง ผมก็ชอบละครับ แล้วยิ่งเกาะหมาที่ปะการังเยอะขนาดนี้ ทั้งฉลาม ทั้งปลา ทั้งงูทะเล ผมจึงรักเกาะนี้มากครับ

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราได้เห็นจุดสวยงามของทะเลไทยเพิ่มขึ้นอีกจุดนะครับ ถ้าหากเห็นว่าพอจะมีประโยชน์ ก็ช่วยบอกต่อ กด Like, Share ด้วยนะครับ

ขอบคุณครับผม

เลิฟๆ บักสน

 

The post เที่ยวเกาะหมา ใต้ทะเลสวยตาแตก ชมปะการังแน่นมาก appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%a7%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b2-%e0%b9%83%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%97%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%aa%e0%b8%a7.html/feed 0
เที่ยวมัลดีฟส์ นอนวิลล่า ชมแมนตา กระเบนราหู ในราคาที่เอื้อมถึง https://backpackstory.com/travel-maldives-to-see-manta-rays-at-hanifaru-bay.html https://backpackstory.com/travel-maldives-to-see-manta-rays-at-hanifaru-bay.html#respond Tue, 04 Oct 2022 08:16:20 +0000 https://backpackstory.com/?p=9096 ทริปนี้ผมน้ำตาจะไหลมากครับ มันปลื้มที่สุด ไม่คิดว่าจะได้เจอแมนตาอะไรมากมายขนาดนี้ ผมเดินทางไปชมแมนตาสองวันติดเลยครับ วันที่สองคือยิ่งเยอะกว่าเดิม ไกด์บอกว่า นี่แหละคือ Hanifaru ของแท้ เยอะจนแบบไม่รู้จะถ่ายตัวไหนก่อน น้องๆก็ตัวใหญ่และมีเสน่ห์มากๆ ว่ายมาตื้นด้วยครับ คือใครที่จะมาที่นี่เห็นได้แน่นอน และตรงนี้เค้าไม่ให้ดำสคูบานะครับ ทำได้แค่สนอกเกิลกับฟรีไดฟ์ครับผม

The post เที่ยวมัลดีฟส์ นอนวิลล่า ชมแมนตา กระเบนราหู ในราคาที่เอื้อมถึง appeared first on Backpack Story.

]]>
พูดถึงมัลดีฟส์ แต่ก่อนนั้นไม่ได้เป็นประเทศที่เรียกความสนใจจากผมได้เท่าไหร่นักนะครับ เพราะว่าผมเองได้ยินมาแค่ว่ามัลดีฟส์เป็นประเทศที่เป็นเกาะมากมาย และเด่นเรื่องน้ำใสๆ แค่นั้นเอง และคนที่เคยไปมา ก็บอกว่าน้ำหนะใสจริง แต่ใต้ทะเลก็ไม่มีใครพูดถึง ภาพที่ผมเคยผ่านหูผ่านตาก็เป็นภาพคนนอนรีสอร์ทหรูๆกลางน้ำ ถ่ายภาพกับน้ำทะเลใสๆ ไม่ก็ภาพจากมุมโดรน ซึ่งถ้าวิวแค่นั้น กับการจ่ายเงินราคาค่อนข้างสูง ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องไปอะไรขนาดนั้น เพราะบ้านเราก็ทะเลสวย ราคาย่อมเยา ใต้ทะเลก็สวยด้วย

แต่วันหนึ่ง ผมลงเรียนฟรีไดฟ์ ครูวาวที่สอนผม เล่าให้ฟังว่า พี่สน ที่มัลดีฟส์มันมีจุดหนึ่งพี่ ที่มีแมนตานับร้อยเข้ามาทุกปี และเป็นหนึ่งในแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติด้วย ชื่อว่า Hanifaru Bay ผมได้ยินก็เลยไปค้นดู และแค่นั้นแหละครับ ก็เหมือนโดนป้ายยาอย่างแรก มันบ้าไปแล้ว! แมนตานับร้อย

ผมเองดำน้ำสคูบามาเป็นร้อยไดฟ์ไม่เคยเจอแมนตาสักครั้งในชีวิต วันนั้นผมเลยคุยกับน้องว่า โอเค ผมจะไปมัลดีฟส์ ผมอยากเห็นแมนตา! เจอตัวเดียวก็ว่าคุ้มแล้ว ก็เลยกลายเป็นประเทศที่อยู่ใน List เพราะ Hanifarfu Bay เลย

ผมออกเดินทางไปยังประเทศมัลดีฟส์ครั้งแรกนี้ด้วยสายการบิน Bangkok Airways นะครับ เป็นสายการบินแบบ Full Service มีบริการตั้งแต่สนามบิน มีเลาจ์ให้นั่งเล่น กินขนมนมเนย รวมไปถึงโหลดน้ำหนักฟรี 20kg ที่มีทั้งกระเป๋าเสื้อผ้า กระเป๋าฟินฟรีไดฟ์  เราบินใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงหน่อยๆ ก็ถึงสนามบิน Male ประเทศมัลดีฟส์แล้วครับ เป็นสนามบินไม่ใหญ่มาก และการเข้าประเทศก็ง่ายเวอร์

สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อนเข้ามัลดีฟส์ในช่วงนี้คือ

  1. Passport ที่ยังมีอายุใช้งานไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
  2. ใบจองตั๋วที่พัก และเครื่องบิน
  3. ลงทะเบียนกรอกข้อมูลการเข้าประเทศของเค้าผ่านลิงค์นี้นะคัรบ https://imuga.immigration.gov.mv/ โดยคลิกที่ Traveler Declration นะครับ กรอกเสร็จแล้วจะได้ตัว QR Code สำหรับเข้าประเทศ ก็ Capture บันทึกภาพตัว QR Code นั้นไว้ไปยื่นตอนเข้าประเทศเค้าได้เลย โดยสามารถกรอกได้ก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมง ซึ่งต้องกรอกทั้งขาเข้าและขาออกนะครับ

สิ่งที่ต้องระวังของการเอาเข้าไปที่มัลดีฟส์ ก็จะมีพวก เครื่องดื่ม แอกอฮอล์ และอาหารที่มีส่วนประกอบของหมูนะครับเนื่องจากเค้าเป็นประเทศมุสลิมครับ

พอมาถึงที่สนามบิน ผ่านการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว ผมก็ซื้อ Internet Sim ก่อนครับ เพื่อจะได้มีเน็ตใช้ระหว่างทาง และมีเบอร์ท้องถิ่นสำหรับติดต่อโรงแรมและไกด์ตอนที่ผมเปลี่ยนเกาะด้วยครับ โดยซิมที่ผมซื้อนั้นจะเป็นของ Ooredo ครับ มีสองแบบให้เลือกคือ 17GB ราคา $35 และ 100GB $50 โดยทั้งสองแบบใช้งานได้ 30 วันครับผม ผมก็เลือกแบบ 100GB เพราะเน้นใช้งานหนักอยู่ และผมอยู่ยาวด้วย ของค่ายอื่น ผมเห็นคนบอกว่าสัญญาณตามเกาะอาจจะแกว่ง สู้ค่ายนี้ไม่ได้ครับ

การเดินทางสู่เกาะมัลดีฟส์ครั้งนี้ ผมพัก 2 เกาะนะครับ ซึ่งเป็นเกาะที่ห่างกันมาก อยู่คนละโซนเลย คือผมพักที่โรงแรม The Standard, Huruvalhi Maldives ซึ่งเป็นโรงแรมรีสอร์ท 5 ดาว พักกลางน้ำ อยู่ทางเหนือของมัลดีฟส์ครับ  และอีกที่เป็นเกาะโลคัล พักที่เกาะ Maafushi ซึ่งเดี๋ยวการเดินทางไปยังเกาะโลคัล ผมจะแยกเป็นอีกบทความละกันนะครับ

พอถึงสนามบิน พนักงานของโรงแรม The Standard ก็มาชูป้ายรอรับพวกเราด้วยรอยยิ้มแจ่มใสครับ และพาเราไปยังจุดเช็คอิน Seaplane ต่อไป โดยเราต้องนั่งรถไปยังอีกสนามบินหนึ่งนะครับ เป็นสนามบินสำหรับ Seaplane โดยเฉพาะ ครั้งนี้เราจะบินไปยังรีสอร์ทด้วยสายการบิน Trans Maldivian Airways ครับผม เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้นั่งเครื่องบินแบบนี้ ตื่นเต้นเหมือนกันนะครับ

 

เราเดินทางถึงรีสอร์ทกันเลทหน่อยครับ เนื่องจากสภาพอากาศ แต่ว่าพอมาถึงก็แบบ โอ้โห เป็นรีสอร์ทที่สวยมาก น้ำใสมาก ขนาดฟ้าไม่เปิดนะครับเนี่ย ตื่นเต้นที่สุดเลย

รีสอร์ทนี้เป็นรีสอร์ที่ตั้งอยู่ที่ Raa Atoll นะครับ ใช้เวลาเดินทางด้วย Seaplane ประมาณ 40 นาทีครับถ้าสภาพอากาศดี ที่นี่มีห้องพักให้เลือกแบบหลายแบบครับ ทั้งแบบรวมอาหารเช้า อาหารทุกมื้อ หรือแค่เช้า เย็น แล้วแต่ที่เราสะดวกครับ ส่วนผมพักแบบรวมอาหารทุกมื้อเลย

ห้องพักที่นี่ ทุกห้องจะมีสระน้ำส่วนตัว และยื่นลงไปในทะเลเลยครับ น้ำใสตาแตกมาก ตื่นเช้ามา คือกระโดดลงน้ำทะเลได้เลย เดี๋ยวผมพาไปดูห้องพักก่อนว่าเป็นอย่างไร มาดูกันครับ

นี่ครับผม ห้องพัก มีการดีไซน์เหมาะกับคนรุ่นใหม่มากๆ ขนาดห้องโอเคมากครับ มีพื้นที่ใช้สอยสะดวกสบาย มีทีวี ตู้เย็น ระเบียงหน้าบ้านที่ยื่นไปยังทะเล

ส่วนห้องน้ำก็ใหญ่มากครับ มีอ่างอาบน้ำที่ใหญ่จนน่ากลัว เติมน้ำให้เต็มใช้เวลาประมาณ 45 นาที และมีไฟเหมือนดิสโกเทคด้านบนด้วย อันนี้ไม่แน่ใจว่าช่วยเรื่องอะไร 555 มีการแยกโซนเปียกโซนแห้งชัดเจนครับผม และที่เด่นคือพื้นมีส่วนที่เป็นกระจกใสๆให้เราดูทะเลระหว่างอยู่ในห้องน้ำด้วย

ของตกแต่งบนผนัง ไม่ใช่แค่ไว้แต่งห้องอย่างเดียวนะครับ เราสามารถนำมาใช้ได้เลย ทั้งหน้ากากสนอกเกิล เสื้อชูชีพ ส่วนฟิน นั้นให้เราไปติดต่อที่ Water Sport เพราะเราต้องไปฟินที่ขนาดเท่าเบอร์เท้าเรา เคยเลยไม่ได้เตรียมไว้ให้ครับ ทุกอย่างใช้ได้ฟรี

ตรงส่วนกลางนั้น มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ด้วยครับ มองวิวทะเล สวยงามมาก มาพักที่นี่ขนาดช่วงหน้าฝน โลว์ซีซันยังสวย ใครมาหน้าไฮน่าจะประทับใจกว่านี้ครับ

บรรยากาศโดยรวมของห้องพัก ผมนอนคนเดียว สบายมาก เตียงนอนดูดชีวิต ไม่นุ่มไปไม่แข็งไป และอินเตอร์เน็ตก็เร็วมากๆครับ ประทับใจมาก โปรแกรมเมอร์กับอินเตอร์เน็ตมันขาดกันยาก!

มองจากปลายเตียงมา ก็เห็นวิวทะเลแบบนี้เลยครับ น้ำใสตาแตกของแท้ แต่ว่าปะการังแถวนี้ไม่ค่อยมีนะครับ เค้าบอกว่ามีอีกจุด เสียดายช่วงผมไปฝนตก ผมเลยไม่ได้ไปสำรวจ แต่ว่าแถวนี้ก็เจอฉลาม เจอกระเบนนกครับ

อาหารการกินเค้าก็หลากหลายครับ มานี่กินจนเหนื่อย มีให้กินแทบจะทุกสองสามชั่วโมง เดี๋ยวก็ได้เวลากินแล้วกินอีก มีอาหารไทยด้วยนะครับ และมีหมูด้วย อันนี้คือเซอร์ไพรส์สุด 55

และนี่คือบรรยากาศโดยรวมของเกาะนี้ครับ ซึ่งที่พักที่เกาะนี้ก็สามารถเช็คได้จากเว็บจองโรงแรมได้เลยนะครับ ราคาเริ่มต้นคืนละหมื่นต้นๆเท่านั้นเองครับ หรือถ้าให้ง่ายก็ซื้อผ่าน Agency ได้เลย เค้ามีบริการรวมทุกอย่างตั้งแต่ที่พักยันตั๋วเครื่องบินน้ำครับ

สวัสดีแมนตา เราเจอกันแล้วนะ

อย่างที่บอกครับว่า ทริปนี้ผมมาเพราะอยากเห็นแมนตาสักครั้งในชีวิต ผมคิดว่าถ้าเจอแค่ตัวเดียวผมก็ดีใจมากแล้วครับ ผมเลยเลือกเดินทางมามัลดีฟส์ในช่วงหน้าฝน เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่แมนตาจะเข้าตรง Hanifaru ด้วย แล้ววันต่อมา สตาฟที่โรงแรมบอกว่า วันนี้มีทริปแมนตาด้วยนะ ไปไหม ผมก็ไปสิครับ ซึ่งเราก็จ่ายเพิ่มคนละ $250 เพื่อซื้อทัวร์ไปดูแมนตาที่ Hanifaru ราคาสูงหน่อย เพราะว่าต้องนั่งเรือสปีดโบ้ทไปครับ นั่งไปประมาณ 45 นาที แต่พอไปถึง โอ้โห เจอแมนตาตัวจริง คุ้มค่า คุ้มราคาที่จ่ายไปมากๆ

นี่คือแมนตาตัวแรกในชีวิต ที่ผมได้พบเห็นกับตาตัวเองในแหล่งน้ำธรรมชาติ ใต้น้ำ แบบใกล้ชิด โดยไปเจอที่ Hanifaru Bay
ถ้าหากไม่มีจุดนี้ ผมอาจจะไม่ได้มาเยือนประเทศมัลดีฟส์เลย เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าใต้น้ำของมัลดีฟส์เป็นอย่างไร โชคดีที่ทะเลพัดพาให้ได้รู้จักกับน้องวาวครูสอนฟรีไดฟ์ ที่กลายมาเป็นสองพี่น้องหาทำ และน้องแนะนำให้รู้จักสถานที่แห่งนี้ว่ามันคือ แหล่งชีวมณฑลทางทะเลที่สำคัญมากของโลก เนื่องจากเป็นแหล่งเมื่อเข้าสู่หน้าฝน แพลงตอนที่นี่จะเยอะมาก ทำให้แมนตามารวมตัวกันในปริมาณที่มหาศาล บางครั้งมาหลายร้อยตัวเลยทีเดียว

แมนตา หรือกระเบนราหู เป็นสัตว์ทะเลขนาดยักษ์มาก ว่ากันว่าหากโตเต็มวัยแล้ว บางตัวสามารถมีความใหญ่ถึง 6 เมตร หากวัดตอนที่น้องแผ่ปีกสูงสุด ซึ่งแมนตา เป็นกระเบนที่ไม่มีเงี่ยงพิษที่หาง ทำให้เป็นพี่ใหญ่ใจดีแห่งท้องทะเล ที่หลายๆคนที่ทำกิจกรรทางน้ำ จัดให้เป็นหนึ่งในเช็คลิสต์ที่อยากจะเห็นสักครั้งในชีวิต

ที่ประเทศไทยเองก็พบเห็นแมนตาได้นะครับ แต่ละครั้งที่ได้พบเจอมันก็สร้างเสียงฮือฮาให้กับชาวดำน้ำได้ตลอด เพราะน้องหายาก โอกาสได้พบเห็นจึงขึ้นอยู่กับแต้มบุญของวันนั้น

ส่วนที่ Hanifaru ในช่วงหน้าฝนนั้น ถ้ามาถูกจังหวะ โอกาสเจอนั้นสูงมาก แต่จำนวนที่จะเจอมากเจอน้อยนี่ก็แล้วแต่วันครับ แนะนำว่าถ้ามาแล้วให้มีเวลาเผื่อไว้อย่างน้อยสามสี่วันครับ โดยที่เราสามารถที่จะเลือกพักได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นพักรีสอร์ท พักเกาะโลคัล หรือพักแบบนนอนบนเรือ (Liveabord)

วันนั้นที่ผมไป เราเดินทางกันไปทั้งหมด 6 คน ออกจากรีสอร์ท The Standard เป็นคนไทย 4 คน และฝรั่ง 2 คน เกือบทุกคนล้วนไม่เคยเจอแมนตามาก่อน ยกเว้น น้องวาว ที่เคยเจอแล้ว แต่ก็บอกว่าเจออีกได้ เพราะยังไม่เคยมา Hanifaru เหมือนกัน

ตอนที่เห็นแมนตาครั้งแรก บอกเลยครับว่า รู้สึกปลื้มปริ่มมาก มันเหมือนฝันอย่างหนึ่งสำเร็จไปอีกแล้ว เพราะผมตั้งใจไปมัลดีฟส์ก็คืออยากเห็นแมนตานี่แหละครับ ก่อนจะไป คุยกันว่า เจอแค่ตัวเดียวก็ดีใจแล้ว ไม่นึกไม่ฝันว่าสุดท้ายจะเจอแบบนับไม่หวาดไม่ไหวขนาดนี้ มัลดีฟส์เป็นประเทศที่มีเสน่ห์มากครับ ผู้คนก็น่ารัก ใจดี เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ทำให้ตกหลุมรักได้อย่างไม่ยากเลย

กระเบนราหู หรือที่เรียกสั้นๆว่า แมนตา (Manta Ray) ชื่อ Manta ในข้อมูลที่ National Geographic เคยเขียนไว้ บอกว่ามาจากภาษาสเปนครับ แปลว่า “ผ้าห่ม” หรือเสื้อคลุม และบางที่ก็อาจจะเรียกปลานี้ว่า ปลาปีศาจ เพราะตรงปากที่อ้าตลอดและมีครีบรูปเขาสองแฉกยื่นออกมาจากด้านหน้าศีรษะ

แมนตามีสองสายพันธุ์ครับ คือแมนตาแนวปะการัง (Reef manta ray) กับแมนตามหาสมุทร (Oceaninc Manta ray) โดยตัวแมนตาแนวปะการังจะมีขนาดเล็กกว่า คือประมาณ 3 เมตร แต่แมนตามหาสมุทร จะประมาณ 8-9 เมตรได้เลยครับผม

ผมได้มีโอกาสเห็นการกินอาหารของแมนตาด้วยครับ น้องๆจะอ้าปาก แล้วก็ว่ายน้ำกวาดแพลงตอนเข้าปาก บ้างก็จะใช้การพลิกตัวไปมาครับ หมุนติ้วๆ เหมือนเด็กน้อยกำลังร่ายรำ หรือบางทีก็มาหมุนเป็นไซโคลนก็มีครับ

ในสถานที่ทำธรรมชาติ จะมีจุดที่เป็นแหล่งทำความสะอาดของแมนตาครับ เรียกว่า Cleaning Station จุดเหล่านี้แมนตาจะพากันไปเพื่อไปกำจัดปรสิตที่เกาะอยู่ตามตัวน้อง ผมเดาว่า Hanufaru Bay น่าจะจัดว่าเป็น Cleaining Station ด้วย เนื่องจากแมนตาจะไปจุดเดิมซ้ำๆตลอดครับ

แมนตาอายุยืนเช่นกันนะครับ ถ้าไม่ถูกคุกคาม น้องก็อยู่ได้ยาวนานถึง 50 ปีเลยทีเดียวครับ แต่แมนตาก็เป็นสิ่งที่ขยายพันธุ์ได้ค่อนข้างช้าครับ

แต่สถานะของแมนตาในปัจจุบันนั้น IUCN ระบุว่าอยู่ในสถานะเปราะบาง ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแมนตาคือการทำประมงที่มากเกินไปครับ

แมนตาเป็นสัตว์ที่น่ารักมาก น้องไม่มีพิษภัยอะไรเลย เคยได้ยินมาว่าถ้าเราไปสคูบา แล้วเจอแมนตา น้องชอบมาเล่นฟองอากาศของนักดำน้ำด้วยครับ
เป็นพี่ใหญ่ใจดีของท้องทะเล ในภาพ น้องๆตัวใหญ่ประมาณ 3 เมตรครับ

ทริปนี้ผมน้ำตาจะไหลมากครับ มันปลื้มที่สุด ไม่คิดว่าจะได้เจอแมนตาอะไรมากมายขนาดนี้ ผมเดินทางไปชมแมนตาสองวันติดเลยครับ วันที่สองคือยิ่งเยอะกว่าเดิม ไกด์บอกว่า นี่แหละคือ Hanifaru ของแท้ เยอะจนแบบไม่รู้จะถ่ายตัวไหนก่อน น้องๆก็ตัวใหญ่และมีเสน่ห์มากๆ ว่ายมาตื้นด้วยครับ คือใครที่จะมาที่นี่เห็นได้แน่นอน และตรงนี้เค้าไม่ให้ดำสคูบานะครับ ทำได้แค่สนอกเกิลกับฟรีไดฟ์ครับผม

ถือว่าการมาเที่ยวมัลดีฟส์ครั้งนี้ เป็นอะไรที่สุดยอดมากครับ จ่าย เจอ จบ ของจริง ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่า เนี่ย มัลดีฟส์โลกใต้น้ำเค้าเต็มไปด้วยของหายากทั้งนั้นเลย แต่ทำไมไม่ค่อยมีคนพูดถึง อย่างแมนตานับร้อยแบบนี้ ถ้าผมไม่รู้จักน้องวาว ผมก็คงไม่รู้ว่ามันจะมีแหล่งชมแมนตาระดับโลกอยู่ที่นี่ และการมาเที่ยวที่มัลดีฟส์ก็ไม่ได้ราคาน่ากลัวเหมือนสมัยก่อนแล้วครับ เพราะมีรีสอร์ทมากมาย รวมไปถึงทัวร์ต่างๆก็ทำราคามาเอื้อมถึงกันได้แล้วครับ

มัลดีฟส์ กลายเป็นประเทศที่ผมหลงรักไปแล้วครับ ครั้งแรกไม่พอ ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะอยู่ที่มัลดีฟส์ไม่กี่วัน แต่พอผมรู้จักโลกใต้ทะเลที่นี่ ผมก็ตัดสินใจอยู่ต่อ จนกลายเป็นทริป 16 คืน 17 วัน เลยครับ เอาให้คุ้ม ซึ่งวันที่เหลือนั้น ผมก็ย้ายไปพักที่เกาะโลคัลนะครับ ซึ่งที่นั่นก็มีของดีคนละแบบ เอาใจผมไปอีกแล้ว เดี๋ยวยังไงไว้ติดตามอ่านกันในบทความถัดไปนะครับ จะได้ไม่ยาวเกินไปนัก

ค่าใช้จ่ายสำหรับทริปมัลดีฟส์ พักที่ The Standard, Maldives

  • ตั๋วเครื่องบิน Bangkok Airways ไปกลับ หมื่นแปดพันบาท ประมาณ $500
    **โรงแรม The Standard, Huruvalhi Maldives (Ocean Overwater Villa with Private Pool อาหารเช้ากลางวันเย็น) 3 คืน 4 วัน $1850
    ** ราคาเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาเข้าพัก
  • Seaplane ไปรีสอร์ท the standard ไปกลับ $525
  • ทริปชมแมนตาที่ Hanifaru Bay วันละ $250 ไปสองวันรวมเป็น $500

หากใครสนใจจองโรงแรมโดยตรง ไม่ผ่าน Agency ก็คลิกผ่านลิงค์นี้ได้เลยนะครับ ทางโรงแรมให้ส่วนลดสำหรับคนที่อ่านจากเพจผม 25% ครับผม หรือจะใช้โค้ด BUKSOHN ก็ได้ครับ

https://book.standardhotels.com/?chain=18474&hotel=9047&nights=4&adult=2&child=0&segment=FULL%20BOARD&promo=BUKSOHN 

ขอให้มีความสุขกับการท่องเที่ยวที่มัลดีฟส์นะครับ เจออะไรบ้าง มาเล่าสู่กันฟังด้วยนะครับ ขอบคุณที่ติดตามชมติดตามอ่านครับผม

 

The post เที่ยวมัลดีฟส์ นอนวิลล่า ชมแมนตา กระเบนราหู ในราคาที่เอื้อมถึง appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/travel-maldives-to-see-manta-rays-at-hanifaru-bay.html/feed 0
เกาะเต่าครั้งที่หนึ่ง มาถึงก็ “รักเลย” https://backpackstory.com/travel-to-koh-tao-the-paradise-in-thailand.html https://backpackstory.com/travel-to-koh-tao-the-paradise-in-thailand.html#respond Sun, 26 Jun 2022 13:01:44 +0000 https://backpackstory.com/?p=8884 เกาะเต่าคือตัวเลือกแรกที่ผมสนใจ เพราะได้ยินคนพูดถึงเยอะ ทั้งในแง่ดีและไม่ดีครับ 55 จากที่เคยได้ยินมาก็จะประมาณว่าน้ำใสจริงอะไรจริง แต่ใต้ทะเลไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ปะการังก็ตาย โทรมไปหมด แล้วผมก็พยายามหาข้อมูลเอง ก็เจอแต่ภาพถ่ายแนว Top Views ตามจุดชมวิว กับภาพผิวน้ำที่มันใสๆ ผมอยากเห็นภาพใต้ทะเลที่เป็นปะการังว่ามันตายขนาดไหน แต่ก็ไม่ค่อยมีครับ ภาพใต้น้ำที่เจอก็จะเป็นภาพถ่ายกับเต่าที่เป็นเต่ากับซากปะการัง และเด็ดหน่อยก็คือฉลามวาฬ

The post เกาะเต่าครั้งที่หนึ่ง มาถึงก็ “รักเลย” appeared first on Backpack Story.

]]>
สวัสดีครับ กลับมาเจอกันในเรื่องราวการเดินทางคร้ังใหม่ของผมอีกนะครับ ไม่น่าเชื่อนะครับว่าบทความล่าสุดที่ผมเขียนลงในเว็บนี้คือเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว! ซึ่งตอนนั้นก็เพิ่งจะเรียนสคูบาด้วย มาครั้งนี้ผมก็ดำน้ำไปทะลุ 100 Dives แล้วหละครับ แถมมีเพิ่มเติมคือเรียนฟรีไดฟ์ด้วย Level 1 ครับ หลังจากที่ฝังตัวอยู่เกาะลันตามา 6 เดือน พอเข้าฤดูมรสุม ผมก็เลยหาที่เที่ยวทะเลใหม่

เกาะเต่าคือตัวเลือกแรกที่ผมสนใจ เพราะได้ยินคนพูดถึงเยอะ ทั้งในแง่ดีและไม่ดีครับ 55 จากที่เคยได้ยินมาก็จะประมาณว่าน้ำใสจริงอะไรจริง แต่ใต้ทะเลไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ปะการังก็ตาย โทรมไปหมด แล้วผมก็พยายามหาข้อมูลเอง ก็เจอแต่ภาพถ่ายแนว Top Views ตามจุดชมวิว กับภาพผิวน้ำที่มันใสๆ ผมอยากเห็นภาพใต้ทะเลที่เป็นปะการังว่ามันตายขนาดไหน แต่ก็ไม่ค่อยมีครับ ภาพใต้น้ำที่เจอก็จะเป็นภาพถ่ายกับเต่าที่เป็นเต่ากับซากปะการัง และเด็ดหน่อยก็คือฉลามวาฬ

ผมบอกตัวเองว่า เอาน่า บักสน ขนาดหลังร้านดำน้ำที่ดำตามเสา เจอสัตว์เล็กสัตว์น้อยผมยังมีความสุข และสนุกกับมัน แล้วนี่เกาะทั้งเกาะ ทะเลทั้งแถบ มันจะไม่มีอะไรให้ค้นหาเลยเหรอ อีกอย่าง สิบปากกว่าหรือจะเท่าตาเห็น ไปซะให้รู้ จะได้หายข้องใจ

ผมชวนรุ่นพี่ที่ลันตามาด้วย นั่นก็คือพี่โอ๋ พี่ชายที่แสนดีที่เป็นทั้งพี่ ทั้งเพื่อน ทั้งบัดดี้ลงน้ำ และเป็นตากล้องให้เวลาผมขอภาพตัวเองใต้น้ำ

การเดินทาง

  • ผมเดินทางออกจากเกาะลันตาด้วยรถตู้ ที่รับส่งจากที่พัก มาส่งถึงโรงแรมในกระบี่
  • ผมค้างที่กระบี่หนึ่งคืน จากนั้นก็เดินทางมายังเกาะเต่าด้วยบริการของลมพระยา ครับ ค่าตั๋วจากเกาะลันตามายังกระบี่ 160 บาท ค่าลมพระยามาเกาะเต่า 1,300 บาท
  • ที่เกาะเต่า ผมใช้บริการเช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับครับ เพราะว่าการเดินทางที่นี่ต้องใช้แบบนี้เลย ไม่งั้นไปหาดแต่ละหาดไม่ไหว ค่าเช่ารถวันละ 170 บาท ผมเช่ากับร้าน “เกาะเต่าบุกกิ้งเซ็นเตอร์” อยู่แถวท่าเรือแม่หาดเลยครับ เช่าหลายวันพี่เค้าลดให้ครับ
  • เกาะเต่า หลายหาดที่ทางเข้าหาดหายากมากครับ ตอนแรกคืองงมาก ไม่เจอทางสาธารณะ สรุปคือที่นี่ให้เราเดินทะลุรีสอร์ตไปเลยครับ ที่นี่เค้าเป็นแบบนี้กัน 55 ไอ้เราก็เกรงใจรีสอร์ตกลัวไปวุ่นวายเค้าครับ บางจุดก็เสียตังค์ บางจุดก็ไม่เสียครับ เดี๋ยวหาดไหนเสียตังค์ผมจะบอกในบทความนะครับ

ที่พักที่เกาะเต่า

  • ผมพัก 3 คืนแรกที่ Coral Grand Resort คืนละ 700 กว่าบาท เป็นรีสอร์ตติดหาดทรายรีเลยครับ และเดินทางไปยังอ่าวหินวงง่ายครับ
  • วันที่เหลือผมพักที่ Sabye~Sabye เป็นบ้านทั้งหลังเลยครับ มี 2 ห้องนอน เป็นห้องแอร์ 1 ห้อง และพัดลม 1 ห้อง มีห้องทำงาน มีครัว มีห้องน้ำ น้ำอุ่น คืนละ 500 บาทครับ แล้วถ้าอยู่ยาวๆ เค้าลดให้อีกครับ สถานที่ดีติดถนนเลย

ได้ที่พักอะไรกันแล้ว ฟินพร้อม หน้ากากพร้อม มาครับ ไปสำรวจทะเลเกาะเต่ากับผมเลย


เกาะนางยวน – Japanese Garden (ไปกับทัวร์ One Day Trip)

จุดแรกที่ผมไปของการมาเที่ยวเกาะเต่าก็คือ เกาะนางยวนครับ ซึ่งผมวางแผนว่าในวันแรกของการเที่ยว ผมจะเที่ยวผ่านการใช้บริการ One Day Trip ของทัวร์ที่นี่ เพื่อจะได้รู้จุดต่างๆก่อน แล้ววันหลังค่อยไปเองครับ ค่าทัวร์ช่วงผมมาก็ถูกมากครับ คนละ 500 บาท มีรถรับส่ง (ซึ่งรถรับส่งผมขอติงนิดนึงนะครับว่า อันตรายมาก เป็นรถกระบะที่ไม่มีที่กั้นหลัง ไม่มีที่จับ ต้องจับเบาะนั่งอย่างเดียว มันน่ากลัวมากเวลารถขึ้นลงถนน ซึ่งไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคันนะครับ เป็นคันที่มารับผมตอนเช้า ส่วนคันตอนเย็นก็มีที่กั้น ที่จับครับ นั่งคันตอนเช้าไปก็กลัวตายมากครับ)

เกาะนางยวนเราจะเสียค่าเข้า คนไทย 50 บาทครับ เกาะนี้มีหาดทรายที่กั้นทะเลเป็นทะเลแหวก และมีจุดชมวิว ที่เราสามารถเดินขึ้นไปถ่ายภาพได้ แต่ทริปนี้ผมไม่ได้เน้นบกครับ ผมเน้นน้ำ เลยไม่เดินขึ้นไป ออมแรงไว้สำหรับลงน้ำครับผม โดยที่เกาะนี้ทัวร์จะให้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมงครับ ก็นั่งเมาท์กันไปฆ่าเวลาไปครับ จนถึงจุดที่เป็นจุดแรกของการลงน้ำนั่นก็คือ Japense Garden

สารภาพว่าไม่เคยรู้จักชื่อสถานที่นี้มาก่อนครับ พอไปเห็น ว้าว แนวปะการังสวยครับ มีการเรียงตัวเหมือนจัดสวนจริงๆ ชอบมากๆ ปะการังหลายชนิดก็ไม่ค่อยเห็นที่ฝั่งทะเลอันดามันที่ผมไปเที่ยว ก็มาเจอเยอะมากที่เกาะเต่านี่แหละครับ

ที่ผมชอบมากที่สุดของอ่าวนี้ก็คือความหลากหลายของปะการังแข็งครับ ยิ่งถ้าเรารู้ว่าปะการังแข็งนั้นสำคัญกับระบบนิเวศของโลกมากแค่ไหนเราก็จะยิ่งอินไปอีกครับ  เพราะปะการังเหล่านี้นี่แหละที่สร้างแนวปะการัง เป็นที่อยู่ของสัตว์ทะเล 25% เลยครับ และทั่วโลกรวมกันแล้ว พื้นที่ใหญ่กว่าประเทศลาวนิดเดียว

หากเราต้องการมาดำน้ำที่ตรงนี้ ถ้าไม่มากับทัวร์ ก็สามารถเหมาเรือหางยาวมาได้ครับ ราคาก็แล้วแต่ว่าจะตกลงกันที่เท่าไหร่ครับผม

Landscape ใต้น้ำที่เกาะนี้คือดีงามมาก น้ำก็ใสสุดๆ เรียกได้ว่าแค่จุดแรกก็เพลินไม่อยากขึ้นจากน้ำเลยครับ ตรงนี้มีคนมาดำสคูบาด้วยนะครับผม

คนรักโลกใต้ทะเลแบบผมมาเห็นขนาดนี้ก็ชอบแล้วครับ เพราะปะการังยังสมบูรณ์ และการเรียงตัวก็น่าสนใจ

สิ่งที่ประทับใจอีกอย่างของที่นี่คือ ปลาครับ ปลาที่นี่ไม่กลัวคนเลย เราสามารถค่อยๆว่ายเข้าไปใกล้ๆได้ ผมก็ถ่ายรูปเพลินเลยสิครับ เราใช้เวลากันตรงนี้ประมาณ 40 นาทีครับผม ก่อนที่จะย้ายจุดไปยังจุดอื่นๆ


อ่าวม่วง (แนะนำให้ไปทางเรือ)

อ่าวนี้เป็นอ่าวที่ถ้ามา แนะนำว่าให้มากับเรือครับ เพราะผมว่าปลอดภัยกว่ามาก ถ้าเราขับมอเตอร์ไซต์ไปตามถนนเส้นหลัก บอกเลยว่าอันตรายมาก เหมือนเราชีวิตไปแขวนบนความตายทุกขณะที่อยู่บนรถ ถนนคือทั้งชัน ทั้งหักโค้ง บางจุดเป็นดินทราย และน้ำก็เซาะกลางถนนอีก (ในวันที่ผมเขียนนี้ก็มีฝรั่งแหกโค้งเสียชีวิตไป) แนะนำจริงๆครับว่าถ้าอยากไปให้ไปกับเรือครับผม จะใช้ Boat Taxi ก็ได้

ที่อ่าวม่วง จะเด่นเรื่องปะการังเขากวางครับ ถ้าใครที่ได้แค่ใส่ชูชีพสนอกเกิล ก็อาจจะเห็นจากด้านบน ดูสภาพเหมือนปะการังมันตาย แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้ตายนะครับ ผมฟรีไดฟ์ลงไปดู ปะการังก็สมบูรณ์มาก หนาแน่นมาก และปลาที่แทรกอยู่ตามปะการังคือเยอะมากด้วยครับ

ปะการังเขากวาง เป็นปะการังที่ผมเห็นได้มากที่สุดของเกาะเต่า มีหลากหลายชนิด เป็นปะการังที่บอบบางครับ ต้องระวังไม่ให้ฟินเราไปโดนไม่งั้นเดี๋ยวหักได้ แถมเป็นปะการังที่เครียดง่าย ในภาวะโลกร้อนแบบนี้ ปะการังเขากวางเป็นหนึ่งในปะการังที่ฟอกขาวเยอะที่สุดครับ

ด้วยความที่ส่วนตัวผมก็ชอบปะการังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การได้เห็นดงปะการังสุดลูกหูลูกตาแบบนี้ผมดีใจมากครับ มันดีต่อใจเหลือเกิน ถ้าเราสังเกตดีๆเราจะเห็นปลาเล็กปลาน้อยซ่อนตัวอยู่ในปะการังเหล่านี้ด้วย ปะการังเขากวางนี่บางชนิดก็โตเร็ว บางชนิดก็โตช้าครับ

เจอปลาโนรี Longfin bannerfish กับปลาผีเสื้อชุมพร น้องๆไม่ตื่นคนเลยสักนิด ว่ายช้าๆอวดร่างไปเรื่อยๆ


อ่าวหินวง (ทางเข้าเสียค่าจอดรถ 20 บาท)

อ่าวนี้สามารถไปได้โดยการขับมอเตอร์ไซต์ไปครับ แน่นอนว่าทุกหาดของที่นี่ถนนชันมาก ต้องระวังกันด้วยนะครับ และจะเสียค่าจอดรถ 20 บาท หรือไม่งั้นก็ซื้อน้ำดื่มเค้า ก็จะสามารถจอดรถได้ฟรีครับ ตรงอ่าวนี้พื้นที่ใหญ่มาก และโลกใต้ทะเลก็สวยมากครับ

ที่นี่ปะการังสวยมาก มีตั้งแต่น้ำตื้นยันน้ำลึกเลยครับ รวมไปถึง “ฝูงปลาข้างเหลือง” นับหมื่นๆตัว แต่วันที่ผมไปน้องอยู่ลึกมาก ผมฟรีไดฟ์ลงไปกว่าจะถึงคือ 11 เมตร แล้วมันลึกถ่ายรูปมาไม่ค่อยสวย เลยไม่ได้เก็บบรรยากาศมาสักเท่าไหร่ เน้นเก็บภาพปะการังที่แสงส่องถึงดีกว่าครับ

เป็นอ่าวที่เต็มไปด้วยสีสันของสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล ทั้งปลานกแก้ว ปลาสลิด ปลากระเบน ปลาผีเสื้อ แล้วแต่ว่าจังหวะเราจะเจออะไรบ้าง

ด้วยความที่เกาะเต่ามันแทบจะไม่มีหาดทรายครับ มันเป็นเหมือนหินกองๆกันลงไปในทะเล และนั่นแหละครับหินเหล่านั้นคือแหล่งยึดเกาะชั้นดีของปะการัง ทำให้แค่การดำน้ำเลาะหินก็จะเห็นปะการังสวยๆที่ขึ้นตามหินต่างๆเพียบเลย

ความหลากหลายของปะการังก็สูงมาก ดูแล้วเหมือนการมาชมสวนใต้น้ำ

ปะการังสมองก้อนใหญ่ กระทบกับแสงแดด ดูมีเสน่ห์มากครับ

ผมลัดเลาะไปเรื่อยๆ ก็เจอเข้ากับดงเขากวางอีกแล้วครับ ครั้งนี้เห็นบรรดาปลาเป็นฝูงด้วย

ปะการังเขากวางยังมีสภาพสมบูรณ์ค่อนข้างสูงมากๆ มีคนที่เกาะเต่าเล่าให้ฟังว่า ปะการังฟื้นตัวในช่วงที่โควิดระบาด

ถ่ายภาพเก็บความทรงจำไว้สักหน่อย ว่ากันว่า ภาพถ่ายใต้ทะเลนั้นมีคุณค่ามากกว่าแค่บันทึกความทรงจำ เพราะมันคือการจารึกประวัติศาสตร์ใต้ทะเลไว้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตทะเลแห่งนี้จะดีขึ้นหรือแย่ลง ถ้าหากดีขึ้นแสดงว่าเราโชคดีที่จะได้เห็นความงามในวันข้างหน้า ถ้าหากมันแย่ลง ก็แสดงว่าอย่างน้อยเราก็ยังมีโอกาสได้เห็นความงามก่อนที่มันจะสูญสิ้น

และตรงหินวง ผมเห็นมีดอกไม้ทะเลด้วยครับ แต่เอ๊ะ มันไม่เหมือนดอกไม้ทะเลฝั่งอันดามันที่ผมเห็น คือที่นี่ปลายจะออกม่วงๆ ชมพูๆ ครับ น่ารักไปเลย

และไม่ได้มีแค่อันสองอันนะครับ มีเป็นดงเลยจ้า ในนั้นก็มีปลาการ์ตูนอินเดียนแดงอาศัยอยู่ บางจุดนี่มีหลายตัวครับ

เก็บภาพปลาการ์ตูนที่เกาะเต่ามาฝากครับ น้องน่ารักมาก อยู่ในดงดอกไม้ทะเลสีพาลเทลด้วย

ในช่วงที่ผมมานั้น เกาะเต่าน้ำใสที่สุด การถ่ายภาพก็เลยง่ายมากครับ ไม่ค่อยมีฝุ่นใต้น้ำมากเท่าใดนัก แต่การถ่ายภาพปลาการ์ตูนนี่ก็ท้าทายเอาเรื่อง เพราะน้องไม่ค่อยอยู่นิ่ง เราต้องคาดเดาทิศทางของน้องว่าไปทางไหน จะโผล่ตัวออกจากดอกไม้ทะเลเมื่อใด

และเซอร์ไพรส์สุด เจอนูดี้กระต่ายครับ โอ้ย ก็ว่าอยู่ มาเกาะเต่าทำไมไม่เห็นนูดี้บ้างเลย บทจะเจอก็เจอกระต่ายซะงั้น น้องน่ารักมาก อ้วนพีเหลือเกิน

ตัวกะปุ๊กลุกมาก สงสัยอาหารการกินอุดมสมบูรณ์นะครับเนี่ย

เจอน้องกระต่ายอยู่ใกล้ๆกันสองตัวครับ ที่อ่าวหินวงทางซ้าย ลัดเลาะไปเรื่อยๆ

ทีนี้ครับ มาเจอดงหมู่บ้านหนอนฉัตร โอ้โห มันจะเยอะเกินไปไหมครับเนี่ย เป็นสีสันแห่งท้องทะเลสมคำร่ำลือมากๆ มันสวยมาก สวยจนอดใจไม่ไหว

ผมค่อยๆว่ายเข้าไปหาน้องๆอย่างช้าๆ เพื่อเก็บภาพความฟูฟ่องของตัวหนอนฉัตร นี่เป็นหนอนชนิดเดียวที่ผมรู้สึกว่ามันสวย

แต่หลังจากนั้นก็ค้นพบว่า “ทุกหาดทุกอ่าว” ที่ผมไป ล้วนเห็นหมู่บ้านหนอนฉัตรทั้งนั้นเลยครับ เกาะเต่าคือสวรรค์ของคนชอบสัตว์ทะเลชนิดนี้

และเช่นเคยครับ มีดงเขากวางให้ชมอีกเหมือนกัน ตรงนี้เขากวางอยู่ลึกหน่อยครับผม ต้องฟรีไดฟ์ได้ประมาณ 4 เมตรขึ้นไปถึงจะเห็นแบบชัดๆ แต่ถ้าชอบเขากวางแบบสุดๆ มาครับ ไปยังจุดต่อไป มันเป็นจุดที่เขากวางหนาแน่นที่สุด!


Freedom Beach (เสียค่าเข้า 50 บาท)

หาดฟรีดอม เป็นหาดที่ต้องเสียค่าเข้า คนไทยคนละ 50 บาทครับ โดยเราสามารถใช้บริการอาบน้ำได้ ที่นี่มีหาดทรายให้นั่งเล่นชิวๆด้วย และหน้าหาดก็มีปะการังขึ้นแล้วครับ และบอกเลยว่าปะการังที่นี่สวยมาก ดีมาก แต่ต้องว่ายออกไปไกลหน่อยครับ หันหน้าหาทะเล ว่ายไปทางซ้ายหาทุ่นจอดเรือครับ แถวนั้นแหละที่ปะการังขึ้นอย่างหนาแน่น

น้ำที่หาดฟรีดอมคือใสมากจริงๆครับ ดูสิครับ นี่คือถ่ายภาพจากผิวน้ำเลย มองเห็นชัดมากๆ ปะการังเขากวางหลากหลายแบบด้วย ดีงามมากจริงๆ

ปะการังเขากวางพุ่ม รวมไปถึงปลาที่คอยมากินปะการัง ทำความสะอาดท้องทะเล มาทีก็เป็นฝูงครับ เวลาชมน้องจะได้ยินเสียงน้องแทะปะการังดังก้อกแก้กๆ

เสน่ห์ของหาดนี้คือ การที่เราจะได้เห็นปะการังบางชนิดแทรกตัวอยู่ตามปะการังเขากวางครับ และน้ำก็ใส บางจุดก็น้ำตื้นมาก ทำให้เที่ยวง่าย

และปลาพวกนี้ที่ลอยตัวยนิ่งๆ รอให้เราไปเก็บภาพ ปลาแถบนี้ไม่คิดจะหนีคนเลยรึไงนะ หรือว่าชินนักท่องเที่ยวแล้ว

ถัดจากปะการังเขากวางก็จะเป็นปะการังผักกาด ปะการังจาน มันสวยมาก ชอบมากๆ

เจอปลานกแก้วสร้างทรายด้วยครับ ทรายละเอียดที่เราหยิบกันนั่งทับกันนั่นแหละ คืออึน้องทั้งนั้น ฮ่าๆ


Shark Bay ชมลุงเต่าป้าเต่าและฉลาม

มาเกาะเต่า ไม่เจอเต่าก็คงแบบเสียดายเนาะ อ่าวนี้เราจะมีโอกาสเจอเต่าสูงมาก ถ้าไปเองก็จำทริคไว้ครับ ว่ายไปหาที่มีคนมุงกันเยอะๆ แถวนั้นแหละเค้าน่าจะมุงดูเต่ากัน จุดนี้ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมนะครับ

เต่าที่ตัวใหญ่มากครับ ใหญ่เจ้าพระคุณรุนช่องมาก สะใจมาก และนิ่งมาก มนุษย์อย่างถ่ายรูปเราเหรอ เอาสิ ถ่ายเลยลูก แล้วเต่าก็ว่ายไปซบอกตรงที่มีขวดเบียร์เยอะๆ แล้วแช่ร่างอยู่อย่างนั้นไม่ขยับ จนนึกว่าเป็นหุ่น

ลุงเต่าจะนอนแล้วนะเด็กๆ อยากถ่ายภาพก็ถ่ายไป

เต่าที่ผมเจอวันนี้อยู่ลึกพอควรครับ คือ 8.2 เมตร ดังนั้น ถ้าคนที่สนอกเกิลได้อย่างเดียว อาจจะต้องรอจังหวะที่เต่าลอยมาหายใจเหนือน้ำครับ แต่ระวังหน่อยนะครับ เวลาเต่าลอยมาหายใจ เราไม่ควรไปออกันขวางทางเค้าครับ ต้องทิ้งพื้นที่ให้เค้าได้ขึ้นไปหายใจด้วย  ส่วนคนที่ฟรีไดฟ์ได้ก็จะได้เปรียบ ไปชมเต่าแบบแทบจะหน้าชนหน้า

ประสบการณ์ชีวิตที่ตราตรีงมาก คือการได้อยู่ในบรรยากาศกับเต่าพร้อมกันถึง 3 ตัวครับ ฟินจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เต่านี่เป็นสัตว์ที่หายากนะครับ ใกล้สูญพันธุ์แล้ว แต่ประเทศไทยเรายังดีที่มีเต่าให้ได้เห็น ยิ่งเกาะเต่า การได้มาสัมผัสเต่าระยะใกล้ๆแบบนี้มันคือช่วงชีวิตที่แสนวิเศษที่สุด จะหาที่ไหนได้อีก

เด็ดกว่านั้น คือระหว่างที่ผมเจอเต่าตัวนึง และผมก็ว่ายไปกับเต่าเรื่อยๆ พลัน สายตาก็เห็นอะไรว่ายๆอยู่ข้างล่าง พอส่องดีๆ โอ้ว​ ฉลามครับพี่น้อง และทีเด็ดที่สุด ที่ต้องขอบคุณแต้มบุญชีวิตตัวเองคือ ฉลามกำลัง “ผสมพันธุ์” กันครับ พระเจ้า! นี่มันหาดูได้ยากมาก ยากกว่าการได้เจอฉลามวาฬอีก!!

โดยฉลามที่ผมเห็นนั้นมีทั้งหมด 8 ตัวครับ 6 ตัวกำลังว่ายวนเป็นวงกลมรอบๆ 2 ตัวที่กำลังผสมพันธุ์กันอยู่ เป็นภาพที่อเมซิ่งมาก ซึ่ง อจ. ธรณ์ก็ได้ขอนำภาพไปประกอบความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทางทะเลด้วยครับ เนื่องจากเป็นจังหวะที่หาเจอได้ยากมาก ผมก็ดีใจที่สุดครับที่ได้เห็นพฤติกรรมนี้ของฉลาม

ดูฉลามเสร็จแล้ว ผมก็ไปดูเต่าต่อครับ ถือว่าเป็นทริปที่ดีมากจริงๆ ได้เห็นทั้งแนวปะการังสวยๆ ทั้งฉลาม ทั้งเต่า ฟินอะไรขนาดนี้


อ่าวลึก (เสียค่าเข้า 50 บาท)

จุดนี้บอกเลยครับว่า ปะการังสวยบ้าบอคอแตกมาก ส่วนตัวยกให้คือที่สุดของการชมปะการังของเกาะเต่า น้ำก็มีทั้งจุดที่ตื้นที่ลึก คือจะสายสนอก ฟรีไดฟ์ สคูบา จุดนี้มีครบทุกกิจกรรม การเดินทางมาที่อ่าวนี้มาตามถนนคอนกรีตเลยครับ แล้วจะมีจุดให้จอดรถที่ต้องเสียค่าเข้า 50 บาทต่อคนครับผม เป็นคุณยายนั่งคอยเก็บค่าบริการ เข้าไปแล้วจะเจอชายหาด มีเก้าอี้ชายหาดให้นั่งครับ

ปะการังที่นี่สมบูรณ์ที่สุดครับ ความหลากหลายไม่ต้องพูดถึง เพราะมันสุดมากจริงๆ

ดูสิครับ การเรียงตัว คือสวยมากจริงๆอะ รักมากที่สุดอ่าวนี้

น้ำทะเลก็ใสจนไม่รู้จะใสยังไงแล้ว ข้างล่างลึกห้าหกเมตรก็เห็นพื้นสบายๆเลย

ปลาก็เยอะมากด้วยครับ มาเกาะเต่าเห็นฝูงปลาพวกนี้จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปซะแล้ว

ปลาฉลามหลายตัวเวียนว่ายแถวหน้าหาดเลยครับ ไม่ต้องไล่ตามน้องนะครับ แค่อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวน้องก็ว่ายมาใกล้ๆเอง

วิวใต้ทะเลเป็นอะไรที่สุดแล้วสุดอีก เกาะเต่าสมควรแล้วที่จะโด่งดังขนาดนี้ เพราะใต้ทะเลมันสวยงามเหลือเกิน

คนชอบถ่ายรูปจะต้องชอบเกาะนี้ครับ เพราะมีของให้ส่องเยอะ แสงส่องถึง มีหลายระดับความลึกให้เลือกด้วย ฝึกฝีมือกันไปเลยครับ

มีปลาการ์ตูนอินเดียแดงด้วยครับ แต่ปลาการ์ตูนที่นี่อายคนครับ หลบเข้าดงดอกไม้ทะเลตลอด กว่าจะได้ภาพสักช็อตคือลมแทบหมด

ปลากระเบนก็มี บ้าไปแล้ว อะไรจะขนาดนี้ เกาะเต่า

หากใครมีเวลามาเที่ยวเกาะเต่าน้อย แนะนำว่าอ่าวลึกควรอยู่ในโปรแกรมท่องเที่ยวครับ ไปทั้งฝั่งซ้ายฝั่งขวา ไปเลย สวยทั้งนั้น

อ่าวลึกทางขวามือจะมีจุดที่เป็นปะการังเทียมด้วยนะครับ มีปะการังเขากวางขึ้นหนาแน่นมาก สวยมาก แต่ก็ต้องฟรีไดฟ์ไปดูเช่นกันครับ ความลึกประมาณ 7-8 เมตร

ปะการังเขากวางสมบูรณ์มากๆเลยครับ สวยมากด้วย เห็นแล้วชื่นใจ มีความสุข อยากให้ทุกคนได้มาเห็นด้วยกัน

แนะนำที่สุดเลยครับ หากมีเวลาน้อย ห้ามพลาดที่นี่ เสียค่าเข้าแต่ก็คุ้มที่สุด

และเช่นเคยครับ ทุกหาด เราจะเห็นเลยว่ามีดงเขากวางขึ้นตลอดเลย บางหาดก็ขึ้นลึกหน่อยบางหาดก็ขึ้นตื้นๆครับ อย่างอ่าวลึก จุดที่ตื้นหน่อยก็ประมาณ 3 เมตรครับผม


อ่าวโตนด

มาถึงอ่าวสุดท้ายที่ผมไปเที่ยวมาครับ นั่นก็คือ อ่าวโตนด อ่าวนี้สามารถไปได้ตามถนนคอนกรีต ถนนพาไปจนแทบจะถึงหาดเลยครับ ไม่เสียค่าเข้าชม อ่าวนี้เป็นอีกอ่าวที่ปะการังใต้ทะเลสวยมากครับ และเป็นอ่าวที่มีหินสูงมาก ฝรั่งชอบปีนขึ้นไปกระโดดน้ำที่นั่นครับ

ปะการังที่นี่ก็เบ่งบาน เติบโตหนาแน่นเช่นกันครับ สวยมาก สวยจริงๆ ชอบอีกแล้วครับ

มีทั้งปะการังแข็ง ปะการังอ่อน อ่าวนี้ปะการังอ่อนขึ้นเยอะด้วยครับ

ปะการังเขากวางก็ฟอร์มตัวสวยสุดๆ

บางช่วงมี Plankton Bloom ด้วยครับ น้ำก็จะออกเหลืองๆหน่อย ถ่ายภาพมาเหมือนแสงออโรร่า แต่โดยส่วนตัวไม่ชอบเท่าไหร่ครับ มันทำให้น้ำตรงนั้นดูขุ่นๆ เหมือนฝุ่นคละคลุ้ง แต่ก็มีแค่บางพื้นที่นะครับ

ปะการังเขากวางแน่นมาก ซ้อนกันเป็นเลเยอร์ๆ ความลึกประมาณ 4 เมตร มองเห็นได้สบายๆ

อ่าวนี้แค่สนอกเกิลก็ฟินแล้วครับ บางจุดน้ำก็ตื้นมาก ไม่ถึงเมตร! ต้องใช้มือวาดๆเอาระหว่างอยู่เหนือน้ำ

ปะการังเขากวางสีเขียว แจ่มเลยครับ

ฝูงปลาที่นี่ก็เยอะมากๆเช่นกันครับผม คือมาเกาะเต่านี้เห็นปะการัง เห็นปลา จนเอาจนอิ่ม จนชิน จนเริ่มไม่ตื่นเต้นแล้ว

โดยส่วนตัวไม่เคยเจอปะการังแบบนี้มาก่อนครับ ดูเผินๆเหมือนเป็นแค่ก้อนหินตะปุ่มตะป่ำ แต่จริงๆแล้วคือปะการังอ่อน โบกโพลิปพลิ้วมาก หนาแน่นมาก เยอะแบบทุกตารางนิ้วมีแต่ปะการังแบบนี้

อ่าวโตนด เมื่อมองไปในทะเล จะเห็นกองหินสามก้อนอยู่บริเวณด้านซ้ายครับ ว่ายไปเลย ก่อนจะถึงหิน จะเป็นดงปะการังเขากวางครับ มีทั้งแบบพุ่มๆ และแบบแหลมๆ สวยสุด ปลาในนั้นก็เยอะมาก ความลึก 5-8 เมตรครับ

เป็นการเที่ยวทะเลที่แทบจะสำลักความสุขของการได้เสพความงามของปะการังและสัตว์โลกใต้ทะเล  ผมแนะนำมากเลยว่าหากมีเวลามาเถอะครับ


บทส่งท้าย

ขอบคุณตัวเองมากๆที่พาชีวิตมาเที่ยวที่เกาะเต่า แล้วก็ได้ค้นพบว่าจริงๆแล้ว เกาะแห่งนี้คือสวรรค์อีกที่สำหรับคนชอบทะเล ผมได้เจอคนท้องถิ่นบอกว่า จริงๆแล้วทะเลที่นี้เสื่อมลงไปเยอะ 20 ปีก่อนเกาะเต่าสวยกว่านี้ ปะการังเยอะกว่านี้ แต่ทำไงได้ครับ 20 ปีก่อน ผมยังเป็นเด็กประถมอยู่เลย จังหวะชีวิตของคนเราไม่เหมือนกัน ส่วนตัวแล้วแค่เท่าที่เห็น ณ วันนี้ ก็คือมองว่าสวยมากๆแล้วครับ สวยจนต้องใช้คำว่าเที่ยวเกาะเต่า “ครั้งที่หนึ่ง” เพราะต้องมีกลับมาซ้ำอย่างแน่นอน

เกาะเต่านั้นมีข้อดีตรงที่เราไม่ต้องซื้อทัวร์ออกไปไหนไกลๆเลย ยกเว้นเวลาไปเที่ยวอ่าวนางยวน หรือยากจอยทริปนั่งเรือชิวๆไปกับเค้า หากคนที่ขับมอเตอร์ไซต์ได้ หรือเน้นเที่ยวทะเลหน้าหาด ก็หาที่พักใกล้หาด แล้วเดินลงน้ำ นั่นแหละครับ ปะการังมากมายอยู่ตรงนั้นเลย

อย่างไรก็แล้วแต่ ทุกการเดินทาง ความปลอดภัยต้องมาก่อนอยู่เสมอ ถนนของเกาะเต่าลาดชันมาก บางที่ทั้งชันทั้งหักโค้งแบบไม่ปราณีกันเลย บางจุดเช่นอ่าวม่วง ทางลงเป็นดินทราย น้ำเซาะกลางถนน เสี่ยงตายมากๆ และหลายพื้นที่ ถนน ไม่มีไฟข้างทางด้วยครับ จึงจำเป็นมากๆที่เราจะต้องประเมินความสามารถในการขับขี่ของเรา และวางแผนให้ดีๆ

แม้กระทั่งการลงน้ำ เป็นไปได้ก็พยายามอย่าไปลงเล่นน้ำคนเดียวครับ คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล

หวังว่าบทความชิ้นนี้จะทำให้ทุกคนได้เห็นโลกใต้น้ำของเกาะเต่ามากยิ่งขึ้น เป็นเกาะที่ดีมากครับ วันหยุดพักผ่อนครั้งหน้า มองหาที่เที่ยวทะเลที่แค่ลงน้ำก็ฟินแล้ว แถมมีครบทุกกิจกรรมไม่ว่าจะสนอกเกิล ฟรีไดฟ์ สคูบา

“เกาะเต่าคือที่ที่ผมอยากให้มาลองกันครับ”

ขอบคุณที่ติดตามกันนะครับ แล้วเจอกันใหม่กับการเดินทางครั้งถัดไปครับ

The post เกาะเต่าครั้งที่หนึ่ง มาถึงก็ “รักเลย” appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/travel-to-koh-tao-the-paradise-in-thailand.html/feed 0
ดำน้ำลึกครั้งแรกในชีวิต มันเจ๋งมาก!! https://backpackstory.com/review-my-first-experience-in-learning-how-to-deep-dive-by-open-water-diving-course.html https://backpackstory.com/review-my-first-experience-in-learning-how-to-deep-dive-by-open-water-diving-course.html#respond Sat, 14 Nov 2020 10:12:22 +0000 https://backpackstory.com/?p=6909 ปีนี้เป็นปีที่ผมตั้งใจไว้ว่าผมจะเรียนดำน้ำลึก หรือ Scuba ครับ ตั้งใจไว้เรียนตอนต้นปี แต่อย่างที่ทราบๆกันว่า ต้นปีนี้เรามีเหตุการณ์ช็อคคนทั้งโลก คือโรคระบาด ที่ทำให้แหล่งท่องเที่ยวต้องปิดการให้บริการ และมีการล็อคดาวน์พื้นที่ไปเลย ผมตั้งใจจะเรียนช่วงเดือน มีนาคม ก็นั่นแหละครับ แจคพ็อต ทะเลปิด เลยอดเรียน พอมาปลายปี ทะเลไทยเปิดให้เที่ยวได้ ผมก็เลยมาเที่ยวทะเล และสมัครเรียนกับหลักสูตรของ PADI OPEN WATER

The post ดำน้ำลึกครั้งแรกในชีวิต มันเจ๋งมาก!! appeared first on Backpack Story.

]]>
ปีนี้เป็นปีที่ผมตั้งใจไว้ว่าผมจะเรียนดำน้ำลึก หรือ Scuba ครับ ตั้งใจไว้เรียนตอนต้นปี แต่อย่างที่ทราบๆกันว่า ต้นปีนี้เรามีเหตุการณ์ช็อคคนทั้งโลก คือโรคระบาด ที่ทำให้แหล่งท่องเที่ยวต้องปิดการให้บริการ และมีการล็อคดาวน์พื้นที่ไปเลย ผมตั้งใจจะเรียนช่วงเดือน มีนาคม ก็นั่นแหละครับ แจคพ็อต ทะเลปิด เลยอดเรียน

พอมาปลายปี ทะเลไทยเปิดให้เที่ยวได้ ผมก็เลยมาเที่ยวทะเล และสมัครเรียนกับหลักสูตรของ PADI ครับ โดยผมมาเรียนที่เกาะลันตา ครับ ใช้บริการของ Go Dive Lanta ซึ่งเป็นศูนย์สอนดำน้ำลึก ที่เจ้าของเป็นคนไทยครับ สนับสนุนกิจการคนไทยด้วยกันเอง ฮ่าๆ

สำหรับหลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรพื้นฐานเลยครับ คนที่อยากเรียนดำน้ำลึกก็ต้องผ่านตัวนี้ก่อน เพราะว่าจะมีการให้เราอ่านหนังสือด้วย ดูวีดีโอด้วย และฝึกปฏิบัติจริง 3 วัน และต้องทำข้อสอบ เพื่อให้ได้บัตรดำน้ำที่เอาไปใช้ได้ทั่วโลกด้วยเช่นเดียวกันครับ โดยตอนผมเรียน จะแบ่งเป็น การเรียนในสระว่ายน้ำ 1 วัน เพื่อฝึกสกิลการเคลียร์หู เวลาลงน้ำลึก ไม่ให้ปวดหู การลอยตัว และการว่ายผิวน้ำ พร้อมกับการสื่อสารใต้ทะเลเบื้องต้นครับ  จากนั้นวันที่สอง เราจะไปดำน้ำจริงก่อน 2 Dives และ วันที่ 3 ก็อีก 2 Dives เสร็จแล้วก็มาสอบครับ เป็นภาษาอังกฤษ สอบเสร็จ ก็จบขั้นตอนการเรียนหลักสูตรนี้ครับผม

ด้วยความที่ช่วงนี้ มันเป็นช่วงที่ไม่ปกติ นักท่องเที่ยวน้อยมาก ผมแทบจะเหมาทะเลเลยก็ได้ครับ คนเรียนก็ไม่มี ผมก็เรียนคนเดียวกับครูครับ ถือว่าเป็นความไพรเวทคอร์สไปอีก ทั้งเกาะหานักท่องเที่ยวแทบจะไม่มี 55

ครูที่สอนผม ชื่อครูนิน ครับ น่ารัก ใจดี เป็นกันเอง และใจเย็นมาก ผมเองมีปัญหาเรื่องการใช้ฟิน (ตีนกบ) เพราะไม่เคยใช้มาก่อน ปกติว่ายน้ำตื้นก็ใช้แต่เท้าเปล่า พอมาเจอฟินก็อึดอัดครับ เหมือนไม่ใช่ขาตัวเอง ทั้งกังวล ทั้งกลัวมันจะโดนปะการัง ครูก็บอกว่าให้ใจเย็นๆ แต่ก็ให้กำลังใจว่า ทุกอย่างมันก็ต้องฝึกกันไปครับ

ตอนที่จะลงน้ำลึกครั้งแรก ถามว่าผมกลัวไหม ตอนแรกก็กลัวนิดนึงครับ เพราะเวลาเรามองจากผิวน้ำ น้ำลึกระดับ 10 เมตร เราก็มองไม่เห็นพื้นแล้ว แต่พอได้ลงจริง มันไม่ได้น่ากลัวเลยครับ แสงส่องถึงสบายมาก สิ่งที่เราต้องจำให้ขึ้นใจก็คือ “การหายใจต่อเนื่อง อย่ากลั้นหายใจ” ครับ และพยายามเคลียร์หู เพื่อปรับความดันหู แล้วเราจะไม่เจ็บหูเวลาลงที่ลึกๆครับ  ส่วนความรู้สึกว่าจะโดนน้ำกดบนผิวตัว ไม่ต้องกลัวนะครับ ระบบอุปกรณ์ดำน้ำ และชุดที่เราใส่ มันออกแบบมาป้องกันเราแล้วครับ หายห่วงได้เลย

ความรู้สึกตอนลงน้ำครั้งแรกหรือครับ กังวลครับ ฮ่าๆ กังวลว่าเราจะเคลียร์หูได้ไหม เราจะพยุงตัวลอยในความลึกได้ไหม ซึ่งผมว่า คนส่วนใหญ่ก็คงจะกลัวแบบเดียวกัน แต่พอลงไปแล้ว มันไม่ได้น่ากลัวครับ ขอแค่เราทำตามที่ครูสอน มันก็จะทำได้ครับ แต่เรื่องการพยุงตัว อย่างที่ผมบอกไปว่าผมไม่ชินกับการใช้ฟิน และเพิ่งเคยใช้ ก็มีปัญหาเรื่องการทรงตัวให้นิ่งได้ยังไม่ดีครับ

ในภาพคือวันแรกที่เรียนนะครับ โดยจะฝึกจากในสระน้ำก่อน หลักๆก็เน้นการฝึกผิวน้ำ การเคลียร์หู การลองเคลียร์หน้ากากถ้าน้ำเข้าหน้ากาก การลอดถอดหน้ากากออกหมดในกรณีหน้ากากหลุดจากหน้า การลองปล่อยสายคาบปากออก เพื่อจำลองกรณีมันหลุดออกจากปากในตอนดำน้ำครับ

เรียนๆกันอยู่แค่นี้ครับ ช่วงโควิด เหมือนได้เที่ยวส่วนตัวในราคาที่ถูกด้วยครับ แต่ผมว่าถ้ามีเพื่อนๆเรียนด้วยหน่อยก็น่าจะสนุกมากขึ้นครับ จะได้มีเพื่อนคอยดำด้วยเยอะๆ ช่วงนี้ใครมีเวลา และสนใจอยากเรียนดำน้ำ ก็เป็นโอกาสดีนะครับ ทะเลสวยเวอร์วังมาก ในขณะที่แทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวเลยครับ

วันที่สอง เราจะได้ลงน้ำลึกกันจริงๆแล้วครับ ด้วยความที่ผมเรียนคนเดียว ฮ่าๆ ก็เลยนั่งเรือหางยาวไปครับ โดยสถานที่สำหรับ Dive แรกในชีวิตผมคือ “เกาะห้า” ครับ ดำตรงเกาะห้าลากูน ความลึก 12 เมตรครับ  วันนี้เราเรียนเรื่องการทรงตัว ลอยตัว และการเคลียร์หู เคลียร์หน้ากาก และกรณีช่วยมีปัญหาต่างๆครับ

ตรงเกาะห้าลากูน สิ่งที่ผมเห็นวันนี้คือ ปลาไหลมอเรย์ครับ ตัวโตมาก เยอะมากๆด้วยครับ อย่างบางรูมีอยู่สองตัว! ปลาปักเป้าก็เยอะมาก มีหลายพันธุ์เลยครับ ที่เคยเห็นยากๆในตอนดำน้ำตื้น ก็เห็นดาษดื่นในตอนดำน้ำลึก ประทับใจมากครับ

พอไป Dive สอง เราไปที่เกาะห้า ตรงหน้าถ้ำ ครับ เรียกว่า “เกาะห้าใหญ่” แต่ผมไม่ได้เข้าถ้ำนะครับ อันนั้นสำหรับคนมีประสบการณ์ครับ ตรงนี้จะลึกมากขึ้น และมันโอ้โหมาก มีตรงที่เป็นหน้าผา ทอดดิ่งไปยังพื้นเบื้องล่าง หน้าผานั้นเต็มไปด้วยปะการังสีๆครับ เหมือนมีคนไปวาดภาพบนนั้นเลย มันมหัศจรรย์มากๆ แต่เสียดาย ที่ผมไม่ได้ถ่ายรูป เพราะครูไม่อนุญาตครับ ต้องเรียนให้จบก่อน โฟกัสการเรียนก่อนครับ

Dive 3 & 4 Paradise On Earth!

เช้าวันถัดมา เราไปเรียนภาคปฏิบัติกันต่อครับ โดยครั้งนี้เราจะดำอีก 2 Dives ก็จบหลักสูตรแล้วครับ ที่ระดับความลึก 18 เมตร ครูจะสอนให้ใช้เข็มทิศ ใช้ computer diving ครับ และเน้นให้ผมดูบ่อยๆ ฝึกการลอยตัวให้มั่นคงขึ้น และในวันนี้เรามีช่างภาพบนเรือด้วยครับ ชื่อว่า Fabric เป็นช่างภาพวัย 50 ปี ที่เป็นนักถ่ายภาพใต้น้ำโดยเฉพาะเลย เค้าจะคอยตามเก็บภาพให้เราระหว่างที่เราอยู่ใต้น้ำครับ “ภาพสวยๆในบล็อกตอนนี้ มาจากฝีมือของ Fabric นะครับ เค้าจะถ่ายให้เรา และขายให้เรา ถ้าเราสนใจ ตอนนี้ราคาถูกมากครับ ผมได้มา 94 รูป ราคา 1,000 บาทเอง คุ้มมาก

ถ่ายภาพใต้น้ำเป็นที่ระลึกครับ Fabric เล่าให้ฟังว่า เขาเกิดมาจนอายุ 50ปี นี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เค้ามองไม่เห็นอนาคต เค้าไม่มีงานทำตั้งแต่เดือนมีนาคมครับ เพราะการท่องเที่ยวดำเนินไม่ได้ ปีนี้รายได้เค้าลดลงถึง 95% พอได้ออกมาถ่ายรูปให้นักท่องเที่ยวอีกครั้ง เค้าตื่นเต้นมาก และนี่เป็นครั้งแรกที่นักดำน้ำมีแต่คนไทย!!

Dive แรกของวัน เราลงที่ Pa Long (Phi Phi) ครับ ตรงนี้มีปะการังหลากสีเยอะมาก ผมตื่นเต้นกับการได้เห็นกัลปังหา เพราะดำน้ำตื้นไม่เคยเจอครับ สีสันมันสวยงามมากจริงๆ และปลาใต้ทะเลก็มีเป็นฝูงๆ ชอบมาก

ผมลงทะเลก็ตามติดครูเหมือนเหาฉลามเลยครับ 55 กลัวหลงครู ที่ตรงนี้เป็นอีกจุดที่ผมว่ามันสวยมากๆ เหมือนได้เห็นโลกอีกใบเลยครับ โลกแฟนตาซีที่มีบรรดาสัตว์ใต้ทะเลเป็นดารานำแสดง

เจอปลากหลากหลาย และเป็นฝูงเพียบเลยครับ ปลาเองก็ไม่กลัวเรานะครับ เค้าก็ว่ายของเค้าไป เราก็ลอยตัวนิ่งๆ ดื่มด่ำกับธรรมชาติไปครับ บางจังหวะก็แอคท่าให้ช่างภาพถ่ายภาพให้ ฮ่าๆ

โลกใต้ทะเล มีความมหัศจรรย์​อยู่จริงๆครับ เหมือนเราลอยเหนือภูเขา และภูเขาเหล่านั้นล้วนมีบุปผชาติ​กำลังเบ่งบาน มีฝูงปลาลอยเหนือเขา ประหนึ่งเป็นนกน้อยที่โผบินรอบๆ

ดงกัลปังหา Sea Fan ขึ้นเพียบเลยครับ หลากสีมาก ผมเห็นแล้วได้แต่ร้องว้าวดังๆในใจครับ ฮ่าๆ

จุดที่สองที่เราลงไปของวันนี้ คือ ตรงหาดมาหยาครับ ปกติตรงนี้ลงไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะเรือนักท่องเที่ยวเยอะมาก การดำน้ำจึงค่อนข้างอันตราย เพราะมีเรือเข้าออกประจำ แต่ก็อย่างที่บอกไปครับว่า นี่คือช่วงที่ดีที่สุดแล้ว เพราะมันไม่มีนักท่องเที่ยว ดังนั้น จึงดำได้สบาย ข้างล่างก็สวยงามไม่แพ้กันครับ ประทับใจมาก Fabric ก็ตามเก็บภาพให้รัวๆ

เวลาเราดำน้ำลึกขึ้นเรื่อย เราจะมีอาการปวดหูใช่ไหมครับ การแก้ปัญหาทำได้ง่ายมากเลยครับ นั่นคือให้เราเอามือบีบจมูกไว้ แล้วหายใจทางจมูกเบาๆ จะรู้สึกเหมือนลมออกทางหู แค่นี้เองครับ แล้วหูเราก็จะโล่งสบาย เพราะมีการปรับความดันของอากาศภายในหูแล้ว เราเรียกว่าการเคลียร์หูครับ ให้ทำบ่อยๆ เวลาลงลึกขึ้นเรื่อยๆครับ และที่สำคัญจำไว้เสมอครับว่า ระหว่างดำน้ำ “ต้องหายใจอย่างต่อเนื่อง ห้ามหยุดหายใจ

ระหว่างที่อยู่ใต้น้ำ ครูจะคอยดูเราเป็นระยะๆ และเราก็ต้องดูครูเราด้วยเช่นกันครับ พยายามรักษาความลึกไม่ให้ต่ำกว่าครู แต่ถ้าเผลอต่ำกว่าก็ปรับการลอยตัวให้ลอยมาอีกนิดครับ ครูจะไม่พาเราทำอะไรผาดโผนหรือเสี่ยงอันตรายครับ ความปลอดภัยต้องมาก่อน ชีวิตเราสำคัญที่สุดครับ

ตรงอ่าวมาหยา วันนี้คนอื่นๆเค้าเห็นปลาฉลามเป็นฝูงเลยครับ ส่วนผมไม่เห็นครับ เห็นแต่ปลาปักเป้า ฮ่าๆๆๆ

ดำน้ำ นอกจากจะเจอธรรมชาติใต้ทะเลที่แปลกใหม่ ก็ยังได้เพื่อนใหม่ๆด้วยนะครับ หลายคนเคยไปมาหลายที่ก็มาแบ่งปันกันว่าดำตรงไหนสวย เจออะไรบ้าง อย่างวันที่ผมไปเกาะห้า ก็เจอครอบครัวพี่ท่านหนึ่งมาจากขอนแก่น ชอบดำน้ำมาก พาลูกสาวสองคนมาดำน้ำด้วยกัน เป็นกิจกรรมที่น่ารักมากครับ วันต่อมาก็เจอเพื่อนใหม่จากกรุงเทพ มาดำน้ำกับแฟนครับ ส่วนผมเหรอ มาคนเดียวจ้า 5555

หลังจากสิ้นสุดการ Dive ที่สองของวันนี้ ก็ถือว่าผมฝึกภาคปฏิบัติสมบูรณ์ละครับ เรียนจบแล้ว สอบภาคทฤษฎีต่อ (ซึ่งผมก็สอบผ่านแล้วครับ) เย่ๆ

ผมประทับใจโลกใต้ทะเลมากครับ และอยากจะฝึกให้เก่งขึ้นไปอีก เลยตัดสินใจลงเรียนคอร์ส Open Water Advanced ต่ออีกครับ ทีนี้จะได้ดำที่ระดับความลึก 30 เมตรครับ น่าจะเจออะไรแปลกๆมากขึ้นครับ

พอจบดำน้ำที่สอง ผมก็ต่อด้วย Fun Dive ครับ ตรงเกาะปิดะ ตรงนี้มองไม่ค่อยเห็น เพราะช่วงผมดำ น้ำค่อนข้างขุ่นครับ

การดำน้ำก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมากครับ ทำให้เราได้เจออะไรใหม่ๆ เปิดโลกใหม่ๆด้วยครับ แค่การได้เห็นปะการังสวยๆ ปลาหลากสี ผมก็ดีใจมากละครับ

สำหรับใครที่สนใจเรียนดำน้ำ หากแวะมาแถวเกาะลันตาก็เรียนที่เดียวกับผมได้นะครับ ในบทความผมแนบลิงค์เพจเค้าไว้ด้วยครับ

ขอบคุณที่ติดตามบทความของผมนะครับ เดี๋ยวรอบหน้าผมไปดำน้ำลึกกว่านี้ จะมาเล่าให้ฟังว่าเป็นอย่างไรบ้าง สำหรับตอนนี้ไว้เจอกันใหม่ครับ สวัสดีค้าบ

The post ดำน้ำลึกครั้งแรกในชีวิต มันเจ๋งมาก!! appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/review-my-first-experience-in-learning-how-to-deep-dive-by-open-water-diving-course.html/feed 0
แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที่ 4 นี่มันเมืองในเทพนิยายชัดๆ Goreme และ Cappadocia https://backpackstory.com/backpack-to-turkey-part-4-drive-to-travel-in-goreme.html https://backpackstory.com/backpack-to-turkey-part-4-drive-to-travel-in-goreme.html#respond Sat, 13 Jun 2020 17:07:04 +0000 https://backpackstory.com/?p=6780 กลับมาแล้วครับผม หลังจากที่ดองบล็อกไปนานมาก ผ่านมาเป็นปีถึงได้เขียนต่อ เพราะช่วงนี้คือสถานการณ์โควิด ผมก็ใช้ชีวิตอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งระหว่างที่นั่งเขียนบล็อกนี้ คิดได้ว่า ควรจะเขียนเรื่องราวการเดินทางในตุรกีต่อนะ เพื่อนร่วมทริปก็ยิกๆว่า เขียนต่อได้แล้ว จะอ่าน ฮ่าๆ งั้นมาลุยกันต่อครับผมว่า การเดินทางทริปเมืองสองทวีปนี้ดีงามแค่ไหน

The post แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที่ 4 นี่มันเมืองในเทพนิยายชัดๆ Goreme และ Cappadocia appeared first on Backpack Story.

]]>
กลับมาแล้วครับผม หลังจากที่ดองบล็อกไปนานมาก ผ่านมาเป็นปีถึงได้เขียนต่อ เพราะช่วงนี้คือสถานการณ์โควิด ผมก็ใช้ชีวิตอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งระหว่างที่นั่งเขียนบล็อกนี้ คิดได้ว่า ควรจะเขียนเรื่องราวการเดินทางในตุรกีต่อนะ เพื่อนร่วมทริปก็ยิกๆว่า เขียนต่อได้แล้ว จะอ่าน ฮ่าๆ งั้นมาลุยกันต่อครับผมว่า การเดินทางทริปเมืองสองทวีปนี้ดีงามแค่ไหน

หลังจากที่พวกเราเที่ยวเมืองอิสตันบูลแล้ว เราก็วางแผนว่าจะไปต่อที่เมือง Goreme ครับ เมืองนี้มีจุดเด่นคือภูมิประเทศที่เป็นเหมือนเขาหิน แล้วก็มีคนเจาะหินอยู่ ดูแล้วมันน่าตื่นตาตื่นใจมาก คืนนั้นเรานอนกันไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องรีบตื่นมาราวตี 3 เพื่อที่จะได้รีบล้างหน้าล้างตาไปที่สนามบิน เตรียมบินต่อไปเมือง Goreme โดยสายการบิน Turkish Airline ครับ สายการบินนี้บินในประเทศราคาถูกมาก เป็นมิตรมาก (ณ วันที่ผมไป) ใครมีเวลาไม่มาก บินข้ามเมืองเลยครับ เอาเวลาที่เหลือไปเที่ยวที่นั่นดีกว่าเนาะ

สำหรับการเที่ยวในเมืองนี้ ผมกับเพื่อนตกลงกันว่า เราจะเช่ารถพร้อมขับเที่ยวกันครับ จะได้ไม่ต้องรีบมาก อยากจอดตรงไหนก็จอดไปตรงไหนก็ไป และคำนวณดูแล้ว มันประหยัดด้วยครับผม

แต่ว่าเมื่อเราบินมาถึงสนามบิน บริษัทที่เราจองรถไว้บอกว่าจะมารอที่สนามบินครับ ซึ่งเราก็หาไม่เจอ ที่สนามบินไม่มีสำนักงานของบริษัทนี้ด้วย เราเสียเวลากันพอสมควรในการตามหาคนจากบริษัท ทั้งถามพนักงานสนามบิน ก็ไม่ได้ผลครับ เราเลยตัดสินใจเดินออกมาหาด้านนอกอีก จนสุดท้ายก็เจอคนจากบริษัทเช่ารถครับ เค้าไม่ได้ดูกระตือรือร้นมองหาพวกเราเลย เขาบอกว่า บริษัทเค้าไม่มีออฟฟิศที่นี่ เดี๋ยวขึ้นรถไปกับเค้าไปเอารถกัน 

พอไปถึง และเห็นสภาพรถ ความผิดหวังพุ่งขึ้นสูงมากครับ เป็นรถที่กล้าเอามาให้ลูกค้าใช้ได้อย่างไร มันสกปรกมาก สภาพเหมือนเพิ่งไปออกรบ เต็มไปด้วยฝุ่นและคราบบุหรี่ แถมน้ำมันไม่มีอีกจ้า แปลกดี ปกติเคยเจอคือเค้าจะเติมเต็มถังแล้วเราไปเติมกลับตอนมอบรถ แถมให้รถไม่ตรง spec ด้วยครับ แต่วันนั้น อารมณ์แบบ เออ พยายามมองข้ามไปครับ แต่แนะนำว่าให้ใช้บริการบริษัทอื่นแทนน่าจะดีกว่าที่ผมใช้นะครับ ผมรีวิวไว้ด้านล่างครับผม

รีวิวประสบการณ์เช่ารถขับที่ตุรกี

เนื่องจากผมและเพื่อนๆเดินทางเที่ยวเอง ไม่ได้ใช้บริการทัวร์ เลยตั้งใจว่าจะเช่ารถขับที่เมือง Cappadocia เพื่อความสะดวกในการเดินทาง
โดยรับรถที่สนามบิน Kayseri และคืนที่โรงแรมในเมือง Goreme

ครั้งนี้ได้เลือกใช้บริการของบริษัท NOKTA Rent A Car
เช่ารถ Hyundai i20 รวมทั้งซื้อประกันแบบครอบคลุมทุกอย่างและจ่ายค่า Drop Charge ตั้งแต่ตอนจอง

และแล้วความไม่ประทับใจก็เริ่มขึ้น
พอเดินทางไปถึงสนามบินปรากฎว่าไม่มีเคาน์เตอร์ของบริษัทนี้ที่สนามบิน
พวกเราเดินหาอยู่นานถึงเจอคนของบริษัทรถมาถือป้ายชื่อรออยู่ตรงทางออก
จากนั้นเขาก็ให้ขึ้นรถเพื่อเดินทางไปบริษัทที่อยู่นอกสนามบิน โอเคอันนี้รับได้ไม่เป็นไร

เมื่อไปถึงบริษัทก็แสดงหลักฐานการจอง ใบขับขี่สากลรวมถึงหลักฐานอื่นๆ เจ้าหน้าที่ก็จะขอบัตรเครดิตเพื่อรูดกันวงเงินมัดจำไว้ 100 ยูโร
แต่!! จะรูดเก็บค่า Drop Charge เพิ่มอีก 20 ยูโร
คราวนี้ผมก็ไม่ยอมสิครับเพราะจ่ายมาตั้งแต่ตอนจองแล้ว เลยเถียงกันอยู่สักพักเขาก็ยอมด้วยหลักฐาน (เรื่องนี้รับไม่ได้ ถ้าคนที่สื่อสารไม่ได้หรือเตรียมหลักฐานไม่พร้อมคงโดนโกง)
หลังจากเคลียร์เงินและหลักฐานเรียบร้อยก็ถึงเวลารับรถที่เช่าไว้
ความเลวร้ายอีกหลายๆอย่างก็เริ่มปรากฎ

เริ่มจากรถที่ส่งมอบเป็น Hyundai Accent ซึ่งใช้น้ำมันดีเซล ไม่ใช่ i20 ใช้เบนซินตามที่จองไว้ แต่เนื่องจากเห็นว่าเป็นรถขนาด sub-compact เหมือนกันก็เลยโอเครับได้
แต่ยังไม่หมดเท่านั้น สภาพรถที่ส่งมอบให้ลูกค้าแย่มากเหมือนผ่านสงครามมา สกปรกจนมองไม่เห็นร่องรอยความเสียหายเดิมของรถเลย
น้ำมันก็หมดจนไฟเตือนขึ้น ไม่ได้เติมให้เต็มถังตามที่ตกลงไว้
ภายในรถก็มีขี้บุหรี่อยู่ตามช่องวางแก้วเต็มไปหมด

เป็นการเช่ารถที่เลวร้ายมากไม่แนะนำให้ใช้บริการบริษัทนี้
ยอมจ่ายแพงขึ้นเช่ากับบริษัทดังๆที่มีเคาน์เตอร์ในสนามบินดีกว่าครับ

ปล. ตอนรับรถคืนก็ไม่ตรงเวลาที่นัดไว้ มาสายเป็นชั่วโมงทำให้แทนที่พวกเราจะได้ไปกินข้าวเย็นก็ต้องนั่งรอครับ เป็นประสบการณ์เช่ารถที่ไม่ประทับใจเลย เลยมาเล่าสู่กันฟังสำหรับประสบการณ์เช่ารถค่ายนี้ของพวกเราครับ

หลังจากได้รถแล้ว ต่อไปเราก็ขับไปยังโรงแรมกันครับ พยายามไม่ใส่ใจให้มากกับรถที่เขาเอามาให้เราเช่า เพื่อนผมเป็นคนขับรถ ผมนั่งเป็นผู้โดยสารไป วิวระหว่างทางคือสวยมาก ทำให้ลืมความไม่ประทับใจแรกลงไปบ้าง

ด้วยความที่ตัวสนามบิน Kayseri นี่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมืองเลยครับ เราขับรถกันเพลินๆ ชมวิวระหว่างทางไปด้วย เราจะไปพักที่โรงแรมก่อน ที่พักวันนี้คือ Caravanserai Inn Hotel แนะนำมากครับ ดีมาก สถานที่ดี ห้องดี ทุกอย่างดี ชอบมากเลย

เมืองเกอเรแมตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของผู้คนมาตั้งแต่สมัยโรมัน และเป็นที่ที่ชาวคริสเตียนยุคแรกใช้ในการเป็นที่หลบหนีภัยจากการไล่ทำร้ายและสังหารก่อนที่คริสต์ศาสนาจะเป็นศาสนาที่ได้รับการประกาศว่าเป็นศาสนาของจักรวรรดิ ที่จะเห็นได้จากคริสต์ศาสนสถานจำนวนมากมายที่ตั้งอยู่ในบริเวณนี้ครับ ที่นี่มีมรดกโลกหลายแห่งด้วย แนะนำมากว่ามาตุรกีต้องมาเยือนครับ

หลังจาก Check In เรียบร้อยแล้ว เราก็พร้อมแล้วที่จะออกไปเที่ยวชมธรรมชาติแบบแปลกตา ที่หาชมที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ตามผมมาเลยครับผม


PASABAG (MONKS VALLEY)

ตุรกีรอบนี้ผมเองก็ไม่ได้วางแผนอะไรมากครับ เทียวกันแบบ เจออะไรก็ไปกัน เปิดหาข้อมูลกันระหว่างทริปบ้าง จุดแรกที่เรามาเที่ยวกันคือปล่องไฟนางฟ้าหุบเขาพาซาแบคครับ  สำหรับสถานที่แห่งนี้ ชื่อเต็มๆก็คือ Pasabag Fairy Chimneys ครับ ต้ังอยู่ห่างจากเมือง Goreme ราว 5 กิโลเมตร ลักษณะของที่นี่จะเป็นเสาหินสูงลักษณะเหมือนเห็ดโคนตั้งอยู่เรียงรายเต็มไป

ที่แห่งนี้ว่ากันว่า Pasabag หมายถึงไร่องุ่นของแม่ทัพ มาจากคำว่า Pacha Pacha ในภาษาตุรกี ที่แปลว่า “นายพล” ครับ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Monks Valley  เนื่องมาจากมีตำนานเล่าถึงนักบุญชื่อว่า St. Simeon ที่มาสร้างอาศรมอยู่ที่นี่ และใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษ จะกลับลงมาก็เมื่อต้องการหาอาหารเท่านั้นครับ

เข็มหินรูปเห็ดในหุบเขา Pasabag ทำให้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Cappadocia 

หินของที่นี่ก็จะเป็นทรงโคน ทรงกรวยแบบดังภาพครับ เรียงตัวกันเยอะมาก แบบแปลกตาจริงๆ หลายคนบอกว่าเหมือนกับต่างดาวเลยครับ ที่นี่เราสามารถเข้าชมได้ฟรีครับ ลองปีนถ่ายรูปได้ตามสบายเลยครับ ผมว่าช่วงพระอาทิตย์ขึ้นกับตก มันยิ่งสวยมากแน่ๆ

สภาพแต่ละคนค่อนข้างอิดโรยหน่อยๆ เพราะว่านอนน้อยครับ แฮะๆ

กิจกรรมเด่นๆของการมาเยือนพาซาแบ็ก ก็อารมณ์มาเดินเล่นๆ ชมวิว ชมเขา เดินดูหินแปลกตาไปครับผม เพราะนอกจากจะลักษณะแปลกตาแล้วก็ยังมีเรื่องราวต่างๆด้วย อย่างที่บอกไปว่าครั้งหนึ่งก็เคยเป็นที่พักของนักบุญ ดังนั้นก็จะมีจุดที่นักบุญพักด้วยอะไรด้วยครับ

ลักษณะภูมิประเทศนี้เกิดจากแรงลมที่กัดกร่อนเขาและหินต่างๆ ทำให้มีภูมิประเทศแปลกตาแบบนี้ครับ


Çavusin Village หมู่บ้านโบราณ มีบ้านฮอบบิท

ถัดจากนั้นพวกเราก็ขับรถขับต่อไปละแวกนั้นอีกครับ แวะชมหมู่บ้านแถวนั้น เจอบ้านหลังนี้อย่างกะบ้านฮอบบิทเลย แถบนี้ที่อยู่ล้วนมีรูปร่างแนวๆนี้ครับผม เอาจริงๆ เพิ่งมาทราบว่านี่คือหมู่บ้านที่เป็นจุดที่น่าแวะมากครับ ชื่อว่าหมู่บ้านคาวูซิน

หมู่บ้านคาวูซิน เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีเนินเขาโอบล้อมครับ มีบ้านเรือนหลังเล็กๆเรียงรายกันอยู่ หมู่บ้านจะอยู่ระหว่างเมือง Avanos กับ Goreme เป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบมาก วันที่พวกผมไปก็คนน้อยมากครับ เราจะเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านแบบดั้งเดิม เห็นบรรดาผู้ชายนั่งจับกลุ่มจิบชา ผู้หญิงแต่งกายแบบพื้นเมือง

ที่นี่มีความน่าสนใจ (ซึ่งก็มาทราบภายหลัง ฮ่าๆ) ว่ามีโบสถ์สองแห่งคือ โบสถ์ด้านบน (The upper church) โบสถ์นี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่นักบุญเซนส์จอห์น และอีกโบสถ์ คือโบสถ์ด้านล่าง (The lower Church) หรือ Çavusin (Nicephorus Phocas) Church สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแด่การมาเยือนของจักรพรรดิ Nicephorus Phocas แห่งคัปปาโดเชียน สันนิษฐานกันว่าโบสถ์ด้านบนหรือโบสถ์เซนต์จอห์นนั้นอาจจะเป็นโบสถ์ถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดคัปปาโดเกีย โดยน่าจะสร้างขึ้นตั้งแต่ราวๆ ศตวรรษที่ 5

เห็นแล้วได้แต่นึกในใจว่า บ้านหลังนี้อากาศน่าจะเย็นสบายเลยครับ เพราะว่าเป็นบ้านที่ขุดเจาะเข้าไปเป็นถ้ำ แถม รอบๆก็มีแต่ต้นไม้เขียวขจีขึ้นเต็มไปหมดเลย ผมเองก็ชอบบ้านหลังนี้มากๆครับ

แถวนั้นมีร้านคาเฟ่ด้วย หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ Goreme ครับ เป็นจุดที่ไม่ได้ไกลจากแถบ Pasabag มากนัก  ตรงนี้เป็นจุดที่เราจะเห็นภูเขาถูกเจาะเป็นช่องๆ สร้างเป็นที่พักอาศัย หมู่บ้านเงียบสงบมาก ข้อมูลที่ผมอ่านบอกว่าเป็นหมู่บ้านโบราณของชาวกรีกมาก่อน แล้วจากนั้นก็เป็นของชาวออธอด๊อกซ์ ชาวเติร์ก ชาวคัปปาโดเกีย และก็มีเหตุการณ์หินถล่มด้วยครับ ทำให้หลายที่เป็นบ้านร้างไป

นี่ครับ บ้านเรือนที่เกิดจากการขุดเจาะภูเขาและหน้าผา ให้กลายเป็นถ้ำ ซึ่งข้างในนั้น ขอบอกเลยครับว่า อากาศเย็นสบายมาก ในขณะที่ข้างนอกอากาศร้อนระอุ แต่ข้างในอย่างกะเปิดแอร์เลย ชาวบ้านบอกว่า ถ้ำแบบนี้อากาศจะเย็นสบายตลอดปี ต่อให้ข้างนอก หนาวมาก หรือร้อนมาก ข้างในอากาศก็ค่อนข้างจะคงที่ครับ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาการเอาตัวรอดของคนในสมัยก่อนเนาะ

ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆหน่อยครับ ตรงนี้ไม่มีคนอยู่ เป็นเขาว่างๆแล้ว ข้างในก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนะครับ แต่ก็แล้วแต่จุดครับ บางทีก็กว้างขวางจุคนได้เยอะ บางจุดก็อารมณ์คงเป็นห้องนอนทำนองนี้มั้งครับ

บางจุดจะเห็นว่า มีการไปเจาะช่องกันที่เกือบยอดเลยครับ ที่นี่เมื่อก่อนคือชุมชนขนาดใหญ่มาก ข้างในมีทั้งบ้าน ทั้งโบสถ์ เค้าใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำหินที่ขุดเจาะ หินพวกนี้เป็นหินชนิดพิเศษครับ เหมือนกับว่ามันขุดเจาะได้ง่ายกว่าหินทั่วๆไป

พวกเราทั้งหมดเดินชมตรงนั้นตรงนี้ เก็บภาพกันเพลินๆ ตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศใหม่ๆ เวลาไปเที่ยวมันสนุกตรงนี้แหละครับ เราจะรู้สึกเอ็นจอยได้กับทุกสิ่งอย่างที่เราเห็น ฮ่าๆ

จากนั้นก็ถ่ายภาพกันสักหน่อยเป็นที่ระลึก ก่อนที่ขึ้นรถ เดินทางไปยังจุดต่อไปของวันนี้ครับ เดี๋ยวเราจะไปที่ Panoramic View  Point กันครับ

เตรียมอำลาหมู่บ้านแห่งนี้ก่อนครับ เป้าหมายต่อไปรอเราอยู่ จะเป็นอย่างไรนะ ตื่นเต้นๆ

ระหว่างทางก็จะเห็นหินรูปกรวยแบบนี้เพียบเลยครับ

ขับไปดูวิวไป ส่งเสียงฮือฮาเป็นระยะๆครับ มาที่นี่เสาหินแบบนี้ ที่อยู่แบบนี้เยอะมาก มันเป็นวิวที่ผมว่าอัศจรรย์ดีนะ ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ลองจินตนาการไปว่าในสมัยก่อนเค้าต้องหาหนทางในการเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมแบบนี้บ้าง จากสงครามบ้าง การขุดถ้ำอยู่ก็เป็นหนทางที่ฉลาดเลย เพราะอย่างน้อยในถ้ำอากาศก็ไม่ร้อนจัดเท่าข้างนอก เวลาหนาวก็ไม่หนาวจัดด้วยเช่นกัน


Panoramic View Point @ Red and Rose Valley จุดชมวิว 360 องศา

เราขับรถกันมาใช้เวลาพอสมควรครับ ก็มาถึงจุดที่คอยชมวิวกันแล้ว เป็นจุดที่เรียกว่า Panoramic View Point  โดยพื้นที่นี้มีชื่ออีกอย่างว่า Red and Rose Valley ครับ

ตรงนี้เราจะมองเห็นวิวได้สุดลูกหูลูกตาเลยครับ มันสวยงามมากจริงๆ ในวันที่ผมไปนั้น ลมแรงมาก เพื่อนๆผมทั้งสามบอกว่า เดี๋ยวจะยืนชมวิวกันแถวนี้แหละ แต่ผมมองเห็นว่ามันมีเส้นทางให้เดินลงไปดูด้านล่างได้ด้วย ผมก็เลยบอกเพื่อนว่า งั้นผมจะลงไปนะ เพื่อนๆก็บอกว่าโอเคเดี๋ยวรอด้านบน

เดินลงไปแล้ว บอกเลยครับว่า มันเหมือนหลุดไปยังโลกในนิยาย มันหินประหลาดๆ เรียงตัวล้อมรอบแบบ 360 องศา ผมเดินไปถ่ายรุปไป เพลินมาก ตอนนั้นก็แทบจะไม่มีคนด้วยครับ

พื้นที่เหล่านี้ เป็นเพราะว่าในสมัยมีการปะทุของภูเขาไฟแล้วขี้เถ้าทั้งหลายพากันปกคลุมเต็มไปหมด จากนั้นก็มีภูเขาไฟระเบิดอีก ลาวาไหลมาทับ เลยกลายเป็นเนินตะปุ่มตะป่ำ อันนี้จากที่ผมอ่านๆมานะครับ

ผมเดินลงมาเรื่อยๆ ด้านล่างมีบ้านถ้ำด้วยนะครับ เขาเจาะหินเป็นบ้านเรือน เหลือร่องรอยให้เราได้เห็นและชวนคิดว่าสมัยก่อนคงจะมีคนอาศัยอยู่กันหนาแน่น

พื้นที่ให้เราเดินชมนี่ ยาวมาก หลายกิโลเมตรครับ มันมีจุดให้แวะชมเยอะสำหรับคนชอบแนว Landscape แปลกๆ อย่างผมเองก็ชอบเลาะตรงนั้นตรงนี้ แต่ตอนเดินก็เดินคนเดียวครับ ไม่มีใครเดินตาม หรือเดินสวนมาเลย ก็แอบวังเวงเบาๆ ฮ่าๆ

บางจุดเห็นเค้าใส่บันไดให้เดินขึ้นไปยังรูด้านบน ผมก็ปีนขึ้นไปดูด้วยครับ

ถ่ายรูปมามันอาจจะดูซ้ำๆ ไม่แตกต่างนะครับ แต่บอกเลยครับว่า ต้องไปเห็นของจริง มันว้าวมาก มันเป็นภูเขาหินแปลกๆอ่ะครับ สำหรับคนชอบธรรมชาติยิ่งน่าจะดื่มด่ำได้เพลินมาก แต่ถ้าคนไม่ชอบแนวนี้ก็คงจะรู้สึกว่า เอ มันก็เหมือนๆกัน 55 แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมเองชอบมาก ถ้าอากาศไม่ร้อนมาก ผมเดินเลาะได้ทั้งวัน

เนี่ยครับ วิวหินอันแปลกตา เดินกันไปยาวๆเลยจ้า

สักพัก ฟ้าก็ครึ้มๆครับ เหมือนฝนทำท่าว่าจะตก ผมก็เอาแล้วไง ถ้าฝนตกมา ไม่กลัวเปียก แต่เพราะมันโล่งมาก กลัวฟ้าผ่าครับ คิดไปโน่น เลยเร่งฝีเท้าขึ้น แต่ก็แบบ โอย ตรงนั้นก็สวย ตรงนี้ก็สวย รีบเดินด้วย รีบเก็บภาพด้วย

กลัวฟ้าผ่าก็กลัว อยากได้ภาพก็อยากได้ ฮ่าๆ จริงๆมันก็ไม่มีหรอกครับ แค่กลัวไปเอง เพราะเคยอ่านเจอว่าที่แกรนด์แคนยอนเมกา เป็นจุดฟ้าผ่าบ่อย แล้วตรงนี้ก็แบบ เออ โล่งดีจัง ก็คิดไปเอง ฮ่าๆ

ตรงนี้เหมือนมีร้านค้าด้วยครับ แวะไปชมสักหน่อย อย่างน้อยก็มีคนอยู่นะ

เป็นร้านค้าเล็กๆครับ ถือว่าเป็นจุดพักสำหรับคนเดินทาง ผมก็นั่งแช่แป็บนึง แล้วก็เดินต่อครับผม เดิน เดิน 

ทันใดนั้นสายตาก็ไปสะดุดกับตรงนี้ อุ้ต่ะ โบสถ์หรือ นี่จะเป็นโบสถ์ถ้ำแห่งแรกที่ผมแวะเข้าไปครับ มองซ้ายมองขวา ดูเหมือนว่ามันก็มีจุดขึ้นนะ ผมก็เลยหาจุดเดินขึ้นไปดูครับ โบสถ์เค้าจะเป็นยังไงน้า

คำตอบคือก็ไม่มีอะไรครับ แอ้ะะะะ ก็อารมณ์ถ้ำ มีที่นั่งครับ ก็เลย โอเค นั่งมองวิวร้านค้าก็ได้ ว่าแต่ คนหายไปไหนหมด เฮ้ลโล้ววววว อย่าให้ผมเหมาทั้งหุบเขาคนเดียวสิ 

ที่ดินตรงนี้ผมว่าค่อนข้างจะแล้งๆครับ ว่ากันว่า เค้าใช้ปลูกองุ่นกันครับผม แต่ผมก็ไม่เห็นไร่องุ่นนะ หรือช่วงผมมาเค้าเก็บเกี่ยวหมดแล้วผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

เขาถูกขุดถูกเจาะเป็นที่อยู่อาศัยเยอะมากครับ 

มองไปไกลๆ เห็นรถจิ๊บขับพานักท่องเที่ยวออกชมวิวด้วยครับ 

สักพักก็ดูเหมือนว่า ฟ้าจะเริ่มปลอดโปร่ง ก็เลยตั้งกล้องถ่ายรูปให้ตัวเองสักหน่อยครับ มาคนเดียว ต้องสามารถมีรูปตัวเองได้บ้าง จะได้อัพสกิล

ผมเดินไปไกลมาก ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเห็นจุดวกกลับไปยังจุดขึ้นเขาเลยครับ เอาวะ มาแล้ว ก็ต้องไปให้สุด 

สำหรับคนที่เคยมาแล้วบางคนก็เล่าให้ฟังว่า เค้าคิดว่าเมืองนี้น่าเบื่อ เพราะมันมีแต่หินประหลาดๆ เต็มไปหมด มันก็ว่ากันยากเนาะ เพราะว่าความชอบแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่างผมเอง ผมชอบเที่ยวธรรมชาติมาก อย่างแบบนี้บ้านเราก็ไม่มี ผมเองก็เลยชื่นชอบ มองว่ามันก็แปลกตาดี และมีเต็มไปหมด สุดลูกหูลูกตา ยิ่งใหญ่อลังการ ยังอยากกลับไปอีกเลยครับ

มาเมืองนี้ เราจะดื่มด่ำกับวิวหินๆ ถ้ำๆ แบบนี้แหละครับ มีให้ชมแบบจุใจมาก

สวยแบบไม่ไหวแล้ว เดินไปถ่ายภาพไปเรื่อยๆครับ อย่างที่ผมบอกว่า ผมอยู่ได้ทั้งวันแน่ๆ (ถ้ามันไม่ร้อน ฮ่าๆ)

ยามอาทิตย์ใกล้ตกดิน ลองนึกภาพตามครับว่า สีของแสงยามเย็นที่สะท้อนกับหินเหล่านี้จะสร้างบรรยากาศที่สวยงามสักเพียงใด ก็ไม่แปลกใจที่เขาจะเรียกว่า ปล่องนางฟ้า เพราะมันแสงที่สะท้อนมันขับความงามออกมาเหมือนอยู่ในโลกนิยายครับ

นี่ครับ บางช่วงมันสะท้อนแสงเป็นสีชมพู โอ้โห ชอบมากก อยากให้เพื่อนๆที่รอด้านบนมาเดินดูด้วยเสียเหลือเกินครับ

เก็บภาพเพลินครับ เดินราวชั่วโมงกว่าๆ จนแบบต้องเร่งฝ่าเท้าแล้ว เดี๋ยวเพื่อนๆรอนาน แล้วนี่คือเดินในหุบเขานะครับ ต้องเดินปีนเขาขึ้นไปอีกจ้า 

ผมถ่ายภาพเยอะมากจริงๆครับ แสงสวยๆ มีมาใช่ว่าจะบ่อย และใช่ว่าจะได้กลับมาอีกง่ายๆ ก็เก็บภาพรัวๆ 

และที่สำคัญ หุบเขาแห่งนี้ ได้ชื่อว่าเป็นหุบเขาที่สวยงามที่สุดของคัปปาโดเกียเลยนะครับ ตั้งอยู่ระหว่าง  Göremeและ หมู่บ้าน Çavusin ที่นี่หินที่กลิ้งและกระเพื่อมนั้น ต่างทอดตัวเป็นแนวโค้ง มีสีสันเป็นแถบสีชมพูพาสเทล สีเหลือง และสีส้ม ซึ่งเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟและการกัดเซาะของลมและน้ำนับพันปีครับ ระหว่างหน้าผาเป็นสวนผลไม้ และแปลงผักที่ยังคงดูแลโดยเกษตรกรในท้องถิ่น และหินเหล่านี้ก็มีที่แกะสลักเข้าไปเพื่อสร้างเป็นโบสถ์ที่ซ่อนอยู่ภายในถ้ำหินนั่นอีกที เป็นโบสถ์ตั้งแต่ยุคสมัยไบเซนไทน์ครับ ส่วนใหญ่แล้ว นักท่องเที่ยวจะมาที่นี่เพื่อมาชมพระอาทิตย์ตกดินกันครับ

แต่ละทริปได้ภาพมาเป็นพันๆครับ ลงภาพอีกสิบปีก็ไม่หมด ฮ่าๆ กดไว้ก่อน สวยไม่สวย ค่อยมาเลือกเอา

เริ่มเห็นมีคนบ้างแล้วครับ แต่ถ้าสังเกตดูก็จะเห็นว่า คนลงมาเดินกันน้อยมาก 

ตอนนั้นมือก็ถ่ายรูป ขาก็รีบเดิน เพราะเดี๋ยวเพื่อนด่าครับ ฮ่าๆ จนในที่สุดก็เดินมาถึงจุดที่ผมเดินลง แต่ตอนนั้นหาเพื่อนไม่เจอ เพื่อนไปจอดถ่ายรูปอีกจุดครับ ก็สิ้นสุดการชมวิวที่ Panaramic View Point ก่อน ต่างคนต่างหิวข้าวมาก

เราพากันขับรถกลับเข้าไปยังเขตเมืองครับ เพื่อหาอะไรทาน แต่ที่นี่พระอาทิตย์ก็ตกดินช้าครับ คือเกือบสองทุ่มจ้า นั่งรอไปนานๆเลยกว่าอาทิตย์จะตกดิน

เราเลือกร้านอาหารแห่งนึงครับ ด้านบนมีจุดถ่ายรูปด้วย พรมตุรกี! ตุรกีเค้าขึ้นชื่อเรื่องพรมมาก สวยมาก แต่หนัก เอากลับบ้านไม่ได้ เหนือสิ่งอื่นใดคือ ราคาสูงมากครับ บางผืนสูงกว่าราคาชีวิตผมอีกมั้ง 555 ก็เลยมาถ่ายรูป ร้านเค้าก็เข้าใจนักท่องเที่ยวนะครับว่า คนมาตุรกีชอบถ่ายรูปกับพรม ส่วนผม ดูสิครับ เสื้อกับพรม แยกกันไม่ออกเลย

ร้านนี้อาหารอร่อยไหม อืม จะบอกไงดี คืออาหารตุรกีบางอย่าง เหมือนเครื่องเทศเค้าจะดับกลิ่นเนื้อได้ไม่หมดหนะครับ พอกิน ก็จะรู้สึกว่า เอ๊ะ เหมือนได้กลิ่นสาบๆของเนื้อ แต่โชคดีที่ผมซื้อน้ำพริกไปด้วย เพราะได้ประสบการณ์จากอาหารอินเดีย ก็เลยไม่ถือว่าแย่มากครับ

นี่ครับ บรรยากาศตอนจะสองทุ่ม ฟ้ายังสว่างโร่เลย ทริปนี้ผมไม่มีการเก็บภาพอาทิตย์ตกเลย เพราะรอไม่ได้ หิวมาก วันนี้เป็นอีกวันที่มีความสุขมากๆครับ ได้เห็นวิวแปลกๆ อากาศดี และมาลุ้นกันว่า เราจะได้ขึ้นบอลลูนกันหรือไม่

หลังจากกินอิ่ม เราก็เดินดูตลาดแถวนั้นครับ บอกเลยว่า เมืองนี้ สิ่งของราคาถูกมาก ถูกว่าอิสตันบูลหลายเท่าครับ คิดว่าถูกสุดในบรรดาเมืองที่ไปเยือน ผมไปเจอร้านคุณลุงที่ขายของชำด้วย ร้านนั้นแบบขายถูกมาก ถูกแบบไม่แคร์ว่าร้านติดกันจะดักตี ฮ่าๆ

เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะไปชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน พาเดินลัดเลาะถ้ำ แล้วพามุดดินลงไปสี่ชั้น! อย่าลืมติดตามกันนะครับ วันนี้ขอจบบล็อกเท่านี้ก่อนครับผม แล้วเจอกันใหม่คร้าบ

The post แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที่ 4 นี่มันเมืองในเทพนิยายชัดๆ Goreme และ Cappadocia appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/backpack-to-turkey-part-4-drive-to-travel-in-goreme.html/feed 0
แบกเป้เที่ยวกับครอบครัว พ่อจ๋าแม่จ๋า ไปเที่ยวพม่ากันเถอะ https://backpackstory.com/family-trip-to-mandalay.html https://backpackstory.com/family-trip-to-mandalay.html#respond Sun, 07 Jun 2020 11:29:22 +0000 https://backpackstory.com/?p=6714 สำหรับทริปนี้เป็นหนึ่งในทริปแห่งความทรงจำทรงท้ายปีของผมเลยครับ เพราะว่าเป็นทริปที่ผมพาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันเป็นครั้งแรก ซึ่งปกติแล้วคุณพ่อของผมท่านไม่ค่อยชอบเที่ยวเลยครับ อยู่บ้าน ไม่อยากไปไหนไกลๆ ด้วยเหตุผลก็คือท่านบอกว่าเหนื่อยกับการเดินทางครับผม ทีนี้ผมเองก็บอกกับพ่อว่า พ่อครับ โอกาสที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน มันก็ไม่ได้เยอะนะครับ

The post แบกเป้เที่ยวกับครอบครัว พ่อจ๋าแม่จ๋า ไปเที่ยวพม่ากันเถอะ appeared first on Backpack Story.

]]>
สวัสดีครับ สำหรับทริปนี้เป็นหนึ่งในทริปแห่งความทรงจำทรงท้ายปีของผมเลยครับ เพราะว่าเป็นทริปที่ผมพาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันเป็นครั้งแรก ซึ่งปกติแล้วคุณพ่อของผมท่านไม่ค่อยชอบเที่ยวเลยครับ อยู่บ้าน ไม่อยากไปไหนไกลๆ ด้วยเหตุผลก็คือท่านบอกว่าเหนื่อยกับการเดินทางครับผม ทีนี้ผมเองก็บอกกับพ่อว่า พ่อครับ โอกาสที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน มันก็ไม่ได้เยอะนะครับ ระหว่างที่ยังมีโอกาสเราน่าจะไปเที่ยวด้วยกันสักหน่อย ผมอยากให้พ่อได้ไปเห็นประเทศอื่นๆ อยากพาพ่อขึ้นเครื่องบิน ก็พยายามเชียร์เรื่อยๆ พ่อก็กลัวลูกจะหมดตังค์เยอะ ก็อิดๆออดๆ ผมก็โน้มน้าวใจ เปิดสารคดีให้ดูบ้างอะไรบ้าง จนในที่สุดพ่อก็ยอมออกเดินทางไปด้วยกัน และการเดินทางของผมกับพ่อแม่ก็เริ่มต้นครับผม

โดยผมวางแผนไว้ว่าจะมาพ่อแม่ไปที่เมืองมัณฑะเลย์ครับผม เพราะว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวเยอะมาก ไปแล้วได้เห็นหลายอย่าง เป็นการไปเที่ยว 3 คืน 4 วัน และมีรุ่นพี่กับลูกสาวไปด้วย ทริปของเราจึงมีสมาชิกในกลุ่มทั้งหมด 5 คนครับ

ผมไปรับพ่อกับแม่มากรุงเทพก่อน โดยพาเที่ยวกรุงเทพฯสองวัน จากนั้นก็ค่อยไปพม่าครับ นี่เป็นรอบสิบกว่าปีเลยที่พ่อไม่ได้มาเหยียบกรุงเทพฯ เราก็ไปเที่ยวดูต้นไม้ประดับไฟคริสต์มาสครับ ช่วงนั้น กทม ก็อากาศหนาวด้วย พาพ่อแม่ไปเดินซื้อของ

ระหว่างที่อยู่กรุงเทพฯ ผมก็พาไปทานข้าวในห้างครับ พาไปร้านดีๆ บอกพ่อแม่ว่า อยากกินอะไรก็สั่งเลยนะครับ เอาแบบที่ไม่เคยกินก็ได้ แต่พอมาเป็นที่เค้าสั่งแล้ว อืม…แกงจืดวุ้นเส้นงี้ ไข่เจียวงี้ โอ้ยยยย

ดื่มด่ำกับแสงสีในกทม พอหอมปากหอมคอ เราก็พร้อมที่จะออกเดินทางครับ พ่อผมเองก็ตื่นเต้นมากกับการนั่งเครื่องบิน บอกว่า อะไรกันทำไมนั่งแป็บเดียว ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ฮ่าๆ

เมื่อถึงที่สนามบินมัณฑะเลย์ ผมก็ใช้บริการรถตู้ครับ คนละ 4,000 จ๊าด จริงๆผมลืมไปว่าพวกเราสามารถเหมารถได้เลย เพราะว่ามันแค่ 20,000 จ๊าดเองครับ แต่เอาเถอะซื้อแล้วก็ปล่อยไป รถตู้ก็จะรอให้คนขึ้นเยอะๆค่อยออกครับ ที่นี่ผมก็ซื้อซิมพม่าด้วย เน็ตโอเคเลยนะครับ ซื้อที่สนามบินนั่นแหละครับ ไม่แพง คิดเป็นเงินไทยร้อยกว่าบาทเอง

แผนการเดินทางในวันนี้จะเที่ยวในมัณฑะเลย์ก่อนครับ โดยเริ่มต้นที่พระราชวังมัณฑะเลย์ โดยผมให้โรงแรมหาแทกซี่ให้ เค้าคิดที่ 50,000 จ๊าด เป็นรถตู้ จริงๆ ถ้าเรียกเองจะได้ราคาถูกกว่ามากเลยครับ ที่นี่มี GRAB บริการด้วย เรียกได้เลย แต่ว่าผมก็มองว่าราคานี้ก็ไม่ได้แพงมาก สบายๆ ก็เลยจัดไปครับ คนขับรถเป็นผู้หญิงด้วย ตะลึงเลย เค้าบอกว่ามีเค้าคนเดียวนี่แหละที่เป็นผู้หญิงขับรถ

เมื่อถึงพระราชวัง พ่อกับแม่ก็ตื่นเต้นมาก พ่อผมนี่ชอบตั้งแต่นั่งรถออกจากสนามบินแล้วครับ เพราะว่าชอบธรรมชาติ เหมือนได้ย้อนอดีต

เมืองมัณฑะเลย์เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของพม่านะครับ อยู่ในแถว Mandalay Hill ซึ่งเป็นเขาที่สูงที่สุดในเมือง โดยชาวพม่ามีความเชื่อว่าครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเคยมาประทับรอยพระบาทไว้ที่เขาแห่งนี้ ดังนั้นจึงมีการสร้างพระราชวังไว้ที่ด้านล่างของภูเขา เพื่อเป็นการรำลึกของการดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนาที่อยู่มาแล้วถึง 2400 ปีบนโลกใบนี้ กษัตริย์ที่ย้ายเมืองหลวงมายังที่เมืองนี้ชื่อว่ามินดง พระองค์มีความตั้งใจว่าจะให้เมืองแห่งนี้เป็น “เมืองหลวงทางพระพุทธศาสนาของพม่า”

พระราชวังใหญ่มาก ใหญ่จนเดินไม่ไหว เราใช้เวลากันนานมาก ดูนั่นดูนี่ ผมเองก็ถ่ายภาพให้พ่อกับแม่เพลินเลยครับ

พระราชวังมัณฑะเลย์ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ  2,850 ไร่ครับ เป็นพระราชวังที่มีชื่อเสียงในเรื่องของระบบผนังที่แข็งแรงและซับซ้อนมาก เนื่องจากที่แห่งนี้เป็นที่พำนักของกษัตริย์มินดาเนาและกษัตริย์ธีบอ (เป็นกษัตริย์สององค์สุดท้ายของประเทศพม่า) ดังนั้นทุกส่วนของวังจะต้องสวย วิจิตร บรรจง

พระราชวังมีกำแพงรอบล้อม ซึ่งกำแพงนั้นรอดจากการถูกระเบิดทำลายล้างครับ รอบกำแพงก็มีประตูทางเข้าอีก 12 ประตู เป็นตัวแทนของ 12 จักรราศี ซึ่งผนังแต่ละด้านก็จะมีประตูอยู่สามประตู ด้านนอกกำแพงเป็นคูน้ำ ความกว้าง 64 เมตร ลึก 4.5 เมตร มีสะพานหลายแห่งไว้ข้ามไปมา

คอสตูมของคุณแม่ วันนี้ใส่ชุดที่ผมซื้อให้นางเนปาลครับ เป็นชุดที่แม่ชอบมาก แม่เป็นคนชอบเสื้อผ้าลายดอก ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมชอบลายดอกอะไรขนาดนี้ แต่พอเห็นเสื้อผ้าลายดอก ก็อดใจซื้อให้แม่ไม่ได้ ฮ่าๆ

ก่อนจะเข้าพระราชวัง เราต้องซื้อตั๋วก่อนนะครับ ราคา 10,000 จ๊าด เป็นตั๋วที่เข้าชมสถานที่หลักๆได้ครบถ้วน คุ้มครับ จัดเลย

เนื่องจากเป็นทริปที่พาพ่อแม่เที่ยว ก็จะมีแต่รูปพ่อแม่นะครับ 55 ผมก็เลยคุยกันขำๆว่าเป็นทริปถ่ายภาพ Post Wedding

แม้พระราชวังแห่งนี้จะเป็นการสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ก็ยังยิ่งใหญ่อยู่ครับ ผมอยากรู้มากกว่าตอนที่ก่อนจะโดนระเบิดมันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนนะ

ในพระราชวังจะมีหอคอยให้เราเดินขึ้นไปชมวิวด้วยครับ ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว พ่อผมก็บอกว่าเสียวหน่อยๆ ส่วนแม่ได้แต่ร้อง ว้าว ว้าว ว้าว

สีหน้าที่บ่งบอกว่ามีความสุขมากๆของแม่ เดินไปก็หันมาหากล้องเรื่อยๆ จะได้มีภาพตัวเองเยอะๆ

เรียกได้ว่าเป็นทริปที่ภาพพ่อแม่เยอะสุดๆ เยอะจริงๆครับ ระหว่างที่เดินเที่ยว เราก็หิวข้าวหน่อยๆ แต่ข้างในไม่มีข้าวขายนะครับ ผมเห็นตรงพิพิธภัณฑ์ข้างในเค้ามีคนขายขนม เลยซื้อขนมมาทานแก้หิว แม่กับพ่อบอกว่า อ้าว ทำไมฉลกเป็นภาษาไทย ก็เลยบอกไปว่า เค้าก็สั่งจากไทยมาขายครับ นี่ขนมไทยทั้งนั้น ราคาไม่แพงมากนะครับ ถุงละ 300 จ้าด ก็ประมาณ 6 บาท

พ่อเป็นคนไม่ค่อยชอบออกกล้องเท่าไหร่ครับ เวลาถ่ายรูปก็ไม่ค่อยยิ้ม วันหลังๆผมเลยถามพ่อว่า พ่อไม่มีความสุขหรือครับ ทำไมถ่ายรูปถึงไม่ยิ้มเลย บอกว่าอ่อ เปล่าหรอก ยิ้มแล้วหน้ามันเหี่ยว เลยไม่ยิ้ม โอ้ย พ่อออ

พระราชวังแห่งนี้ เดิมทีนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในพระราชวังที่สวยที่สุดในเอเชียเลยนะครับ เป็นพระราชวังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง มีคูน้ำล้อมรอบพระราชวังยาวแปดกิโลเมตรกว่า เป็นพระราชวังแห่งสุดท้ายของพระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์คองบองและในประวัติศาสตร์พม่าด้วยครับ วังแห่งนี้ สร้างขึ้นโดยพระเจ้ามินดง หลังจากที่ย้ายเมืองหลวงจากเมืองอมรปุระมายังมัณฑะเลย์ เพราะว่าต้องการหนีทหารของจักรวรรดิ์อังกฤษ และสงครามกับอังกฤษ โดยตั้งชื่อว่า Mya Nan San Kyaw แปลว่า พระบรมราชวังมรกตอันลือเลื่อง แต่คนมักจะรู้จักในนามพระราชวังทองคำ

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง วังแห่งนี้ถูกระเบิดทำลายย่อยยับจากการกระทำของอังกฤษ เพราะเจ้าใจว่าทหารญี่ปุ่นให้วังเป็นที่ซ่องสุม เสียดายมากเลยครับ ต่อมารัฐบาลพม่าจึงได้บูรณะโดยลอกแบบโครงสร้างดั้งเดิม แต่ความวิจิตรนั้น ทำไม่ได้แล้ว เพราะไม้สักก็ไม่ได้เยอะแบบเมื่อก่อน

เสร็จจากพระราชวังแล้ว เราก็ไปกันต่อที่วัด Kuthodaw Pagoda ครับ วัดนี้มีศิลาจารึกพระไตรปิฎกถึง 729 แผ่น ทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “หนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ด้วยครับ  วัดแห่งนี้สร้างขึ้นโดยกษัตริย์มินดงมิน ซึ่งสร้างในช่วงเวลาเดียวกันกับการสร้างพระราชวังมัณฑะเลย์ครับ โดยพระองค์สร้างขึ้นเพื่อเป็นการทำการกุศล ทำบุญทำนุพระศาสนา ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้สืบทอดต่อไป ถือว่าเป็นอีกวัดที่สวยงามมากๆ เพราะเราจะเห็นเจดีย์หลายร้อยเจดีย์ที่ทาทับด้วยสีขาว ครอบแผ่นหินอ่อนที่มีคำจารึกคำสอนทางพระพุทธศาสนาอยู่

สิ่งที่น่าสนใจของสถานที่แห่งนี้ก็คือบรรดาหินที่ถูกจารึกหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนานี่แหละครับ เพราะหินแต่ละแผ่นมีความสูงประมาณ 1.4 เมตร กว้างประมาณ 1 เมตร ตั้งแต่ที่พระเจ้ามินดงมิน มีคำสั่งให้จารึกคำสอนลงบนแผ่นหินและแปะทับด้วยทองคำเปลว ก็ใช้เวลายาวนานถึง 8 ปีเลยนะครับ กว่าจะจารึกเสร็จ เสร็จแล้วก็เอาหินนี้ไปไว้ตรงกลาง แล้วสร้างเจดีย์ขาวครอบทับอีกที

ตรงกลางวัดจะมีเจดีย์ปิดทองตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ครับ เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2402 จำลองมาจากเจดีย์ชเวซีกองในพุกาม โดยมีลักษณะเป็นทรงระฆังคว่ำ วางอยู่บนฐานของชั้นสามชั้น  แต่ละมุมทั้งสี่มุของเจดีย์มีตัวชินเต ซึ่งเป็นสิงห์สไตล์พม่าตั้งอยู่ครับ เชื่อว่าเป็นสิงห์โตในตำนานที่คอยปกป้องเจดีย์ครับ

พวกเราใช้เวลาอยู่ตรงนี้ประมาณ 40 นาทีครับ เพราะว่าก็เริ่มมืดแล้ว ตอนนั้นทุกคนก็หิวข้าว เลยพากันออกไปหาอะไรทานกันครับ แต่ก่อนที่จะแวะร้านอาหาร เราไปอีกวัด เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปทำมาจากหยกขาว ใหญ่มาก  ชื่อว่าวัด Kyauk Taw Gyee Pagoda ครับ วัดนี้มีพระหินอ่อนสีขาว หรือบางคนก็เรียกว่าหยกขาว แนะนำนะครับ


วันที่สอง เมืองมิงกุน สกาย อังวะ สะพานอูเบ็ง

เช้าวันที่สอง เรามีนัดกับคนขับรถตู้ตอน 9:00 น. ครับ ก็พากันตื่นมาทานข้าวเช้าที่โรงแรม ซึ่งโรงแรมนี้ก็ดีมากครับ มีการทำอาหารแบบบัฟเฟต์ และอร่อยมาก พ่อแม่ทานได้สบาย คุ้มราคาจริงๆ  ทานเสร็จก็นั่งรถออกไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเก่ารอบๆมัณฑะเลย์ครับ โดยจุดแรกที่เราไปก็จะเป็นวัดดั่งภาพด้านบนครับผม

วัดนี้มีชื่อว่า  HSINBYUME OR MYATHEINDAN PAGODA เป็นวัดที่สวยมาก ทาด้วยสีขาวล้วน รายล้อมด้วยปูนทรงโค้งๆ ซึ่งสร้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนคลื่นทะเลสีทันดรครับ เจดีย์แห่งนี้ถือว่าเป็นทัชมาฮาลแห่งลุ่มแม่น้ำอิรวดี เพราะว่าก่อสร้างเพื่อระลึกถึงคนรักครับ

อย่างไรก็ดี วัดนี้เพราะมีสีขาวดังนั้น จึงแสบตามาก ตาจะพังเอาได้ง่ายๆ แนะนำมากๆว่าให้เตรียมแว่นกันแดดไปด้วยนะครับ

พื้นที่เจดีย์ก็ใหญ่สุดๆครับ ที่นี่มีคนมาถ่ายรูปกันบ้าง ช่วงที่ผมไป ถือว่าคนยังไม่พลุกพล่านมากนัก ก็ให้พ่อแม่เป็นแบบสำหรับทริปนี้ไปอีกครับ วันนี้พ่อใส่สูทตัวใหม่ที่ซื้อให้ เปลี่ยนลุคหน่อย

ซื้อดอกบัวไปไหว้พระด้านบนครับ มาพม่านี่เด็กน้อยจะชอบเดินตามเยอะมาก โดยส่วนตัวไม่ชอบให้ใครเดินตามครับ 55 เลยบอกเด็กๆไปว่า หนูๆ ไม่ต้องตามมานะ เราต้องการเวลาส่วนตัว ไม่ต้องการให้ใครมาจอแจด้วย แต่พ่อผมก็บอกว่าสงสารเด็กน้อย ผมก็บอกว่า สงสารได้ แต่บางอย่ากง็ต้องใจแข็งครับ เคยเจอประสบการณ์เอ็นดูเด็ก แล้ววิ่งมาเป็นโขยง หลอนไปเลยครับ

จับจองพื้นที่เก็บภาพกันไปครับ ตอนนี้คนเริ่มเยอะแล้ว รอบนี้ผมมาพม่า โอ้โห คนจีนเยอะมาก เยอะแบบเหมือนมดไหลหลั่งเข้ามา ชาวพม่าเล่าให้ผมฟังว่าเป็นทัวร์ที่เข้ามาแต่เงินตราแทบจะไม่ถึงคนท้องถิ่น เพราะคนจีนเข้ามาดำเนินการเองหมด เข้าร้านอาหารที่จีนเปิด ร้านขายของที่จีนทำ ไกด์จีน โรงแรมคนจีน เค้าเรียกว่าทัวร์ศูนย์เหรียญแบบบ้านเราเลย จริงๆนักท่องเที่ยวเค้าก็ไม่รู้เรื่องหรอกครับ มันผิดที่กลุ่มนายทุนนั่นแหละ ที่เอาเปรียบกันเกินไป

จากนั้นเราก็เดินทางไปยังวัดต่างๆครับ วัดตรงนี้อยู่สกาย ผมก็เพิ่งเคยมาเหมือนกัน เป็นวัดที่เคยใช้สำหรับประชุมพุทธศาสนาโลกด้วย ใหญ่มากครับ Thidagu World Buddhist University

และแดดก็เปรี้ยงปร้างเช่นเคย จริงๆมันมีที่เที่ยวเยอะมากครับ แต่พวกเราเที่ยวไปถ่ายรูปไป เลยไม่สามารถไปเก็บได้ทุกจุด ต้องเลือกว่าจะไปตรงไหน ผมตัดไปหลายวัดครับ ผมบอกว่า เดี๋ยวพาไปนั่งรถม้ากันเนาะ

พวกเรานั่งรถข้ามฟากไปกลับคนละ 4,000 จ๊าด ไปยังเมืองหลวงเก่า อังวะ ครับ เมืองนี้ผมชอบมาก มีรถม้าให้นั่ง พ่อแม่ผมก็ชอบมากและตื่นเต้นมาก ไม่เคยนั่งรถม้ามาก่อน

อังวะนั้นเป็นเมืองหลวงเก่าที่น่าสงสารครับ ร่องรอยที่เหลืออยู่ก็เหลือจากการถูกขุดเพื่อย้ายเมืองหลวงบ้างอะไรบ้าง แต่ก็ทิ้งความยิ่งใหญ่ในอดีตไว้ให้เราได้จินตนาการถึงยุคนั้นได้เป็นอย่างดี คนสมัยก่อนนี่ทำอะไรก็เน้นใหญ่ๆทั้งนั้นเลยนะครับ

เราจะเห็นวิถีชีวิตที่หาได้ยากแล้วในบ้านเรา มาเมืองนี้พ่อผมจะชอบเป็นพิเศษ เพราะเหมือนว่าได้ย้อนเวลากลับไปในสมัยที่ตัวเองยังเด็ก มีนั่งเกวียน บ้านเรือนก็เก่าๆ ใช้ไม้ไผ่ขัดแตะทำเป็นผนังบ้าน

พ่อบอกว่าชอบเมืองอังวะมากๆ​ เพราะเหมือนได้ย้อนอดีตไปสมัยตัวเองยังหนุ่มๆ​ พ่อตื่นเต้นกับบ้านเรือนที่ผนังบ้านทำจากไม้ไผ่ขัดแตะ​ เห็นรถม้า​ เห็นคนขี่เกวียน​ มันคืออดีตที่พ่อรู้จัก

อังวะเป็นเมืองหลวงเก่าของพม่า​ครับ​ เคยเป็นเมืองหลวงเกือบห้าร้อยปีเลยทีเดียว

วัดแรกที่เรามาครับ ใหญ่มาก Maha Aung Mye Bon Zan Monastery วัดนี้มีความพิเศษแตกต่างจากวัดอื่นในพม่า เพราะว่าปกติเราจะเห็นวัดเก่าๆของพม่าทำจากไม้ แต่ที่นี่ทำจากอิฐและปูนครับ โดยมีคนสร้างก็คือพระนางเมห์นู มเหสีของพระเจ้าบาจีดอว์ (คนเดียวกันกับคนที่สร้างวัดขาวๆมีคลื่นล้อมรอบที่มิงกุนอะครับ) พระนางเป็นคนที่มีชาติกำเนิดเป็นสามัญชน เป็นแม่ค้าในตลาด แต่ดันต้องตาต้องใจราชา ในยามที่ออกไปแล้วเจอ ก็เลยนำมาเป็นมเหสี และพระนางเองก็แรงใช่เล่นครับ ค่อยๆเขี่ยเมียเอกออกจนตกกระป๋อง แล้วตัวเองก็มีอิทธิพลขึ้นมาแทน เป็นคนที่ช่วยตัดสินใจให้กับกษัติรย์ด้วย และก็ทำให้ต้องเสียเมืองหลายๆเมืองในอังกฤษ สุดท้ายตอนจบ กษัตริย์เกิดวิปลาส พระนางก็รวบอำนาจไว้เอง และจุดจบของพระนางคือถูกประหารชีวิตครับ

รอบๆวัดก็ถูกแผ่นดินไหวทำลายไปนะครับ ที่เหลืออยู่ยังยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ตอนนั้นจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน

พ่ออย่างเท่ครับ

แม่ก็ไม่เบา ชุดแต่ละวันไม่ซ้ำกันเลยจ้า เอาผ้าไหมที่คุณป้าทอเองไปใส่ด้วย

จากนั้นก็เดินทางไปยังจุดต่อไปครับ ทริปนี้นั่งรถม้าให้คุ้ม

วัดนี้เป็นวัดไม้สักบากะยาครับ  เป็นวัดที่สร้างขึ้นในปี 2357 เป็นวัดไม้สักเก่าแก่มากๆ มีเสาไม้สักถึง 267 ต้น แบบเสาใหญ่โตมากจริงๆครับ ด้วยอาคารก็ใช่ย่อยนะครับ แกะสลักด้วยไม้สักทั้งหลังจาก เป็นศิลปะสมัยต้นๆของเมืองอังวะครับ และมีงานศิลปะแบบไทยอยู่ด้วย เพราะยุคนั้นเป็นช่วงที่กวาดเชลยชาวไทยเข้ามาครับ ว่ากันว่าชาวสยามนี่แหละครับเป็นผู้สร้างวัดนี้ครับ

เราแวะตามจุดในเมืองอังวะอีกหลายจุดครับ แล้วก็กลับไปยังที่ท่าเรือ เพื่อขึ้นเรือกลับไป เราจะไปต่อที่สะพานอูเบ็ง สะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก ไปฝ่าฝันมหาประชาชนคนจีนบนสะพานครับ

คุณแม่ผมชอบสะพานนี้มาก บอกว่าวิวสวย ตอนพระอาทิตย์ตกดินก็สวย แต่ตอนเรามามันแสงเหลือน้อยแล้วครับ วัดถัดมาเราเลยมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อมาเก็บบรรยากาศ เลยนำภาพของวันถัดมามาลงสำหรับจุดสะพานอูเบ็งนะครับ

เนื่องจากคนเยอะมาก การจะถ่ายภาพไม่ให้ติดคนนั้นช่างท้าทายเสียเหลือเกินครับ

ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันสองคน ทริปนี้ผมไม่ค่อยมีรูปตัวเองหรอกครับ ฮ่าๆ

 

บรรยากาศ ณ เวลานั้นครับ คนค่อนข้างเยอะมากๆ แต่ก็เป็นวิวที่สวยดี พ่อแม่ชอบมากเลยครับผม

หลังจากที่ชมวิวกันอิ่มแล้ว พวกเราก็เดินทางกลับครับ ไปทานอาหาร และพักผ่อน ทริปพรุ่งนี้ยังมีอีกครับผม

ก่อนจะกลับ เก็บภาพอีกสักใบครับ มาพม่าหลายครั้ง ยังไม่เคยนั่งเรือที่แม่น้ำนี้เลย หากมีโอกาสกลับมาคงต้องจัดอีกสักทริปครับ


วันที่ 3 เที่ยวรอบเมืองมัณฑะเลย์ เจดีย์หยก

เช้าวันใหม่ ผมก็ชวนพ่อแม่ไปเที่ยวต่อครับ วันนี้แดดเปรี้ยงปร้างมาก ร้อนมาก แต่เพื่อภาพสวยๆ คุณแม่ทนแดดทนร้อนได้ดีมากครับ

“แม่ทนได้เสมอ ถ้าได้ภาพสวยๆจ้ะ” แม่บอก

วัดแห่งนี้เป็นวัดที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Mandalay Hill ครับ เป็นวัดที่สร้างขึ้นมาในสมัยของพระเจ้า มินดง มิน ในปี 1874 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงพระอนุชาของพระองค์ที่ชื่อว่า กานวง มินธา (Kanaung Mintha) ที่ถูกลอบสังหารพร้อมกับเจ้าชายอื่นๆอีกสามคน คือ เจ้าชายมาลุน (Malun) สาคุ (Saku) และ เมนปอิน (Mainpyin) ในระหว่างช่วงการก่อกบฏของเจ้าชาย Myingun ในปี 1866

เจดีย์นี้มีหลุมฝังศพของเจ้าชายทั้งสี่ข้างต้น และยังมีพระพุทธรูปเหล็ก ที่หล่อขึ้นโดย โบดอวปยา (Bodawpaya) ในปี 1802 ที่ได้ย้ายจากเมืองอมรปุระ มาที่มินดงในปี 1874 ข้อมูลบอกไว้ว่าพระพุทธรูปนี้หนักถึง 18,500 กิโลกรัมเลยครับ

พ่อนี่ร้อนมาก ไม่ค่อยจอยกับการถ่ายรูป ในขณะที่แม่ ยิ้มแป้น

เสร็จจากถ่ายภาพกันที่วัดนี้ เราจะเดินทางไปอีกที่ครับ ครั้งนี้ผมใช้บริการคนขับรถตุ๊กๆ ชื่อว่า โกโกะ ครับผม

ตรงนี้เป็นอารามอีกที่ของมัณฑะเลย์ครับ ทำจากไม้สักทั้งหลังเลย สวยงามมาก ผมชอบตรงขอบประตูที่นี่ ทำเป็นทรงโค้งได้สวยสดงดงาม ชื่อว่าวัด Shweinbin Monastery ครับผม

อาราม Shweinbin ตั้งอยู่ที่ตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองมัณฑะเลย์ อารามที่น่าสนใจแห่งนี้สร้างขึ้นในแบบศิลปะพม่าดั้งเดิมครับผม เป็นหนึ่งในอาคารไม่กี่แห่งที่ยังเหลือไว้ให้เห็นจากยุคภาวะสงครามและผ่านกาลเวลามายาวนาน อารามนี้สร้างขึ้นในปี 1895 โดยพ่อค้าชาวจีน ตัวอารามประกอบไปด้วยงานแกะสลักไม้ที่น่าประทับใจมากมาย และยังมีงานศิลปะที่น่าชื่นชมอีกจำนวนมากเลยครับ แนะนำว่าให้มาให้ได้นะครับ สวยมากจริงๆ

ทำจากไม้สักครับ ตรงซุ้มประตูมีการทำเป็นทรงโค้งได้อย่างวิจิตรบรรจง

อาราม Shweinbin ตั้งอยู่บในเมือง Mahar Aung Myay จากข้อมูลบอกไว้ว่าเป็นอารามที่ได้รับการสร้างโดย U Set Shwin พ่อค้าชาวจีน เขาเกิดที่ประเทศจีนมณฑลหยุนนาน แล้วย้ายมาที่มัณฑะเลย์ พออายุได้ 14 ปีก็กลายเป็นเด็กกำพร้า และเขาดิ้นรนตลอดชีวิตเพื่อเป็นพ่อค้า เขาแต่งงานกับหลานสาวคนหนึ่งของกษัตริย์พุกาม ในที่สุดเขาก็สามารถบริจาคพระอารามอันยิ่งใหญ่นี้ได้ ที่นี่จัดว่าเป็นหนึ่งในอาคารไม้สักที่งดงามให้เราได้พบเห็น

สถานที่ต่อไปที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยสำหรับใครที่มาเยือนที่มัณฑะเลย์ ก็คือวัดนี้ครับ วัดชเวนันดอว์ มันเป็นวัดที่ถูกห่อหุ้มด้วยทองคำครับ!! คือทองอร่ามเอลื่องมากครับ ขนาดว่ามันเริ่มจางหายไปตามกาลเวลาแล้ว แต่มันก็ยังเจิดจรัส ผมคิดไม่ออกเลยว่า ในยุคที่มันรุ่งเรืองสุดๆ มันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน

วัดนี้เป็นวัดที่รอดพ้นจากการทิ้งระเบิดในสงครามโลกด้วยครับ แต่ก่อนวัดนี้เป็นวัดหลวง ตั้งอยู่ในเขตพระราชวังครับ เป็นวัดที่พระเจ้ามินดงมาใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เจริญภาวนา ตอนที่พระองค์ประชวร ก็มาพักทีนี่ และสิ้นพระชนม์ที่นี่เช่นเดียวกัน แต่ว่า พอสิ้นพระเจ้ามินดง กษัตริย์องค์ใหม่ คือพระเจ้าธีบอ ก็ย้ายวัดนี้ มาไว้นอกเขตวัง เลยเป็นจุดให้วัดนี้รอดพ้นจากระเบิดตอนที่โดยทิ้งระเบิดลงเขตพระราชวังนั่นเองครับ

ในช่วงที่ผมไปนั้น เห็นชาวพม่า มาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งกันด้วยครับ ผมว่าก็ไม่แปลกหรอก เพราะว่าวัดนี้มันโดดเด่น ยิ่งยามแสงอาทิตย์ลอดผ่านเข้ามาข้างใน ภายในมันเหมือนจะเรืองแสงได้เลย

ถ่ายภาพพ่อกับแม่เป็นที่ระลึกครับ พรีเวดดิ้งไม่ทันแล้ว 555

จากนั้นคนขับรถถามว่า พวกคุณอยากไปวัดหยกไหม? ผมเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็เลยบอกว่า ไปๆ วัดนี้อยู่ในเมืองสกายครับ ทางไปสนามบิน เราไปตอนเย็นแล้วครับ พอไปถึง โอ้โห ตะลึงมากๆๆ เป็นวัดที่ทำจากหยก แบบตั้งแต่ซุ้มประตู ม้านั่ง พื้น ฝาผนัง เจดีย์ พระพุทธรูป คือ ทุกจุดทำจากหยก!

พญานาคนี้ก็ทำมาจากหยกเช่นกันคับ ผมเพิ่งทราบว่าหยกมีสามสิบกว่าเฉดสี

และวัดนี้บริจาคโดยแค่ครอบครัวเดียวด้วย รวยอะไรปานนี้ คนขับรถบอกว่าคนที่บริจาคเป็นเจ้าของเหมืองหยกครับ

เป็นอีกจุดที่อยากให้มาชมครับ มันคือที่สุดจริงๆ เรื่องหยก ต้องยกให้พม่าเค้าเลยในเวลานี้

หยกมีตั้งแต่สีขาว เขียว น้ำตาล และอื่นๆ คืออย่างที่บอกไปครับว่า มันมีสามสิบกว่าเฉดสี ตามคุณภาพของหยก

เราใช้เวลาที่นี่กันนานเลยครับ เพราะตื่นตาตื่นใจกับความยิ่งใหญ่ และความศรัทธาของชาวพม่า พรุ่งนี้เราจะเดินทางไปยังวัดอีกจุดเพื่อสักการะบูชาพระคู่บ้านคู่เมือง ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทยครับผม


วันที่ 4 ตื่นเช้าไปสักการะพระมหาศักยมุณี พระที่ยังมีลมหายใจแห่งมัณฑะเลย์

เช้าวันใหม่ ผมนัดโกโกะให้มารับพาพวกเราไปชมเค้าล้างหน้าพระกันครับ

ชาวพม่าเป็นผู้คนที่ศรัทธาแรงกล้ามากจริงๆครับ เค้าพากันตื่นตั้งแต่เช้ามืด เพื่อมาทำวัตรเช้าที่วัดแห่งนี้

วัดนี้มีพระมหามัยมุนี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของประเทศพม่า เป็นหนึ่งในห้าของศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์มากของพม่า ผมเลยอยากพาพ่อแม่มาสักการะครับ พระมหามัยมุนี เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ วิจิตรสุดๆ แต่เดิมพระนี้เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่ครับ ตำนานบอกว่าสร้างขึ้นในสมัยพุทธกาล โดยกษัตริย์แห่งเมืองยะไข่ ทำมาจากทองสัมฤทธิ์ หนัก 6.5 ตัน

ตำนานกล่าวอีกครับว่า ก่อนที่จะมีการสร้างพระพุทธรูปนี้ กษัติรย์ แห่งเมืองยะไข่ผู้สร้างพระพุทธรูปแนี้ได้ฝันว่า พระพุทธเจ้ามาประทานพรเข้าฝันบอกให้ทราบว่าพระพุทธรูปที่จะสร้างนี้จะเป็นตัวแทนของพระองค์เพื่อเป็นเครื่องสืบพระพุทธศาสนาไปในภายภาคหน้า

ในอดีต เมืองยะไข่ถูกโจมตีโดยกษัตริย์เมืองอื่นหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครสามารถเคลื่อนย้ายองค์พระมหามัยมุนีนี้ออกจากเมืองได้ เพราะทุกครั้งก็จะมีเหตุให้ขัดข้องทุกครั้ง จนกระทั่งในสมัยของพระเจ้าปดุง แห่งราชวงศ์คองบอง ที่ตียะไข่ได้ ก็ได้อัญเชิญพระมหามัยมุนีออกจากเมืองยะไข่ในปี 2327 โดยล่องมาตามแม่น้ำอิระวดี มายังเมืองมัณฑะเลย์ พระมหามัยมุนีก็เลยตั้งประดิษฐานอยู่ที่เมืองนี้ถาวร นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ทุกวันนี้พระองค์นี้มีกายที่ใหญ่มากครับ เกิดจากการทับถมของทองคำเปลวที่ถูกชาวบ้านนำไปปิดติดต่อกันเป็นร้อยๆปี จนมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า พระเนื้อนุ่ม

ผู้หญิงจะถูกห้ามไม่ให้ไปติดทองคำเปลวนะครับ ต้องฝากผู้ชายไปติดครับผม

องค์พระที่ดูเป็นตะปุ่มตะป่ำ นั่นคือทองคำที่ถูกแปะๆโดยชาวบ้านครับ ศรัทธาแรงกล้ามาก เวลาเราเอานิ้วกดไป ก็จะเห็นว่ามันอ่อนๆครับ แต่มีจุดที่น่าสังเกตคือ แม้ว่าองค์พระกายของพระมหามัยมุนีจะใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม แต่พระพักตร์ขององค์พระมหามัยมุนีก็ยังแลดูใหญ่ตามขนาดลำตัวอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งๆที่ไม่มีการแปะทองที่พระพักตร์เลยครับ

พ่อกับแม่ชอบมากครับ ได้พามาสักการะพระคู่บ้านคู่เมืองแล้วพวกท่านก็อิ่มเอบใจ

ทริปนี้ก็จบลงอย่างสวยงาม การได้เห็นความสุขของพ่อแม่และเพื่อนร่วมทาง นี่มันดีนะครับ ผมเองเดินทางหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยไปเที่ยวกับพ่อแม่แบบครั้งนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกที่เราไปต่างประเทศด้วยกัน พ่อแม่ชอบ ผมก็มีความสุขมาก แม่ผมนี่ถึงกับเตรียมเสื้อผ้าไปใส่แบบเป็นนางแบบประจำทริปเลย

ขอบคุณทุกๆมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ขอบคุณพี่นางและน้องกล้วย ที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ขอบคุณโกโกะ คนขับรถที่นำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ และคอยให้บริการอย่างมีมิตรไมตรีครับ

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามการเดินทางของผมเสมอมา ไว้เจอกันใหม่สำหรับการเดินทางครั้งหน้านะครับ

“เจซูติน บาแด”

The post แบกเป้เที่ยวกับครอบครัว พ่อจ๋าแม่จ๋า ไปเที่ยวพม่ากันเถอะ appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/family-trip-to-mandalay.html/feed 0
แบกเป้เที่ยวจีนสู่หมู่บ้านชาวต้ง Zhaoxing Dong และ Tangan Dong https://backpackstory.com/backpack-to-zhaoxing-dong-and-tangan-dong-village-in-guizhou-china.html https://backpackstory.com/backpack-to-zhaoxing-dong-and-tangan-dong-village-in-guizhou-china.html#respond Wed, 11 Dec 2019 03:57:16 +0000 http://backpackstory.com/?p=6489 สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกนะครับ หลังจากที่เรื่องตอนที่แล้วผมพาไปเที่ยวที่ย่าติงและแชงกรีล่า วันนี้จะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ใหม่ ที่ผมเองก็เพิ่งจะเคยไปเหมือนกันครับ นั่นก็คือหมู่บ้านชาวต้งที่ชื่อว่า Zhaoxing Dong และ หมู่บ้านถังอัน Tangan Dong ซึ่งตั้งอยู่ในกุ้ยโจวครับผม ผมรู้จักหมู่บ้านแห่งนี้ประมาณสี่ห้าปีที่แล้ว เพราะบังเอิญได้เพื่อนใหม่เป็นชาวจีนที่มาจากกุ้ยโจวครับ

The post แบกเป้เที่ยวจีนสู่หมู่บ้านชาวต้ง Zhaoxing Dong และ Tangan Dong appeared first on Backpack Story.

]]>
สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกนะครับ หลังจากที่เรื่องตอนที่แล้วผมพาไปเที่ยวที่ย่าติงและแชงกรีล่า วันนี้จะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ใหม่ ที่ผมเองก็เพิ่งจะเคยไปเหมือนกันครับ นั่นก็คือหมู่บ้านชาวต้งที่ชื่อว่า Zhaoxing Dong และ หมู่บ้านถังอัน Tangan Dong ซึ่งตั้งอยู่ในกุ้ยโจวครับผม

ผมรู้จักหมู่บ้านแห่งนี้ประมาณสี่ห้าปีที่แล้ว เพราะบังเอิญได้เพื่อนใหม่เป็นชาวจีนที่มาจากกุ้ยโจวครับ ตอนนั้นผมพูดถึงหมู่บ้านเฟิงหวง และเค้าก็ถามผมว่า ผมชอบเที่ยวหมู่บ้านโบราณเหรอ ผมก็บอกว่าใช่แล้ว ผมชอบไปดูสถาปัตยกรรมในหมู่บ้านโบราณ เค้าก็เลยบอกว่า ที่กุ้ยโจวที่เค้าอยู่มีหมู่บ้านหนึ่งที่สวยมาก เป็นหมู่บ้านชาวต้งที่ใหญ่ที่สุดของจีน แล้วเค้าก็เอารูปให้ผมดู ตอนนั้นผมก็ตั้งใจว่าจะไปให้ได้ แต่ด้วยเวลาก็ไม่ได้ไปสักที และช่วงนั้นการไปที่นี่ก็ลำบากมาก ต้องนั่งรถราวสองวัน แต่ไม่นานมานี้ ทางการจีนสร้างรถไฟความเร็วสูงไปถึงแล้ว สามารถเดินทางไปได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง

ผมเริ่มต้นด้วยการนั่งสายการบินจากสนามบินลี่เจียง มาบินลงที่กุ้ยหยางครับ ซึ่งที่สนามบินกุ้ยหยางก็ติดกับสถานีรถไฟฟ้าเลยครับผม สำหรับใครที่บินมาลงคุณหมิงก็สามารถนั่งรถไฟความเร็วสูงจากคุณหมิงมาได้นะครับ โดยสถานีปลายทางคือสถานี Congjiang ครับ ลองเช็คดูนะครับว่าวันที่ต้องการเดินทางนั้นมีวิ่งตรงหรือวิ่งแวะที่ไหนหรือเปล่า ทางที่ดีแนะนำให้จองล่วงหน้า เพราะเส้นนี้มักจะเต็มอยู่บ่อยๆครับ

เนื่องจากผมเริ่มต้นจากสนามบินกุ้ยหยาง ที่สนามบินก็เชื่อมกับสถานีรถไฟชื่อว่า Longdongbao (龙洞堡) ครับ ตอนนั้นก็รีบพากันกระวีกระวาดไปซื้อตั๋วรถไฟ เพราะเวลามันก็กระชั้นชิดมากแล้วโดยแจ้งว่าจะไปที่สถานี Congjiang (从江)  จากสถานีต้นทางไปยังปลายทางนั่งประมาณแค่ 1 ชั่วโมงเองครับ แป็บเดียวก็ถึงแล้ว และขอบอกเลยว่าวิวระหว่างทางสวยมาก!

พอมาถึงสถานีปลายทาง ตอนนั้นเราก็มาจากลี่เจียงใช่ไหมครับ ที่ลี่เจียงคืออากาศเย็นมาก แต่เมืองนี้ มันไม่ร้อนเท่าลี่เจียง แต่พวกเราใส่กันหนาวแบบจัดเต็มที่นั้นมองพวกเราแบบสายตาชัดเจนมากว่า มองด้วยความสงสัยว่าคนกลุ่มนี้มาจากไหนกันถึงแต่งตัวแบบนี้ พวกเราก็ถอดเสื้อกันหนาวกันแทบไม่ทันครับ ร้อนสุดๆ ฮ่าๆ  ที่นี่เราจะเห็นอาคารต่างๆที่สถาปัตยกรรมแปลกตาครับ คือหลังจากจะเป็นชั้นๆแบบนี้ อันเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมชาวต้ง

พอลงจากสถานีรถไฟแล้วเดินออกมา เราสามารถเรียกแทกซี่หรือรถเหมาแถวนั้นได้เลยนะครับ สามารถแจ้งเค้าได้เลยว่าไปที่หมู่บ้าน Zhaoxing Dong ไม่ก็เอารูปพร้อมชื่อหมู่บ้านให้เค้าดู หมู่บ้านนี้ไม่ไกลจากสถานี้ครับ นั่งรถราว 20 นาทีก็ถึงแล้ว ระหว่างทางจะผ่านจุดซื้อตั๋วเข้าหมู่บ้านด้วย ราคาคนละ 80 หยวน สามารถอยู่ได้ 3 วันครับ

เมื่อมาถึงหมู่บ้านนี้ โอ้โห มันสวยมากครับ สวยแบบ สมแล้วที่เพื่อนแนะนำ นอกจากสวยแล้วยังสงบด้วย ช่วงผมไปคนไม่พลุกพล่านเลยครับ วิถีชีวิตยังดิบๆอยู่ เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างความเก่า กับการปรับปรุงเพื่อต้อนรับกระแสท่องเที่ยว ดังนั้นจะมีบางช่วงที่อาคารต่างๆเริ่มมีการ Renovate ให้แข็งแรงมากขึ้นครับ ที่นี่ผมพักที่โรงแรม Zhaoxing W Lodge ห้องชมวิวครับ อยู่กันสามคืน คืนละ 200 หยวน ดีงามมาก

หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่เหมาะกับการมาพักผ่อนจริงๆนะครับ กิจกรรมหลักๆก็จะเป็นการเดินดูวิวบ้านเรือนเก่าๆ ดูหอกลอง ชมวิวทุ่งนาขั้นบันได เดินเทรคระหว่างหมู่บ้านครับ คือสำหรับผมมันดีมากๆ ชอบมาก น้องชายและพี่ๆที่ไปด้วยก็ชอบกันมาก ตอนกลางคืนเราก็เดินเล่นกัน คนน้อยมาก เหมือนอยู่ในหนังจีนสมัยก่อนเลยครับ

วิวจากทางเข้าหมู่บ้าน คนที่นี่ยังทำไร่ทำนากันเป็นกิจวัตรครับ ใครชอบวิถีดิบๆ มานั่งดูวิถีชุมชนผมว่าน่าจะต้องชอบนะครับ

ด้วยความที่มันเป็นหมู่บ้านที่คนอยู่กันจริงๆ เราจึงเห็นการตากผ้าแบบริมระเบียงกันแบบนี้เต็มไปหมดครับ

บ้านเรือนล้วนทำจากไม้ทั้งนั้นเลยครับ ทรงเก่าๆ ที่นี่บ้านเรือนจะถูกลำธารแบ่งออกเป็น สามส่วนครับ คือมีลำธารสองสายไหลผ่านตัวหมู่บ้านนั่นเอง และถือว่าเป็นหมู่บ้านชาวต้งที่ใหญ่ที่สุดด้วย โดยปกติแล้วหมู่บ้านชาวต้งหนึ่งชุมชนก็จะมีหอกลอง 1 หอ ที่นี่มีถึง 5 หอเลยครับ ตั้งชื่อตามหลักความเชื่อที่นี่

อาคารที่หลังคาเป็นชั้นๆ นั่นแหละครับหอกลอง (แต่ผมไม่เห็นกลองนะ ฮ่าๆ) ที่นี่เป็นที่ที่ชาวบ้านมานั่งจับเข่าคุยกัน ดูทีวี ปรึกษาหารือ หรือร่วมประชุมครับ สิ่งที่น่าทึ่งก็คือหอที่ว่าเป็นการก่อสร้างโดยไม่ใช่ตะปูเลยครับ และบรรดาไม้ที่ใช้ทำ ก็จะมีลวดลายและงานจิตรกรรมประดับประดาด้วยนะครับ

ตัวหมู่บ้านรายล้อมด้วยภูเขา เมื่อเราเดินเทรคไปขึ้นเขามองลงมา จะเห็นหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่โดดเด่น มันสวยมากๆครับ อากาศที่นี่ก็บริสุทธิ์จริงๆ

ผมก็ชิลๆอยู่หมู่บ้านนี้ไปเรือ่ยๆครับ ถ่ายภาพทุ่งนาบ้าง ประตูบ้าง หลังจากไปย่าติงไปใช้แต้มบุญของกายหยาบมาแล้ว ทริปหมู่บ้านนี้ก็จะเน้นไม่รีบร้อน อยู่พักร่างครับ

อาหารการกินของที่นี่จัดว่าอร่อยนะครับ แต่อาหารบางอย่าง กรุณาถามราคาให้ชัดเจนก่อน เพราะว่ามีอยู่วันหนึ่งผมกับน้องชายอยากกินแกงไก่ ก็เห็นร้านค้าเค้ามีรูปแกงไก่ด้วย ก็สั่งไป เจ้าของบอกว่า จานนี้ 198 หยวนนะ ได้ยินแล้ว อะไรนะ บอกราคาใหม่ซิ มายก้อดดด 198 หยวน แกงไกชามละเกือบพันบาท รีบยกเลิกคำสั่งเลยครับ ฮ่าๆ ไว้กลับไปกินบ้านเราดีกว่า สงสัยแกงทั้งตัว 555

หมู่บ้านแห่งนี้มีการแสดงให้ชมฟรีด้วยนะครับที่ตรงศูนย์พิพิธภัณฑ์หมู่บ้าน แต่ต้องเอาบัตรที่เราซื้อตอนนั้นมายื่นให้เค้าดูนะครับ มีแสดงทุกวันครับ ผมเข้าไปดู ก็เป็นการละเล่นของคนท้องถิ่น ดูเพลินๆไป ไม่ได้อลังการมาก แต่ก็เป็นสีสันเล็กๆน้อยๆของทริปครับ

อากาศที่นี่เย็นสบายครับ ช่วงผมไปก็ราว 13-18 องศา ไม่หนาวมากเท่าไหร่ (เมื่อเทียบกับย่าติง) บรรยากาศก็อย่างที่บอกครับ สงบๆ ไม่พลุกพล่านวุ่นวาย จากที่ผมไปผมว่าปลอดภัยเลยนะครับ ถึงแม้ถนนมันจะดูโล่งๆ แต่จริงๆก็มีคนอยู่ในบ้านครับ เค้าก็นั่งดูทีวีอะไรกันไป นักท่องเที่ยวอย่างเราๆก็เดินเล่นกันไป

ประเทศจีนมีทั้งหมด 56 ชาติพันธุ์ ส่วนใหญ่แล้วอยู่ที่กุ้ยโจวนี่แหละครับ ใครชอบเที่ยวแนวเชิงวัฒนธรรม มาที่นี่ไม่ผิดหวังเลย จริงๆแถบนี้มีแหล่งท่องเที่ยวเจ๋งๆเยอะมาก แต่ผมมาน้อยวัน เลยเลือกที่จะอยู่ในหมู่บ้านครับ ถ้าใครมีเวลาเหลือ นั่งรถไฟความเร็วสูงไปต่อที่กุ้ยหลินได้เลย แค่ชั่วโมงเดียวเองครับ

เดินเล่นกันต่อไปครับ

ที่หมู่บ้านนี้มีร้านชานมไข่มุกร้อนด้วยนะครับ ผมเองก็เพิ่งเคยลอง อร่อยดีเหมือนกัน แต่ความหวานจะสู้ไทยไม่ได้ครับ และได้รสชาติชาที่เป็นชาเยอะกว่า อากาศเย็นๆ ดื่มชานมไข่มุกไปก็ฟินไปอีกแบบ

นี่ครับ หมู่บ้าน ที่มีสายน้ำแบ่งเป็นฝั่งๆ มีทั้งหมดสามฝั่งครับ ตอนกลางคืนสวยมาก มาถ่ายภาพอาคารสะท้อนน้ำ คือดีงามไปเลย

หอกลองทรงเจดีย์​ เป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นมากๆของชนกลุ่มน้อยชาวต้ง หอกลองจะเป็นสถานที่ที่มีกลองตั้งอยู่​  (แต่ผมหาไม่เจอ ฮ่าๆ) ใช้สำหรับการพูดคุย​ การประชุม​ และการละเล่นบันเทิงของคนในท้องถิ่น​ คล้ายๆกับบ้านเราในสมัยก่อน เวลาที่ต้องการจะเรียกชาวบ้านมาประชุมก็จะตีกลองเรียกคนในท้องถิ่นมารวมตัวกัน ใน 1 พื้นที่หรือ 1 เขตก็จะมีหอกลอง 1 หอ​ อย่างหมู่บ้านนี้มีทั้งหมด 5 หอกลองก็แสดงว่าประกอบด้วย 5 เขตครับ

คนไทยมาที่นี้น้อยมากครับ . ผมถามพนักงานขาย พนักงานขายของบอกว่าแทบจะไม่ค่อยได้เห็นคนไทยนะ

ช่วงเช้าๆ ฝนตกพรำๆนิดหน่อย พอให้สดชื่นครับ

Zhaoxing Dong เป็นหมู่บ้านที่มีเสน่ห์มากสำหรับผมนะ ที่นี่เราจะได้เห็นบ้านไม้เก่าๆ แบบดั้งเดิม เห็นหอกลอง เห็นสะพาน และเห็นวิถีชีวิตชาวต้ง ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก เสียงรถราก็ไม่ค่อยได้ยิน เป็นหมู่บ้านที่เหมือนไปอยู่ในอ้อมกอดของขุนเขาเลยครับ

หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ในทางตะวันตกเฉียงใช้ของมณฑลกุ้ยโจวของจีนครับ มานี่คือมาเพื่อพักผ่อน หลีกหนีความวุ่นวาย มาสัมผัสธรรมชาติและความเป็นบ้านๆ ผมแนะนำว่าให้มาก่อนที่บรรดาของสมัยใหม่ หรือนักท่องเที่ยวจะมาบูมกว่านี้ครับ

หมู่บ้าน Zhaoxing Dong จะมีอาคารและงานก่อนสร้างที่เป็นไม้เยอะมาก กังนั้นน้ำเอย สะพานไม้เอย ก็ล้วนแต่ทำจากไม้ แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดจนเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมชั้นสูงของชาวต้งก็คือหอกลองครับ

เหมือนหลุดไปอยู่ในหนังจีนกำลังภายในเบาๆ ฮ่าๆ

Zhaoxing dong เป็นหมู่บ้านชาวต้งที่ใหญ่ที่สุดของจีน การมาเยือนหมู่บ้านนี้ให้อารมณ์เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุคบรรพบุรุษ บ้านเรือนเก่าๆ ที่เรียงรายเป็นแถวขนาบสายน้ำใสที่ไหลผ่าน บางช่วงเราจะเห็นเป็ดว่ายน้ำ บางช่วงมีชาวบ้านมานั่งล้างผัก คือน้ำที่นี่ใช้ได้จริง

สะพานไม้ที่เชื่อมสองฝั่งเข้าด้วยกัน ยามตะวันเริ่มจะลับตา บ้านเรือนก็พากันเปิดไฟนีออน สวยมากครับ

กลางวันก็ว่าสวยแล้ว กลางคืนก็สวยไม่แพ้กันเลย

คือมันคันทรี่ม้ากกกก เหมือนไปเดินในหนังจีนเก่าๆ อ่ะครับ คนขายของแบบไม่พลุกพล่าน​ บ้านเรือนเป็นไม้เก่าๆ​ เก่าจนไม่กล้าเปิดหน้าต่างเขาอ่ะ​ กลัวหลุด​ ๕๕๕

น้องชายของผมบอกว่ารู้สึกตื่นเต้นมากๆที่ได้มาเมืองแห่งนี้เพราะน้องเองก็ไม่รู้จักหมู่บ้านแห่งนี้มาก่อน ด้วยความที่หมู่บ้านนี้ยังมีความดิบอยู่เราจึงเห็นวิถี ชีวิตแบบบ้านๆของคนในท้องถิ่น​ ที่สำคัญผู้คนที่หมู่บ้านแห งนี้ก็เป็นมิตรด้วยครับ​ พวกเขาพูดภาษาชนเผ่าของตัวเองแต่ก็สามารถคุยภาษาจีนกลางได้ด้วย

Zhaoxing เป็นหมูบ้านชาว​ Dong ที่มีชื่อเสียง​ เป็นหมู่บ้านชาว Dong​ ซึ่งใหญ่ที่สุดในประเทศจีน แต่ละหมู่บ้านจะมีหอกลองอย่างน้อยหนึ่งหลังซึ่งเป็นโครงสร้างไม้ที่สร้างขึ้นโดยไม่มีตะปูและสามารถสร้างได้สูงถึง 30 เมตรเลยนะครับ​ ถือว่าเป็นงานสถาปัตยกรรม​ชั้นสูงของชาว Dong

ภายใต้หอกลองเราจะเห็นชาวบ้านมารวมตัวกันนั่งผิงไฟ​ บ้างก็มีการประชุมกัน​ หอกลองเป็นจุดนัดพบสำหรับคน ในชุมชนเวลามีเรื่องต่างๆใน ชุมชน​ ก็จะมาประชุมกันที่นี่ครับ

Zhaoxing Dong ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวในด้านทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงา สถาปัตยกรรมแปลกตา และวัฒนธรรมชาติพันธุ์ที่หลากหลายตอนนี้ยังเงียบสงบอยู่มาก

ตลาดเค้าก็จะประมาณนี้ครับ เล็กๆ ไม่หวือหวา ข้าวของที่ขายก็ง่ายๆนะครับ หมู ไก่ ผัก ปลา

เอาละครับ เดี๋ยวต่อไปผมจะพาไปเที่ยวอีกหมู่บ้านที่อยู่ติดๆกัน สวยมากอีกแล้วครับ ชื่อว่าหมู่บ้านถิงอันต้ง Tingan Dong Village ครับ


หมู่บ้านถังอันต้ง Tangan Dong village

หมู่บ้านนี้ผมรู้จักมาจากการแนะนำของพนักงานโรงแรมครับ เธอบอกว่า นี่ไปเที่ยวหมู่บ้านนี้สิ สวยนะ จะเดินเทรคไปก็ได้ หรือจะนั่งรถบัสไปก็ได้ ไป 10 หยวน กลับ 10 หยวน เราดูเวลาและการอ้อยอิ่งของเราแล้ว เราเลยเลือกที่จะเดินทางด้วยรถบัสครับ ไปกลับ 20 หยวน จริงๆถ้ามีเวลา การเดินเทรคมาอีกหมู่บ้าน คืออะไรที่น่าทำมากๆเพราะวิวมันสวยมากจริงๆครับ สวยแบบโอ้ย สวย สวย สวย

โอ้ยยยยย​ วิวหมู่บ้านข้างๆจ้า​ ชื่อว่าหมู่บ้านถิงอัน​ วิวสวยและอากาศบริสุทธิ์​มาก​ หมู่บ้านดิบกว่าหมู่บ้าน Zhaoxing Dong อีก​ คนขอบถ่ายภาพวิว​ ภาพสตรีทต้องชอบมากๆ​

บ้านเรือนตั้งตามแนวชายเขาครับ รายล้อมด้วยทุ่งนาขั้นบันได แสงแดดยามเย็นอันอบอุ่นยิ่งขับเคลื่อนให้หมู่บ้านแห่งนี้น่ามาเยือนมากขึ้นไปอีก หมู่บ้านในอ้อมกอดของหุบเขานี่มันเจ๋งจริงๆ

วิวสวยมาก ผมว่าถ้ารอดูพระอาทิตย์ตกดินแล้วแสงแดดสะท้อนผืนน้ำก็น่าจะสวยไปอีกแบบนะครับ แต่ที่นี่ก็มืดเร็ว เพราะแดดลับขอบเขาไปก่อน

หมู่บ้านนี้สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยก็คือ อากาศที่บริสุทธิ์มากๆครับ หายใจแล้วโห ดีมาก อยากอยู่นานๆเลย

แสงเป็นใจ​  เป็นเมืองที่มาถึงแล้วรู้สึกได้อย่างชัดเจนมากๆว่า​ อากาศดี​ หายใจคล่อง

หมู่บ้าน Tangan Dong Village ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเขตหลี่ปิง มณฑลกุ้ยโจว​ มีประวัติยาวนานกว่า 700 ปีกันเลยทีเดียว เป็นหมู่บ้านชนเผ่าต้งที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในมณฑลกุ้ยโจว . Tangan Dong Village มีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกร ม​ ดนตรี​ เทศกาล​ และประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นหมู่บ้านที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นตัวอย่างของมนุษย์ที่คืนสู่ธรรมชาติ

เมื่อมาเยือนที่นี่เราจะเห็นบ้านไม้เก่าตั้งอยู่บนเนินเขา​ รายล้อมด้วยทุ่งนาขั้นบันได​ เห็นผู้คนทำกิจกรรมอยู่หน้าบ้าน​ อยู่ที่หอกลอง​ เต็มไปหมดครับ

ผมชอบมากๆ

หมู่บ้าน​ Tangan ล้อมรอบด้วยภูเขาใหญ่และแม่น้ำสีเขียว มีนกกำลังร้องเพลงบนต้นไม้สูง​ ในขณะที่ปลากำลังว่ายน้ำใต้น้ำใส น้ำที่นี่ไหลจากบ่อน้ำใส​ ผู้คนสามารถดื่มน้ำจืดโดยตรงโดย การเดินผ่านถนนในชนบทนี้​ จะทำให้นักเดินทางรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในโลกนิทาน เลยครับ

เด็กน้อยน่ารัก ยิ้มโบกไม้โบกมือให้กล้อง ทรงผมเท่สุดๆไปเลยหลานเอ้ย

หมู่บ้านนี้มีที่พักด้วยนะครับ ผมว่าจริงๆก็น่าจะมาพักนะ สักคืนสองคืน

วันที่ไปนี่คือแดดเป็นใจมากๆครับ ถ่ายภาพเพลินสุดๆ

วิถีชีวิตคนที่หมู่บ้านนี้ครับ มานั่งแถวนี้ คุยกัน ร้องเพลง บลาๆ


บทส่งท้าย

และนี่แหละครับคือเรื่องราวการเดินทางสู่หมู่บ้านชาวต้งของผม หมู่บ้านที่ผมอยากจะมานานแล้วแต่เพิ่งจะมีโอกาส เมื่อมาถึงก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังเลยสักนิด ผมหลงรักเลยแหละครับ ที่นี่การเดินทางมาง่ายแล้วนะครับ นั่งรถไฟความเร็วสูงมาสะดวกมาก การเดินทางก็ไม่แย่นะ เหมาะกับคนที่อยากจะมาพักผ่อนจริงๆ ถามว่ามีอะไรให้ทำเหรอ มันก็ไม่เยอะมากครับ ส่วนใหญ่ก็เน้นพักผ่อน เดินเล่น กินอาหารพื้นเมือง และดื่มด่ำกับอากาศที่ยังบริสุทธิ์ ขุนเขา สายน้ำ ลำธาร ประมาณนี้ครับ

ประเทศจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่ผมรักมาก เพราะมีธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ อาหารอร่อย ผู้คนก็อัธยาศัยดี จากที่เคยไปมา ล้วนเจอแต่คนดีๆทั้งนั้นเลยครับ ประทับใจมาก แม้จะมีเรื่่องห้องน้ำที่เป็นตำนานหน่อย แต่ผมว่าถ้าลองเปิดใจมองผ่านๆไป สิ่งที่ได้มามันก็คุ้มค่ากว่าเยอะเลยครับ

หากใครมีโอกาสก็ขอเชิญชวนลองไปเที่ยวดูนะครับ ไปมาแล้วชอบไม่ชอบ ก็เล่าสู่กันฟังได้นะครับ ขอบคุณที่ติดตามการเดินทางของผมครับ ตอนนี้ขอไปแพ็คกระเป๋า เตรียมเดินทางไปทริปต่อไปก่อนคร้าบ สวัสดีครับ

The post แบกเป้เที่ยวจีนสู่หมู่บ้านชาวต้ง Zhaoxing Dong และ Tangan Dong appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/backpack-to-zhaoxing-dong-and-tangan-dong-village-in-guizhou-china.html/feed 0
แบกเป้ย่าติง แชงกรีล่า สวรรค์บนเส้นขอบฟ้าที่อยากให้มาเห็น https://backpackstory.com/backpack-to-yading-shangri-la-the-heaven-on-earth.html https://backpackstory.com/backpack-to-yading-shangri-la-the-heaven-on-earth.html#respond Sat, 30 Nov 2019 12:47:41 +0000 http://backpackstory.com/?p=6298 สวัสดีครับผม กลับมาอ่านบันทึกการเดินทางของผมอีกครั้งนะครับ ปีนี้เที่ยวเยอะมาก เยอะจนเขียนรีวิวไม่ทัน มีหลายทริปดองไว้ก่อน ฮ่าๆ ยังไงก็อย่าลืมกันก่อนนะครับ จะพยายามเรียบเรียงเรื่องราวการเดินทางมาฝากกันครับผม และผมขอเอาทริปนี้มาแทรกก่อน เพราะเพิ่งจะจบทริปไปหมาดๆ อบนี้ผมไป​ 3 มณฑล​ 4 เมืองหลัก​ ได้แก่ แชงกรีล่า​ ย่าติง​ ลี่เจียง และหมู่บ้านชาวต้งครับ

The post แบกเป้ย่าติง แชงกรีล่า สวรรค์บนเส้นขอบฟ้าที่อยากให้มาเห็น appeared first on Backpack Story.

]]>
สวัสดีครับผม กลับมาอ่านบันทึกการเดินทางของผมอีกครั้งนะครับ ปีนี้เที่ยวเยอะมาก เยอะจนเขียนรีวิวไม่ทัน มีหลายทริปดองไว้ก่อน ฮ่าๆ ยังไงก็อย่าลืมกันก่อนนะครับ จะพยายามเรียบเรียงเรื่องราวการเดินทางมาฝากกันครับผม และผมขอเอาทริปนี้มาแทรกก่อน เพราะเพิ่งจะจบทริปไปหมาดๆ

รอบนี้ผมไป​ 3 มณฑล​ 4 เมืองหลัก​ ได้แก่ แชงกรีล่า​ ย่าติง​ ลี่เจียง และหมู่บ้านชาวต้งครับ

ผมออกเดินทางไปกับน้องชายสองคน ​ แล้วชะตานำพาไปเจอรุ่นพี่ไป ฮันนีมูนกับอาซ้อที่แชงกรีล่า ก็เลยตะล่อมให้ไปผจญภัย​ด้วยกันที่ย่าติง​และเมืองที่เหลือ เลยกลายเป็นทริปสี่คนแบบบังเอิญ​ครับ มาดูแผนการกันก่อน เผื่อใครจะนำไปประยุกต์กับแพลนตัวเองครับ

การเดินทางระหว่างทริป

  • บินไปลงคุณหมิง
  • บินไปลงลี่เจียง
  • นั่งแทกซี่จากสนามบินลี่เจียงไปสถานีรถบัส​ ราคา​ 110 หยวน​ (คิดตามมิเตอร์)
  • นั่งรถบัสไปแชงกรีล่าเพื่อปรับสภาพร่างกาย​ 68​ หยวน
  • โรงแรมที่ผมพัก เค้ามีรถรับส่งฟรี​ เขามารับที่สถานีรถบัสแชงกรีล่าเลยครับ
  • เรียกรถเที่ยว Napa Lake ราคา​ 40​ หยวน​ คนขับเป็นคนท้องถิ่น​ นิสัยดีมากครับ​ เดี๋ยวให้คอนแทคไป​ ประทับใจไม่แพ้ลุงคนขับรถจากโรงแรมครับ
  • เรียกรถไปเที่ยวภูเขา Shika​ ราคา​ 60​ หยวน​
  • ซื้อทัวร์​ไปย่าติงจาก​ รร.​ คนละ​ 2000 หยวน​ สำหรับ​ 3 คืน​ 4 วัน​ รวมทุกอย่างยกเว้นค่าอาหารกลางวันและค่ารถบัสตอนเส้นเทรคยาว
  • นั่งรถแชร์แทกซี่​มาลี่เจียง​ คนละ​ 100 หยวน​ ส่งถึงโรงแรมในลี่เจียง
  • บินจากลี่เจียงไปกุ้ยหยาง
  • นั่งรถไฟความเร็วสูงจากสนามบินไปยังสถานี Congjiang
  • นั่งแทกซี่จากสถานีรถไฟ Congjiang​ ไป​หมู่บ้าน Zhaoxing Dong​ คันละ​ 50​ หยวน​ หมู่บ้านอยู่ไม่ไกล​ 20​ นาทีถึงครับ
  • ตอนไปหมู่บ้านถังอัน​ นั่งรถบัสไป​ ไปกลับ​ 20​ หยวน​ ครับ
  • นั่งแทกซี่จาก Zhaoxing ไปสถานีรถไฟ​ 50​หยวน​ ให้​ รร​ หารถให้ครับ
  • นั่งรถไฟกลับสถานีรถไฟคุณหมิง
  • นั่งแทกซี่จากสถานีรถไฟคุณหมิงไปสนามบิน​ 250​ หยวน​ จริงๆแนะนำว่านั่งรถไฟใต้ดินได้นะครับ​ ประหยัดกว่าเยอะมาก​ แต่ตอนนั้นขี้เกียจครับ​ 55​ อยากนั่งยาว
  • บินกลับไทย

โรงแรมที่พัก

  • แชงกรีล่าพักที่​ Home away from home. ดีมากยกเว้นห้องน้ำกระจก​ หักคะแนนจุดเดียวครับ​ นอกนั้นคือประทับใจมาก
  • ย่าติง​ คืนแรกพักใน riwa​ เป็น​ โรงแรมที่ทัวร์​เตรียมให้​ ชื่อว่า Totem boutique hotel อยู่ชั้นสามไม่มีลิฟท์
  • ย่าติง​ 2 คืนที่เหลือ​ พักในอุทยาน​ โรงแรม​ ดีมากกกก​ ลงตรงจุดจอดรถบัสหมายเลข​ 2 โรงแรม​อยู่ตรงนั้นเลยครับ​ ชื่อว่า​ Blanche Hotel
  • ลี่เจียงพักที่ Elegant home inn ดีมากเหมือนกันครับ​ อยู่นอกเขตเมืองเก่า แต่นอกเขตคือแค่ข้ามถนนเองครับ ผมว่าดีนะไม่พลุกพล่าน
  • หมู่บ้านใน Zhaoxing​ dong​ พักที่ Zhaoxing​ W​ lodge

ค่าใช้จ่ายหารต่อคน​ 14​ วัน​ รวมทุกสิ่งอย่างตั้งแต่วีซ่ายันค่ากิน​ 28,000​ บาท

ทริปนี้ผมออกเดินทางวันที่ 2-16 พฤศจิกายนะครับ เพราะว่าเป็นช่วงที่ว่างและวางแผนแล้วว่าใบไม้ยังคงเปลี่ยนสีอยู่ ประกอบกับน้องชายอยากเห็นหิมะ ก็เลยจัดทริปไปครับ และด้วยความที่ยูนนานผมไปครั้งนี้คือรอบที่เจ็ด ผมก็เลยหาโปรแกรมแทรกนอกเหนือจากย่าติง ก็คือผมอยากไปมณฑลกุ้ยโจวด้วยครับ อยากไปเยือนหมู่บ้านชาวต้งที่ใหญ่ที่สุดในจีน สำหรับแพลนการเที่ยวผมเขียนไว้ท้ายบทความนะครับ หรือคลิกที่นี่เพื่อไปอ่านแพลนการเดินทางทริปนี้ได้เลยครับ

อย่างที่บอกไปครับว่าทริปนี้ผมมายูนนานรอบที่เจ็ด แชงกรีล่าก็แบบมาแล้วมาอีก แต่สำหรับน้องชายผม การได้มาแชงเป็นรอบที่สองครับ ผมมองว่าแชงกรีล่าเป็นเหมืองที่เสน่ห์นะครับ ผมมาหลายรอบ หลายฤดูกาล มันก็สวยไปคนละแบบ รอบก่อนเจอนกหายาก ก็ตื่นเต้นแล้ว รอบนี้แชงกรีล่าก็มีใบไม้เปลี่ยนสี มีภูเขาหิมะให้เชยชม ก็ฟินเหมือนกัน

หลังจากที่บินมาถึงคุณหมิง ผมก็ใช้วิธีการนั่งเครื่องบินมาลงที่ลี่เจียง แล้วนั่งรถบัสต่อมาแชงกรีล่า ด้วยเหตุผลคืออยากจะให้ร่างกายปรับตัวตามความสูงครับ ไม่อยากประมาท ทริปเดินทางที่ต้องไปที่สูงๆผมเคยเจอคนแพ้ที่สูงมาแล้ว ขนลุกขนพองมากๆ แม้กระทั่งทริปนี้ ก็มีคนแพ้ความสูงที่ไปไม่ไหวเหมือนกัน ดังนั้น เราจึงเน้นปลอดภัยไว้ก่อนครับ

พอถึงที่แชงกรีล่า ราวบ่ายสาม ผมก็เหมารถแถวนั้นให้พาไปที่ทะเลสาบนาพาไห่ครับ คนขับรถเป็นชาวทิเบต ชื่อว่า จ้านจู๋ นิสัยดีมาก จริงๆคนท้องถิ่นนี่นิสัยดีกันหมดเลยนะครับจากที่เจอ

ทะเลสาบแห่งนี้ หลายคนที่มาก็อาจจะมองว่าไม่มีอะไร แต่ผมกลับมองว่ามันมีอะไรเยอะเลยครับ ถ้าคนที่ชอบถ่ายรูปนะ มุมถ่ายรูปสวยๆเพียบเลย อย่างคราวนี้ก็เจอหญ้าแดง จามรี ฝูงม้า

ทิวทัศน์รอบๆมีเสน่ห์มากครับ เบื้องหลังเป็นภูเขาหิมะสูงใหญ่ มีต้นสนที่กำลังเปลี่ยนสีแซมอยู่ให้เห็น ช่วงผมมาใบไม้เปลี่ยนสีร่วงไปเยอะแล้วนะครับ แต่นี่ขนาดร่วงไปเยอะก็ยังสวยอยู่เลย

ตอนที่ผมมาถึงแชงกรีล่าก็มาเจอรุ่นพี่แบบบังเอิญครับ พี่เค้ามาฮันนีมูนกัน เราก็เลยไปเที่ยวด้วยกันซะเลย นั่งรถหารกันสี่คนยิ่งสบายกระเป๋าไปอีกครับ

น้องชายผมชอบม้ามากๆ ก็ถ่ายภาพกับม้าเพลินเลยครับ ที่นี่มีบริการให้ขี่ม้าเดินเลาะๆด้วย ราคา 100 หยวนครับ น้องชายผมก็ใช้บริการแค่สิบนาทีเอง เพราะต้องการแค่ขี่เพื่อถ่ายรูป คนจูงม้าถึงกับงง แล้วถามเพื่อให้แน่ใจว่า พวกคุณจะไม่ขี่ต่อจริงๆหรือ?

ทริปนี้เป็นทริปที่ผมมาเพื่อน้องชาย หน้าที่พี่อย่างเราก็คือคอยถ่ายภาพเก็บความทรงจำให้น้องครับ มีภาพตัวเองตลอดทริปไม่ถึงร้อยรูป ส่วนภาพน้องชายหรือครับ เป็นพันรูปจ้า ฮ่าๆๆ เอาให้อัพเฟสได้ยันลูกบวช

พี่ทั้งสองท่านที่ได้ร่วมทริปกันจนจบทริปครับ ขอบคุณอีกครั้งที่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าการเดินทางครั้งนี้ครับ ตอนนั้นพี่ชายบอกว่า เดี๋ยวสนเจอแฟนพี่ จะต้องถูกชะตากันมาก เพราะนิสัยชอบเที่ยวรอบโลกเหมือนกัน แล้วก็จริงดั่งว่าครับ พวกเราเป็นเพื่อนร่วมทางที่เข้ากันได้ดีมาก ฮากันตลอดทริป วันนี้เราก็มาเที่ยวแค่ตรงทะเลสาบครับ เป็นทะเลสาบที่ไม่มีน้ำ ฮ่าๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวภูเขา Shika Snow Mountain ครับ วิวสวยมากเลย


Shika Snow Mountain

วันต่อมา พวกเราก็นัดหมายคนขับรถของเราเมื่อวานนี้ว่า เราจะไปเที่ยวที่ภูเขา Shika เค้าคิดเท่าไหร่ เค้าก็บอกว่าคิด 60 หยวนนะ ไปรับไปส่ง เดี๋ยวไปถึงแล้วก็เที่ยวเสร็จก็ค่อยส่ง WeChat บอกเค้าละกันเค้าจะกลับไปรับ พวกผมก็โอเค ออกเดินทางกันช่วงบ่ายครับ ทริปนี้เราไม่ได้เร่งรีบ เน้นชิลๆ พักผ่อนชีวิต เก็บแรงไว้ไปย่าติง

ต้องบอกเลยครับว่า วิวช่วงที่ผมมานั้น สวยมากกกก คือใบไม้เปลี่ยนสีด้วย ร่วงไปแล้วด้วย รวมๆแล้วคือสวยมาก ตลอดทางที่ขึ้นไปยังภูเขา คือวิวเรียกเสียงฮือฮาสุดๆ มันเหมือนเราไปยุโรปด้วยซ้ำ วิวยุโรปในราคาสบายกระเป๋า อาซ้อร้องว่า โห ไม่นึกมาก่อนว่าจีนจะวิวสวยขนาดนี้

ภูเขานี้ เราจะต้องนั่ง Cable Car ขึ้นไปครับ และมันสูงมาก เราต้องเตรียม Oxygen กระป๋องไปด้วยนะครับ พวกผมไปซื้อที่อุทยาน ราคาโหดมาก 68 หยวนแหนะครับ ซื้อที่เมืองเก่า ราคาถูกกว่ากันครึ่งนึงเลย วันนั้นดันลืมซื้อติดตัว อยากเขกกะโหลกตัวเองมากๆ

เมื่อขึ้นกระเช้า เราจะได้ลงตรงจุดแรกก่อน ตรงนี้ก็สวยมากก หิมะไม่เยอะ แต่วิวของใบไม้เอย ต้นไม้เอย ดอกไม้ป่าเอย คืออลังการสุดๆ พวกเราใช้เวลาอยู่ที่นานเกินไป จนเจ้าหน้าที่มาเตือนว่า รีบขึ้นไปข้างบนเดี๋ยวเค้าจะปิดก่อน เพราะกลัวลมจะแรง

ดูสิครับ วิวแบบนี้เลยครับทุกคนนน มันดีต่อใจเสียเหลือเกิน ต้นสนภูเขาพากันเปลี่ยนสี ถ้าใครมาช่วงปลายตุลาคม น่าจะอร่ามมลั่งเมลื่องมากกว่านี้แน่นอนครับ ขนาด พย. ยังขนาดนี้ เพื่อนผมที่แชงกรีล่าบอกว่านี่คือมันเริ่มโรยแล้วด้วย

ต้นไม้ที่เรียงตัวกัน สีสันหลากหลาย เป็นดั่งภาพวาดที่ธรรมชาติบรรเลงลงบนผืนผ้าใบต่อหน้าต่อตาเรา

เที่ยวจุดแรกกันแล้ว ก็พากันนั่งกระเช้าต่อขึ้นไปยังยอดเขาครับ วิวระหว่างนั้นก็งดงามดั่งภาพเลยครับ สีส้มๆเหลืองๆ อร่ามตา หยิบกล้องมาเก็บภาพกันรัวๆ

ยิ่งใกล้ถึงยอดเขา วิวก็จะเปลี่ยนไปเป็นหิมะตัดกับทิวเขาครับ พวกเราสามคนได้แต่ร้อง ว้าวๆ หันไปรอบทิศ เพราะมันสวยจนไม่รู้จะโฟกัสตรงไหน ข้างหน้าก็กรีส ข้างหลังก็อลังการ ซ้ายก็สวยเวอร์ ขวาก็สุดบรรยาย เลยพากันหมุนไปหมุนมา ขนาดผมมาหลายรอบแล้วนะครับ ก็ยั่งตื่นเต้นประหนึ่งมาครั้งแรก ฮ่าๆ

ทริปนี้ผมถ่ายภาพเยอะมาก นั่งคัดรูปก็เหนือ่ยเหมือนกันครับ สรุป สุ่มเอาว่าจะเอาภาพไหนมาเล่าแทน ฮ่าๆ

ด้านบนภูเขาหิมะเยอะนะครับ อาจจะไม่เยอะเหมือนตอนเดือนมีนาคมที่ผมไปมา แต่บางพื้นที่หิมะก็สูงได้เรื่องเลย ถ่ายภาพได้หลายจุดครับ น้องชายผมผู้ชื่นชอบหิมะก็ตื่นเต้นดีใจ วิ่งไปเป็นนายแบบทันที รอบนี้ผมเตรียมตัวมาดี ไม่ลืมเหมือนรอบก่อน เลยทนหนาวได้สบายครับ

หิมะสูงและหนามาก น้องชายก็ไปขอคลุกคลีเอาให้สมใจอยาก เพราะบ้านเราไม่มี จัดไปเลยน้องรัก เดี๋ยวพี่ถ่ายภาพให้

โดยส่วนตัว ผมไม่ชอบความหนาวนะครับ มันทรมาน ผิวแห้ง ปากแตก แต่ก็เหมือนดวงชะตาจะผูกพันกับความหนาวครับ ทริปจีนส่วนใหญ่เจอแต่อากาศหนาว วันที่เราไปเขานี้ คนน้อยมาก เหมือนเราเหมาภูเขาไว้แค่พวกเราสี่คน ถ่ายมุมไหนก็เพลินครับ (จริงๆอาจจะเป็นเพราะไปเย็นแล้วก็ได้ คนกลับหมด ฮ่าๆ)

จำโมเมนต์ตอนน้องเจอหิมะครั้งแรกได้เลยครับ ตอนนั้นหิมะตกโปรยปราย น้องชายผมรีบถามว่า พี่สน นี่คือหิมะใช่ไหม ผมบอกว่าใช่แล้ว น้องรีบบอก พี่ถ่ายรูปผมให้หน่อย ถ่ายให้ติดหิมะนะ ผมก็แบบ จะถ่ายไงวะ หิมะตกเท่าฉี่มด

วิวมันสวยจนไม่รู้จะเล่ายังไงครับ ภูเขาเยอะมาก มันรายล้อมเมืองทั้งเมืองเลยครับ ครั้งนี้เราสี่คนไม่มีใครแพ้ที่สูงด้วย ยิ่งสบาย เดินกันตัวปลิว

ภูเขานี่ยิ่งใหญ่มากครับ ทางเดินก็ยาวมาก เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มาแชงกรีล่าแล้วผมว่าไม่ควรพลาดครับ มันสวยจริงๆ สวย สวย สวยยย

เที่ยวกันด้านบนเขาจนอิ่มแล้ว เราก็นั่งกระเช้าลงมาข้างล่างครับ วิวระหว่างทางก็สวยอีกแล้ว ฮ่าๆ

เรียกได้ว่า มากี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อครับ ปีหน้ารถไฟความเร็วสูงจะเสร็จตอนปลายปีด้วยนะครับ วิ่งมาถึงแชงกรีล่าเลย ใครที่บินลงคุณหมิงแล้วอยากจะปรับสภาพร่างกาย หรือนั่งรถไฟความเร็วสูงเที่ยวเมืองต้าหลี่ ลี่เจียง แชงกรีล่า ก็สามารถทำได้สบายเลย

วันนี้พวกเรามีความสุขกันมากครับ ถ่ายภาพกันเพลิน การได้ออกเดินทางท่องเที่ยวดูโลกกว้างนี่ทำให้ได้ชาร์จพลังชีวิตมากเลยครับ บรรยากาศของภูเขา Shika เพิ่มเติมไว้ไปติดตามในแฟนเพจผม Buksohn ได้นะครับ เอาลงในบล็อกเยอะเดี๋ยวมันยาวมาก เพราะยังมีต่ออีก ฮ่าๆ


Go to “Daocheng Yading”

คืนวันนั้น เราสี่คนคุยกันว่าจะเดินทางไปย่าติงอย่างไรดี มีสองทางคือ หนึ่ง เช่ารถไปกลับอย่างเดียว เค้าคิด 2,800 หยวน สำหรับเส้นทางเก่าไปกลับเส้นเดียวกัน และ 3,000 หยวนสำหรับเส้นทางใหม่วิ่งเป็นวงกลม ไปกลับคนละเส้นทาง กับอย่างที่สองคือซื้อทัวร์จากโรงแรมไปเลย คนละ 2,000 หยวน เค้าจัดการให้เสร็จสรรพ รถรับส่ง อาหารเช้า เย็น ค่าตั๋ว ที่พัก ออกซิเจน

ผมนั่งคิดๆดูแล้ว ก็มองว่าราคาทัวร์แพงกว่านิดหน่อย ถือว่าซื้อความสบายละกัน ก็เลยเลือกซื้อทัวร์กับโรงแรมครับ ซึ่งทัวร์นั้นก็มีแค่พวกเรานี่แหละครับ

เราออกเดินทางกันแต่เช้า วันนี้คนขับรถเป็นคุณลุงชื่อว่า หวู่ เกอ (Wu Ge) เป็นพี่ชายของเจ้าของโรงแรมครับ ผมเคยให้คุณลุงพาเที่ยวแชงตอนรอบก่อน ครั้งนี้เจอกัน ก็ทักทายกันอย่างสนิทสนม ลุงบอกว่า พวกเอ็งหนะ ชอบถ่ายรูป วิวระหว่างทางสวยมาก รับรองถ่ายรูปเยอะแน่ๆ

และก็จริงดั่งลุงบอกครับ มันสวยเหลือเกินพ่อจ๋าแม่จ๋า แค่ทางไปยังอลังการขนาดนี้แล้ว เราจอดถ่ายรูปกันถี่มาก เจอตรงไหนสวยก็บอกคุณลุงว่า ลุง จอดๆ จนลุงไม่ต้องรอให้บอก ตรงไหนลุงคิดว่าสวย ลุงจอดให้เองเลยครับ ฮ่าๆ รักลุง

เส้นทางไปย่าติงตัวนี้ เป็นเส้นทางเปิดใหม่นะครับ ถนนเลยอาจจะไม่ดีมาก แต่วิวกินขาด ให้อภัยครับ ใครมาปีหน้า ผมว่าเขาคงทำเสร็จแล้ว เพราะจีนพัฒนาเร็วจนกว่ากลัว

ความสุขไม่ได้อยู่แค่จุดหมายปลายทาง มันอยู่ระหว่างทางด้วย คำพูดนี้เป็นจริงเสมอสำหรับผม

คือริวระหว่างทางมันสวย สวยจนคุณลุงเองก็ตื่นเต้นไปกับพวกเราครับ ลุงเองก็มาบอกพวกผมว่า ถ่ายรูปให้ลุงด้วย เดี๋ยวจะได้ส่งให้ภรรยาดู  เอาจริงๆ ตอนหลังคือลุงมาเป็นนายแบบเยอะเลยครับ ถือว่าดีนะครับ สนุกทั้งคนไปเที่ยว ทั้งคนท้องถิ่น

ตรงจุดนี้พวกเราก็ถ่ายภาพกันยกใหญ่ครับ ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีและยังไม่ร่วงด้วย ถือว่าเป็นจุดแรกที่สีสันหลากหลาย เพราะที่ผ่านมา ในแชงกรีล่าส่วนมากจะเป็นต้นไม้ใบสีเหลืองเสียหมด ตรงนี้มีทั้งแดง เหลือง ส้ม เขียว ยิ่งมีสายน้ำแบบนี้ เราก็เบิกบานกันถ้วนหน้าครับ

ตอนที่พวกผมไปนั้น ถนนเส้นนี้คนไม่พลุกพล่านเลยครับ นานๆจะเห็นรถสวนมาที เราก็ถ่ายภาพกันสบายใจเฉิบ

จากนั้นคุณลุงก็พาเราแวะหมู่บ้านชาวทิเบตครับ ตอนนั้นผมก็งงๆ คุณลุงจะไปไหน ลุงบอกว่า เดี๋ยวพาไปสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ของคนในหมู่บ้านนี้ มาๆ มาดูเร็ว ไม่เคยพาใครมานะเนี่ย แล้วแกก็เดินดุ่ยๆ ขึ้นเขานำหน้าพวกเราไป

เดินขึ้นเขารายทางก็จะมีธงมนต์เต็มไปหมดครับ ตามสไตล์ชาวบ้านที่นับถือพุทธนิกายแถบนี้ แล้วเราก็มาถึงครับ สระน้ำที่ว่า เป็นสระที่ไม่ใหญ่มากครับ คุณลุงใช้คำว่า Hai แปลว่าทะเลสาบ จริง ๆแล้วมันห่างจากคำว่าทะเลหลายเติบครับ ฮ่าๆ

ยิ่งเข้าใกล้ย่าติงมาเท่าไหร่ วิวก็ยิ่งอลังการมากขึ้นเรื่อยๆ เราได้แต่จอดลงถ่ายรูปถี่มาก คนอื่นใช้เวลาหกชั่วโมง เราใช้สิบชั่วโมงครับ โชคดีที่คุณลุงแกก็เพลินด้วย เลยไปด้วยกันได้

ภูเขาเบื้องหน้า เราคุยกันว่า มันเหมือนเรามาเที่ยวประเทศแถบยุโรปเลยเนาะ ดูสิ ภูเขาเหมือนใกล้แค่เอื้อมมือ

ลุงบอกว่า ยังมีจุดแวะถ่ายรูปอีกนะ ไปกันเร๊ววววว พอถึงแล้ว ลุงก็วิ่งไปคนแรก พร้อมชี้มาที่ตัวเอง ส่งสัญญาณว่า ถ่ายรูปให้ลุงสิ ฮ่าๆ

เราเห็นฝูงจามรีบนเขาด้วยครับ แน่นอนผมก็บอกลุงว่า “จอดดดด” ลุงก็หัวเราะ อ้าว จอดก็จอด

เป็นการเดินทาง 10 ชั่วโมงที่เพลินมากครับ วิวข้างทางสวยโฮก สมคำร่ำลือ นี่ขนาดข้างทางยังขนาดนี้ แล้วข้างในอุทยานจะเป็นยังไงนะ ผมชักตื่นเต้นแล้วสิ วันนี้เรานอนค้างที่โรงแรม The totem Boutique ที่ทางทัวร์จัดหาให้ อยู่ในหมู่บ้าน Riwa ครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะไปเจอกันแล้วนะ “ย่าติง” จ๋า


“มาแล้วนะ YADING”

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ผมก็เก็บข้าวของมารอทานข้าวเช้าที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ คุณลุงเองก็มารอรับเรา และก็รอทานข้าวเหมือนกัน แต่นั่งคนละโต๊ะ เมื่อพนักงานเอาอาหารมาเสิร์ฟ เราตักอาหารใส่ถ้วยแบ่งกัน ระหว่างนั้น คุณลุงเดินมาหาที่โต๊ะผม แล้วบอกผมว่า

“เอาถ้วยเอ็งมานี่ซิ”

ผมยื่นถ้วยให้ แกรีบแบ่งอาหารของแกให้ผม

ทุกคนหัวเราะ แซวว่า เธอนี่ลูกรักลุงจริงๆ มาสี่คนลุงแบ่งข้าวให้แค่คนเดียว คืออะไรกัน

จากนั้นเราก็ทานข้าวกัน จนอิ่ม  ลุงเดินมาที่โต๊ะผม แล้วชี้ที่ผมบอกว่า

“ทำไมยังดูเหมือนกินไม่อิ่ม ดูเหมือนคนยังหิวอยู่เลย”

แค่นั้นแหละครับ ทั้งวงฮาก้ากกกกกก

ผมไม่ได้หิว  ผมแค่ผอมมมม โอ้ยนอคุณลุ๊งงงงงงง

เสร็จแล้วเราก็นั่งรถลุงไปยังจุดซื้อตั๋วเข้าอุทยาน ประมาณ 20 นาทีครับ ตรงนี้ก็จะเป็นทางเข้าไปข้างในแล้ว เราจะพักโรงแรมในอุทยานกันครับ ลุงบอกว่า นั่งรถบัสเข้าอุทยานไปแล้ว ลงที่จุดจอดรถหมายเลข 2 นะ โรงแรมอยู่ตรงนั้นแหละ อย่าลืมนะ ผมก็ตอบว่า ครับๆ ไม่ลืมๆ ลุงแกมองหน้า สักพัก แกก็ลากกระเป๋าเราเข้าไปในอุทยานตรงจุดรอขึ้นรถบัสเข้าไปภายใน แล้วแกก็ขึ้นรถบัสมาด้วย

“กลัวพวกเอ็งจะไปไม่ถูก เดี๋ยวลุงไปส่ง ลุงเข้าได้ฟรี” ผมก็แบบโห คุณลุง ใจดีมาก

ระหว่างนั่งรถเราต้องคาดเข็มขัดด้วยนะครับ เพราะถนนหนทางมันคดเคี้ยวเลี้ยวลดมาก โยกไปโยกมา มีผู้โดยสารจีนคนนึงถลาลงไปองที่ประตูรถบัสครับ! ดีนะที่รถบ้านเค้ามันระบบดี ทุกคนก็ฮือฮา เกิดอะไรขึ้น ลุงหันมามองเห็นคนไปกองกับพื้นรถ แกก็รีบหยิบเข็มขัดมาคาดพุง ผมก็เลยแซวแกไป ฮ่าๆ

วิวข้างในคือสวยวัวตายความล้มลมจับเลยครับ สวยแบบไม่รู้จะพรรณายังไง อย่างกะสวิสเซอร์แลนด์ (ไม่เคยไปหรอกนะครับ แต่เห็นวิวก็คล้ายๆกัน ฮ่าๆ) ยิ่งพอมาถึงโรงแรมที่พัก โอ้โห แค่วิวที่พักก็วยขาดใจแล้วจ้า พี่ที่ไปด้วยบอกว่า “สน อยากอยู่สักอาทิตย์”

ตอนนั้นเราวางแผนกันว่าจะไปเดินเส้นเทรคระยะสั้นก่อน ตอนแรกลุงบอกว่าไประยะยาวก่อนสิ ระหว่างยังมีแรง แต่พอถึงหน้างาน เราเลือกไประยะสั้น ดีกว่าครับ ปรับสภาพ ฮ่าๆ ลุงก็บอกว่า เออ ดี ลุงไปด้วย ฮ่าๆ สรุปลุงไปเป็นเพื่อนด้วย ไปเป็นนายแบบครับ ฮ่าๆ

เอาละครับ จากนั้นเราก็ขึ้นรถบัสไปยังจุดเริ่มเดินเทรคเลย เราเลือกเดินเทรคเส้นสั้นก่อนครับ โดยในเทรคระยะสั้น เค้าจะมีทางเดินให้เราเดินประหนึ่งปูพรม เราแค่เอาชีวิตไปให้ถึงก็พอครับ มีทริคมาฝากหน่อย ตอนเดินถึงตัววัด Chongu แนะนำว่าให้เลือกเดินเส้นที่เขาทำทางเดินมีราวแล้วนะคับ อย่าไปเดินขึ้นตรงทางที่เป็นบันไดๆไม้ๆ  (มันมีสองฝั่ง) ฝั่งที่บันไดไม้ๆบ้านๆ กินพลังชีวิตมาก

วิวระหว่างทางคือที่สุดมากครับ ภูเขายิ่งใหญ่มาก ต้นสนก็เรียงตัวสวย

วัดชงกู่​ (Chonggu Monastery) เป็นวัดเก่าแก่สร้างตั้งแต่สมัยราชวงศ์​หยวน​ อายุกว่า​ 700​ปี​ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานย่าติง.

คำว่าชงกู่มีความหมายว่า “อารามที่ถูกสร้างขึ้น

ตามตำนานมีการเล่าว่าอารามนี้ถูกสร้างขึ้นภายใต้การกำกับดูแลของท่านอาจารย์เกิงเย็งกัตโซ ซึ่งตอนนั้นเมื่อทราบว่าในเขต​ Rigsum Gonpo, Ngawang Lobsang Gyatso ยังไม่มีวัดวาอาราม​ องค์​ดาไลลามะที่ห้าก็ส่งอาจารย์ Gengyengatso มาควบคุมการก่อสร้างอารามแห่งนี้

แต่โชคร้ายที่งานก่อสร้างนี้กระทบต่อวิญญาณของหุบเขาแถวนี้​ ทำให้ชาวบ้านเป็นโรคเรื้อนกันถ้วนหน้า อาจารย์เกิงเย็งกัตโซจึงสวดมนต์ทั้งกลางวันและกลางคืนจนในที่สุดชาวบ้านก็ฟื้นจากโรคนั้น

อย่างไรก็ตามอาจารย์ตัวเองเสียชีวิตจากโรคเรื้อนครับ

เพื่อเป็นการรำลึกถึงอาจารย์​ ชาวบ้านก็เลยฝังร่างท่านไว้ในทุ่งหญ้าและวางหิน Marnyi (หินทิเบตที่มีการจารึกมนตราภาษาสันสกฤต​ Om mani padme hum)​ ไว้เพื่อสวดมนต์รำลึกถึง

ทุกวันนี้เสียงสวดมนต์ของลามะทั้งหลายที่สวดเพื่ออาจารย์ยังคงสะท้อนอยู่ในหมู่บ้านทุกวัน

อารามแห่งนี้เป็นเสมือนประตูสู่สรวงสวรรค์​คอยปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของ Shambhala

เมื่อเราเข้าไปในเขตเริ่มต้น​เทรคเราจะเห็นวัดเด่นมากครับ

วัดตั้งอยู่เป็นเหมือนจุดต้อนรับนักแสวงบุญให้มีจิตศรัทธา สามารถฝ่าฝันความหนาวเหน็บและความสูงเพื่อประกอบภารกิจเดินเทรคให้สำเร็จ ผมว่าอย่างกะภาพวาดเลยครับ

นี่นะครับ ทางเดินสำหรับ Trek สั้น ต้องเป็นทางแบบนี้ จะเดินขึ้นได้ง่ายกว่าครับ ถ้าทางเดินหลังผ่านวัดไปแล้ว เป็นทางเดินธรรมชาติ แสดงว่าคุณกำลังเอาชีวิตไปเหนื่อยล้าครับ อันนั้นไว้เดินลงจะดีกว่า เพราะมันกินแรงมากๆ เดินตรงนี้ชิลกว่าเยอะครับผม

เปรียบเทยบให้ดูนะครับ ถ้าตอนเดินขึ้น ผ่านวัดแล้วแวะมาตรงนี้ ทางเดินบันไดไม่ได้ปูพรมสวยๆ ให้หนีไป เอาไว้ขากลับลงมาค่อยเดินทางนี้ดีกว่าครับ ประหยัดแรง ตอนไปผมเจอสองสาวชาวไทย เดินไปหอบไป ผมก็บอกว่า เดินขึ้นทางนี้กินแรงมากครับ เพราะมันยาวมาก แนะนำให้เดินอีกฝั่งดีกว่า พอไปอีกฝั่ง สองสาวก็บอกเหมือนกันว่า เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ตอนแรกถอดใจไม่อยากไปต่อแล้ว ทางนั้นมันทรมานขามาก

เอาจริงๆ มันก็เหมือนได้เดินขึ้นสวรรค์แบบในหนังนั่นแหละครับ ของจริงมันสวยแบบสุดลูกหูลูกตา เหมือนได้มาอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งเลย ตอนเดินเส้นทางนี้ก็ไม่ได้เหนือ่ยมากนะครับ ชิลได้อยู่

พวกเราสองคนพี่น้องก็เดินไปเรื่อยๆครับ ไม่รีบร้อนมาก ส่วนพี่ๆสองคนนั้น บอกว่าไปก่อนเลย พี่หายใจไม่ทัน ไม่ต้องรอ แต่ทุกคนก็ไปถึงจุดหมายปลายทางสำหรับเทรคสั้นนะครับ เรานัดเจอกันตอนขากลับมารอรถเข้าโรงแรมแทน

ภูเขาที่เรามองเห็น สำหรับชาวทิเบตที่นี่ก็ล้วนมองว่าคือภูเขาศักดิ์สิทธิ์นะครับ เขาตั้งชื่อตามชื่อพระโพธิสัตว์ด้วย สมัยก่อนชาวบ้านก็จะมาเดินจาริกแสวงบุญ ดังนั้นระหว่างทางเราก็จะเห็นมีธงมนต์ประดับอยู่ด้วย

กินลมชมวิวแบบนี้ให้อิ่มไปเลยครับ

ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ วิวก็สวยขึ้นเรื่อยๆครับ ลำธารเล็กๆไหลผ่านหน้าเรา บางจุดน้ำก็จับตัวเป็นน้ำแข็งไปแล้ว น้องชายผมก็ตื่นเต้น ไม่เคยเห็นน้ำที่เป็นน้ำแข็งแบบนี้มาก่อนในชีวิต

ตรงนี้เป็นอีกจุดที่เอาไว้ถ่ายรูปครับ แต่คิดว่าเมื่อก่อนคงมีน้ำมั้ง เพราะตอนนี้มันดูเหมือนแห้งๆ คุณลุงถามว่า เธอว่าสวยไหม? ผมก็บอกว่า สวยสิคุณลุง บ้านผมไม่มีแบบนี้ ลุงส่ายหน้า แล้วบอกว่า นี่ไม่สวยร็อก ก่อนหน้านี้สวยกว่าเยอะ เดือนที่แล้ว ต้นไม้เต็มไปหมด ตอนนี้มันแห้งแล้ว ลุงว่าไม่สวย  อ้าว ลุง ฮ่าๆ ก็ลุงอยู่ที่นี่ตลอดเนาะ เราคนมาไกลไม่เคยเห็นก็ต้องสวย . ผมแซวคุณลุงไปว่า งั้นผมไปบอกคนไทยว่าไม่ต้องมาหรอกเดือนนี้ เพราะมันไม่สวย ลุงรีบบอกว่า แหม่ มาได้ สำหรับคนไทยมันก็สวยอยู่แล้ว ฮ่าๆ

มาถึงทะเลสาบแล้วครับ  วู้ววว

ทะเลสาบไข่มุกครับ Pearl Lake น้ำสีเขียวๆสวยๆ  ด้านหลังคือยอดเขาเซียนหน่ายยื่อ (พระโพธิสัตว์แห่งความกรุณา) ครับ

ตอนที่เดินทางไป วางแผนไม่ดีครับ ลืมซื้อของกินไปด้วย หิวมาก แล้วข้างในไม่มีของกินขายจ้า ตอนแรกว่าจะรอชมพระอาทิตย์ตก แต่หิวมาก เลยขอเดินกลับดีกว่าครับ ไปถึงจุดสุดท้ายแล้วก็เดินวนกลับมา ก็จะเห็นสายธารน้ำแข็งแบบนี้

เจอหญ้าแปลกตาแบบนี้ ไม่รีรอที่จะเข้าไปเก็บภาพครับ การเดินทางนี้ภาพแสงแฟลร์เยอะหน่อยนะครับ ไม่ได้พก Hood ไป พออายุเยอะ ขี้เกียจพกหลาย item ครับ อยากตัวเบาๆเดินง่ายๆ กล้องไม่หนักคอ อารมณ์เลนส์ตัวเดียว เที่ยวทั่วโลก

ไปจีนแต่ละครั้ง ก็อิจฉาคนจีนนะครับ เขามีวิวสวยๆ ธรรมชาติยังสมบูรณ์อยู่มาก อยู่บ้านเรา นี่หาต้นไม้ค่อนข้างยาก อากาศก็ร้อนเหลือเกิน อยากจะสัมผัสความหนาวที ต้องบินข้ามประเทศเลยทีเดียว

ขากลับเราเดินอีกเส้นนะครับ ก็คือตรงที่เป็นบันไดไม่ได้ปูพรมนั่นแหละครับ เดินลงง่ายกว่าเดินขึ้น ระหว่างนั้นก็ถ่ายภาพแชะๆไปด้วย

ช่วงที่ผมมานั้นเป็นช่วงที่ฟ้าเปิดมาก เปิดแบบจริงจังสุดๆ อากาศดีมาก ประทับใจ

ขุนเขาที่ย่าติง  ช่วงนี้คนไทยมาย่าติงเยอะมากครับ

จากนั้นเราก็เดินทางกลับไปยังที่พัก ไปหาอาหารทานกันครับ จริงๆโรงแรมบริการอาหารเย็นด้วยครับ เพราะอยู่ในโปรแกรมทัวร์ แต่พวกเราหิวมาก เลยหาอะไรกินก่อน ก็ติดโรงแรมมีร้านค้า อาหารถูกมากจ้า ทุกอย่างขายราคาแทบจะไม่ต่างจากร้านข้างนอกเลย ผมก็จัดการซื้อบะหมี่จีนมาทานครับ ไม่รู้เพราะหิวมากหรืออย่างไร รู้สึกมื้อนั้นมันอร่อยเหลือเกิน


เส้นทาง Trek ยาว วิวสวยกว่าทะเลสาบ

วันต่อมา เราก็ไปยังเส้นทางเทรคยาวครับ นั่งรถบัสมาลงตรงจุดเริ่มต้นเดินทาง แล้วก็เดินไปยังจุดซื้อตั๋วรถไปเส้นยาวครับ ตรงนี้เราจะเดินไปก็ได้ แต่มันไกลมาก ราว 7 กิโลเมตร ผมว่าประหยัดเวลาดีกว่า ซื้อตั๋วไปกลับคนละ 80 หยวนครับ ซึ่งเราก็จะนั่งรถบัสเข้าไปอีก วิวระหว่างทาง สวยกว่าเมื่อวานอีกจ้า

เมื่อตอนเช้าไปยืนดูชาวบ้านล้มวัวด้วยครับ เลยเก็บภาพวิถีชีวิตมาหน่อย

วิธีการฆ่าวัวจามรีของเค้าก็คือ จะโยนบ่วงเชื่อกไปคล้องคอวัวแล้วทุกคนก็จะวิ่งมาช่วยกันดึงๆ เพื่อให้วัวหยุดนิ่ง จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการสังหารวัวครับ

มาต่อที่การเดินทางไปยังเส้นยาวกันดีกว่าครับ รถก็จะพาเรามายังทุ่งหญ้าลั่วหรงครับ ตรงนี้จะเป็นจุดขึ้นรถกลับไปยังที่เริ่มต้นเที่ยวเมื่อวานด้วยนะครับ รถหมด 18:00 น. ดังนั้นวางแผนกันดีๆนะ

วิวที่นี่เรียกเสียงฮือฮาให้พวกเราเป็นอย่างมากครับ เพราะมีทั้งทุ่งหญ้า ป่า เขา ลำธาร สัตว์ป่า มันครบองค์ประกอบมากๆ

อันนี้เป็นม้าของชาวบ้านที่นี่ครับ ยืนเล็มหญ้ากันอยู่ อ้อ ใครที่ไม่อยากเดินเยอะ อยากประหยัดแรงไว้ ก็มีม้าบริการนะครับ ผมได้ยินเค้าบอกว่า คนละ 300 หยวนครับ จะนั่งไปได้ 3 กิโลเมตร ส่วนที่เหลืออีก 2 กิโลเมตร ต้องเดินเองจ้า

พวกเราพร้อมจะเดินทางกันแล้วครับ ตื่นเต้นๆ

จะเห็นว่ามีคนใช้บริการม้าก็เยอะเหมือนกันนะครับ ครั้งนี้ ผมไปถึงที่หมายครบคนเดียว น้องชายผมไปถึงแค่ทะเลสาบน้ำนม ส่วนพี่อีกสองคน ไปถึงแค่ สามกิโลเมตร ไปต่อไม่ไหว พี่สองคนคุยกันว่า รู้งี้น่าจะนั่งม้าประหยัดแรงดีกว่า อย่างน้อยก็มาแล้ว

ด้วยความที่การเดินวันนี้ระยะทางจะไกลมาก ไปกลับก็สิบกิโลเมตรแล้ว ต้องวางแผนดีๆ ระหว่างทางก็จะเห็นน้ำตกเป็นน้ำแข็งด้วยครับ แสดงว่ามันหนาวมากๆ แต่ผมใส่ชุดกันหนาวและเสื้อข้างในไปหลายชั้นเลยไม่รู้สึกหนาวอะไร

น้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งครับ สวยงามแปลกตา ผมเลยถ่ายภาพมาฝาก

ที่นี่ วิวระหว่างทางสวยมากกกกก ภูเขาก็ใหญ่มาก เราเหมือนเดินเข้าใกล้ภูเขาตลอดเลย ลองดูคนสิครับ เล็กนิดเดียว แต่เล็กแบบนี้ก็ตัวการทำลายธรรมชาติเลยนะครับ ฮ่าๆ

อันนี้ไม่รู้ว่านกหรือว่าไก่นะครับ แปลกตาดี เห็นแล้วอยากกินแกงไก่ จิตใจอกุศลจริงๆ ฮ่าๆ

ผมโชคดีมากที่ไม่มีอาการแพ้ที่สูงครับ ยกเว้นเหนื่อยเพราะเดินขึ้นเขา สามกิโลเมตรแรก ไม่เท่าไหร่ครับ แต่พอสองกิโลเมตรสุดท้าย ได้แต่อุทานในใจว่า “ว้ออออออออททททททท!!” ต้องเดินปีนขึ้นแบบนี้เหรอ เป็นสองกิโลเมตรแบบชันขึ้น จะบ้าตาย

ทุ่งหญ้าลั่วหรง เวลานี้ก็เป็นสีออกส้มๆน้ำตาลๆ ครับ ใครมาช่วงหน้าฝนก็น่าจะเป็นสีเขียวขจีสดใส

ขุนเขาอยู่ข้างหน้า ผมก็เดินชิลไปเรือ่ยๆครับ ยังมองไม่เห็นจุดหมายปลายทาง ตอนนี้ผมเดินคนเดียวแล้วครับ น้องชายถ่ายรูปเยอะ เลยนัดกันว่าค่อยเจอกันตอนตรงจุดขึ้นรถ

ระหว่างทาง เดินผ่านทะเลสาบด้วยครับ จำชื่อไม่ได้แล้ว ฮ่าๆ น้ำเริ่มเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว

ดูทีท่าว่ายังไม่ถึงง่ายๆครับ ระหว่างทางก็เจอนักท่องเที่ยวจีนเดินไปหยุดไป เพราะหอบ บ้างก็หยิบออกซิเจนมาสูด เราเจอหน้าก็ส่งยิ้าให้กำลังใจกันไป

มีอยู่จุดหนึ่ง ผมมองเห็นนักท่องเที่ยวยืนออกันเยอะมาก อยู่ด้านบนที่ต้องปีนขึ้นไป ในใจก็คิดว่า ตรงนั้นแน่นอนทะเลสาบน้ำนม เป็นทางเดินแบบทางชัน พอเดินขึ้นไปถึง ว้อทททท เป็นแค่จุดพักจ้า ระยะทางอีกเป็นกิโล

มีฝูงสัตว์ป่ามายืนให้กำลังใจด้วยครับ เอ๊ะ หรือมันมายืนสมน้ำหน้า ฮ่าๆ

หยุดพักถ่ายรูปน้องก่อนละกันครับ มันเหนื่อยมาก

มีแอ็คท่าสู้กล้องด้วยแฮะ สงสัยคุ้นเคยกับมนุษย์ ท่านี้ชื่อว่า “กวางเหลียวหลัง”

และนั่นไง ทะเลสาบน้ำนม!! โอ้ย ในที่สุดก็เดินมาถึงซะที วิวสวยมากครับ สวยแบบสวยมาก ย้ำนะครับว่า “วิว” สวย ส่วนทะเลสาบ สำหรับผมก็ไม่ได้ว้าวอะไรมากนะครับ คืออาจจะเคยเห็นทะเลสาบที่มันสวยกว่านี้มาแล้ว แต่ภาพรวมก็คือดีงามครับ

ความสวยงามเป็นเรื่องของปัจเจก ดังนั้นที่ผมมองว่าเฉยๆ ก็ไม่ได้จะหมายความว่าคนอื่นจะว่ามันไม่สวยนะครับ ถ้าหากมีโอกาส และมีแรงพอผมก็แนะนำให้มาอยู่ดี อย่างน้อยสำหรับผม วิวรายทางก็สวยบาดใจครับ

สีสันของทะเลสาบก็ประมาณนี้ครับ ถ้าแสงออกเยอะๆ ก็น่าจะมีสีที่ชัดกว่านี้ด้วย

ผมยืนอยู่แถวนี้นานมาก ก็ไม่เห็นทีท่าว่าน้องชาย หรือพี่ๆอีกสองคนจะมาถึง ก็เลยตัดสินใจไปทะเลสาบห้าสีต่อ . ผมแนะนำว่ามาทะเลสาบน้ำนมก่อน แล้วค่อยไปห้าสีนะครับ ห้าสีทางเดินมันลำบาก และต้องเดินขึ้นเข้าอีกราว 700 เมตรจ้า ตายแป้บ

เดินขึ้นไปก็ถ่ายภาพไปครับ

เดินไปหอบไป ขอให้ทะเลสาบข้างบนสวยนะ อยากเห็นว่าห้าสีอย่างไร

ทางเดินขึ้นเขาสู่ทะเลสาบห้าสี สู้ต่อไปครับ

ยัง ยังไม่ถึงอีก เหนื่อยครับ ฮ่าๆ

ในที่สุด ก็เดินมาถึงจุดชมทะเลสาบแล้วครับ เย่ ไหนๆ ทะเลสาบห้าสีเป็นแบบไหนนะ

อืม….

อืมมมมม…..

ก็สวยแหละมั้งนะ ฮ่าๆ แต่แบบอ่านรีวิว มีคนบอกว่า มาถึงแล้วความสวยทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง สำหรับผม ไม่เลยยย ทะเลสาบไม่สวยเท่าไหร่ ฮ่าๆ

มองหันหลังไปก็เห็นทะเลสาบน้ำนมด้วยครับ นมของใครเป็นสีน้ำเงินอมเขียว? น่าจะเรียกว่าทะเลสาบมรกตมากกว่านะผมว่า ฮ่าๆ

แม้ทะเลสาาบอาจจะไม่ประทับใจมาก แต่วิวรวมๆก็เอาไปเลย 10/10

การเดินทางครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งการเดินทางที่ระหว่างทางประทับใจกว่าจุดหมายปลายทางนะครับ  ผมใช้เวลาอยู่ตรงนี้สักพัก ก็เดินกลับไปยังจุดขึ้นรถ เพราะไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเลยเวลา ไม่มีรถกลับครับผม ผมมองว่าย่าติงคือดินแดนที่สวยนะ สวยมากด้วย อาจจะมีบ้างบางจุดที่เราคาดหวังมากไปเพราะเห็นรีวิวหลายๆคน แต่พอไปถึงก็เฟลนิดหน่อย แต่ถามว่ามันแย่ไหม ก็บอกเลยว่าไม่เลยสักนิดครับ เพราะอย่างอื่นในนี้มันล้วนแต่เลอค่าสุดๆ อีกอย่างการเดินทางเยอะมีข้อเสียอย่างหนึ่งคือเราจะอดเปรียบเทียบกับสิ่งที่เคยเห็นและเราแอบคาดหวังมากไป บางทีก็ต้องเข้าใจว่าแต่ละที่ก็มีความสวยของมัน ถึงจะเที่ยวได้สนุกขึ้นครับ

ย่าติง ก็เหมือนกับการไปเที่ยวเลห์ ลาดัก นะครับ คือมันสวย แต่อยากกลับมาอีกไหม ก็ต้องคิดหนัก เพราะการเดินทางที่นานแสนนาน และการเดินเทรคที่กินแรงไปเยอะ สำหรับผมถ้าไม่ได้มีเหตุอะไรที่แบบต้องมา ก็คงไม่ได้กลับมาอีกครับ มองว่าบนโลกนี้ยังมีอีกหลายที่ให้เราไปสัมผัสครับ แต่สักครั้งหนึ่งในชีวิตได้มาแล้วก็เรียกว่าคุ้มค่าครับ

พอผมพูดแบบนี้ ก็มีเพื่อนแซวว่า แล้วทีแชงกรีล่าทำไมไปบ่อย นั่นก็เพราะแชงกรีล่ามันไม่ได้ทรหดแบบย่าติงไงครับ มันไปเพื่อพักผ่อนได้ แต่ย่าติงมันคือทริปผจญภัย ใช้ทั้งแรงกายและแรงใจ


ลาแล้วนะ ย่าติง

ทุกคน ผมจะบอกว่าผมแพ้อากาศหนาวครับ น้ำมูกไหลตลอด แถมบางทีก็ดันมาคัดจมูกอีก เลยมีอาการไข้หน่อย รู้สึกร้อนมาก เมื่อคืนก็เลยถอดเสื้อผ้านอนท้าความหนาวไปเลย เอาซิ นอนใส่บอกเซอร์ตัวเดียวในอากาศ -2 ฮ่าๆ รอดมาได้ก็บุญแล้วนะ

เช้ามาอาการดีขึ้นครับ วันนี้เราจะกลับไปแชงกรีล่ากันแล้ว โดยผ่านอีกเส้นทางคนละทางกับตอนขามาครับ ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง ตามที่ลุงบอก ซึ่งลุงก็บอกว่า ถ้าไม่แวะระหว่างทางนะ… ซึ่งแน่นอนมันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่แวะ! ผมคิดในใจพร้อมส่งกระแสจิตบอกคุณลุง คุณลุงเองก็เหมือนจะยอมรับชะตากรรม

เราถามคุณลุงว่า ลุงครับ เส้นทางนี้สวยหรือเปล่า ลุงก็ตอบว่า

คนไม่เคยมาก็มองว่าสวย คนแถวนี้ก็บอกว่าเฉยๆ

แหม่ คุณลุงครับ ช่างเจรจาเสียเหลือเกิน แบบนี้ไปด้วยกันได้

ดังคาดครับ ผมว่าวิวระหว่างทางสวยมากก เจอหมู่บ้านที่บ้านทำจากดินและหินด้วยครับ ผมรีบบอกลุง

ซู่ซู่ หวอเหมินเย่าไจ้เพี่ยว!! จอ้ดดดดดดด

ดูสิครับ นี่ขนาดไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว ยังมีวิวที่น่าสนใจได้ขนาดนี้

ระหว่างทียืนถ่ายภาพ ผมก็เห็นเขาเขียนว่า WC ด้วยครับ อยู่ข้างทาง เป็นห้องน้ำสาธารณะ ผมก็เลยเข้าไปใช้บริการหน่อย สภาพก็เหมือนในตำนานนั่นแหละครับ ไม่มีประตู เหมาะกับการมานั่งคุยธุรกิจกันแบบเปิดเผย

ต่อมาก็ โอ้ว มาย ก้อดดด ผ่านภูเขาที่ต้นไม้กำลังเปลี่ยนสีแบบพีคมากครับ คุณลุงนี่แหละตัวดี รีบจอดก่อนเราจะเอ่ยปากอีกครับ แล้วก็วิ่งไปถ่ายรูป วิวสวยจริงๆครับ มีต้นไม้หลากสี

รุ่นพี่และอาซ้อ ผู้มาฮันนี่มูนที่เมืองจีน

จากนั้นก็ผ่านหมู่บ้านชาวทิเบตครับ สวยยยยย คุณลุงบอกว่า เดี๋ยวพาไปถ่ายรูปนะ

นี่ครับ บอกเลยว่าเป็นหมู่บ้านที่บรรยากาศสวยมากๆ มีต้นไม่เปลี่ยนสีใบ และลำธารน้ำไหลเย็นมาก ผมไม่รู้ว่าชื่อหมู่บ้านอะไรนะครับ แต่เป็นทางผ่าน แต่ก็ต้องแวะจากถนนหลักด้วยครับ ถ้ามีเวลา อยากให้แวะถ่ายภาพกันมากๆ มันสวยจริงๆ

ผมถ่ายภาพมาฝากได้ไม่สวยเท่าครึ่งนึงแบบที่ตาเห็นหรอกนะครับ เอาเป็นว่ามันสวยจริงๆ

อยู่ตรงนี้กันราวครึ่งชั่วโมงครับ ลุงก็บอกว่ากลับกันได้แล้วลูก

สวยมากเลยครับ แวะให้ได้นะครับทุกคน ลองเอารูปชี้ให้คนขับรถดูก็ได้ ตรงนี้มันจะมีเจดีย์สามองค์ด้วยครับ

แล้วเราก็แวะหมู่บ้านตรงนี้เพื่อทานข้าวครับ อาหารทิเบต คนละ 50 หยวน ได้เยอะมาก เรากินไม่หมดครับ ที่นี่มีห้องน้ำด้วย ซึ่งแบบห้องน้ำหันหน้าหากันอ่ะ งงครับ ฮ่าๆ

ถัดจากนั้นเราก็จะผ่านภูเขาที่มีการทำเป็นเขื่อนครับ ขนาดใหญ่มาก สีน้ำก็เขียวสวยมากเหมือนกัน ตรงนี้เขาสองข้างทางขนาบสายตา ชวนให้เวียนหัว ฮ่าๆ

นี่ครับสีน้ำ ก็ตามสภาพแสง

วิวโดยรวมครับ ผมว่าสวยดีนะ  ระหว่างทางเราเจอลามะซิ่งมอไซค์ด้วยครับ โอ้โห พระท่านเป็นเด็กแวนซ์มาก

ถ่ายภาพตึกรามบ้านช่องระหว่างทางครับ

และแล้วเราก็เข้าสู่เขตแชงกรีล่า เมืองที่คุ้นเคยครับ หลังจากนั่งรถจนปวดก้นไปหมด เราแวะถ่ายภาพที่นาพาไห่อีกแล้ว

โดยส่วนตัว ชอบวิวแถวนาพาไห่นะครับ ชอบบ้าน ชอบวิวภูเขา และทุ่งหญ้าด้านหน้า

เจอฝูงแกะด้วยครับ ชอบมากกกก แสงกำลังสวยด้วย

คุณลุงถามว่า ประเทศไทยไม่มีแกะเหรอ . ผมก็บอกว่ามีครับ แต่มันไม่ได้เยอะ และใช่ว่าจะหาเจอได้ง่ายๆ เลี้ยงแค่บางพื้นที่ครับ

เป็นการเดินทางที่มีความสุขและประทับใจมากครับๆ

ถ่ายรูปเพลินสุดๆ จนเจ้าของแกะเดินมา แล้วบอกว่า ถ่ายใกล้ๆได้นะ จากนั้น เค้าก็เรียกแกะให้มาหาเค้า ฮ่าๆ แต่แบบ ไม่ เราอยากได้วิถีธรรมชาติของแกะ ไม่ต้องเมคท่า แต่อธิบายไม่ถูก เจ้าของแกะผู้ใจดีก็ผิวปากแบะๆ เรียกมันมาแล้ว

แกะได้ยินเจ้าของเรียกก็รีบพากันกรูเข้ามา เลยจบกันกับการถ่ายภาพแกะครับ ฮ่าๆ

วันที่เหลือในแชงพวกเราก็เดินเล่นในเมืองเก่าเก็บภาพนิดหน่อยครับ

เจอพี่ๆคนไทยในโรงแรมด้วย เลยชวนมาเดินขึ้นไปบนวัด Baiji temple ครับ

ตบท้ายด้วยการชมวัดในยามราตรี ที่นี่ก็จัดแสงสีแบบใหม่ครับ สวยตระการตาไปอีกแบบ

และนี่แหละครับ คือบันทึกการเดินทางสู่หนึ่งในจุดหมายปลายทางฝัน ที่ทำฝันให้น้องชายเป็นจริงครับ กับการไปเดินทางสองพี่น้อง ณ ต่างแดน เราสนุกกันมาก บรรยากาศระหว่างทางคือดี เราได้มิตรใหม่ๆ เพียบ ภาษาไม่ใช่อุปสรรคในการสร้างมิตรภาพเลย

ทุกครั้งที่ได้ไปเจอสิ่งใหม่ๆ อาจจะมีสมหวังบ้าง เหนือความคาดหวังบ้าง หรือแม้แต่ผิดหวังบ้าง แต่มันก็ล้วนเป็นเรื่องราวที่เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิต เปรียบดั่งกับชีวิตของเรานี่แหละครับ ที่ต้องเผชิญหลายๆปัจจัย เพื่อให้เราได้เติบโตมากยิ่งขึ้น การที่จะอยู่รอดในสังคม เราต้องเข้าใจวิถีแห่งโลกว่า เราไม่สามารถจะสมหวังอะไรได้ทุกอย่าง ต้องอยู่กับความจริง และเรียนรู้ที่อยู่ร่วมกับความผิดหวัง สมหวังให้ได้อย่างราบรื่น

จบจากเมืองยูนนาน เราสองคนก็จะเดินทางสู่หนึ่งในความฝันของผมครับ นั่นคือไปเที่ยวหมู่บ้านชาวต้ง ที่ชื่อว่า Zhaoxing Dong หมู่บ้านชาวต้งที่ใหญ่ที่สุดของจีน ซึ่งผมจะเล่าการเกินทางในอีกตอนนะครับ เพราะตอนนี้มันยาวมากจริงๆ ไว้เจอกันนะครับ บอกเลยว่า มันสวยมากกกกก


แพลนการเที่ยวในเมืองต่างๆ

Day ​1

  • บินลงคุณหมิงถึงคุณหมิงตอนตีสอง

DAY 2

  • บินต่อไปลี่เจียงตอนเช้า​ แล้วนั่งรถบัสไปแชงกรีล่า
  • ตอนบ่ายเหมารถเที่ยว Napa Lake
  • ตอนดึกเที่ยวเมืองเก่าแชงกรีล่า

DAY 3

  • เรียกรถไปภูเขา Shika

Day 4

  • เดินทางไปย่าติง​
  • พัก​ รร​ นอกอุทยาน

Day 5

  • เดินทางเข้าอุทยานย่าติง
  • เดินเทรคเส้นสั้น
  • พัก​ รร​ ในอุทยาน

Day​ 6

  • เดินเทรคยาว

Day​ 7

  • กลับแชงกรีล่า

DAY 8 – 9

  • พักผ่อนแชงกรีล่า

DAY 10 – 11

  • มาเที่ยวลี่เจียง

DAY 12-14

  • บินมากุ้ยหยาง
  • เที่ยวหมู่บ้าน Zhaoxing Dong
  • เที่ยวหมู่บ้าน Tangan Dong

DAY15

  • กลับ​ กทม

WeChat  คนขับรถที่แชงนะครับที่ผมใช้บริการไป Shika และนาพาไห่

The post แบกเป้ย่าติง แชงกรีล่า สวรรค์บนเส้นขอบฟ้าที่อยากให้มาเห็น appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/backpack-to-yading-shangri-la-the-heaven-on-earth.html/feed 0
แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที่ 3 ล่องเรือชมสองทวีป เที่ยวพระราชวังสุดอลังการ https://backpackstory.com/backpack-turkey-part-3-bosphorus-and-visit-the-palace.html https://backpackstory.com/backpack-turkey-part-3-bosphorus-and-visit-the-palace.html#respond Mon, 19 Aug 2019 12:28:18 +0000 https://backpackstory.com/?p=6204 วันถัดมาพวกเราวางแผนกันว่าจะไปล่องเรือในช่องแคบบอสฟอรัสเพื่อที่จะชมวิวของสองฝากฝั่งในดินแดน Anatolia แห่งนี้ครับ ฝั่งหนึ่งก็เอเชีย อีกฝั่งหนึ่งก็ยุโรป ให้สมกับการมาเที่ยวประเทศสองทวีปสักหน่อย ด้วยความที่เราตื่นเช้ากันมาก ที่นี่อาหารเช้าเค้าก็ไม่ค่อยมีครับ ร้านรวงเปิดกันราว 10:00 น. แหนะ เราก็หาอะไรรองท้องกันไปก่อน

The post แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที่ 3 ล่องเรือชมสองทวีป เที่ยวพระราชวังสุดอลังการ appeared first on Backpack Story.

]]>
วันถัดมาพวกเราวางแผนกันว่าจะไปล่องเรือในช่องแคบบอสฟอรัสเพื่อที่จะชมวิวของสองฝากฝั่งในดินแดน Anatolia แห่งนี้ครับ ฝั่งหนึ่งก็เอเชีย อีกฝั่งหนึ่งก็ยุโรป ให้สมกับการมาเที่ยวประเทศสองทวีปสักหน่อย

ด้วยความที่เราตื่นเช้ากันมาก ที่นี่อาหารเช้าเค้าก็ไม่ค่อยมีครับ ร้านรวงเปิดกันราว 10:00 น. แหนะ เราก็หาอะไรรองท้องกันไปก่อน ไปหากินแถวริมสะพานข้ามไปยังอีกฝั่งนั่นแหละครับผม

หลายร้านแม้จะจัดโต๊ะอะไรแล้ว แต่เขายังไม่เปิดให้บริการนะครับ เราเดินเข้าร้านเก้อหลายร้าน ฮ่าๆ สำหรับการเดินทางไปล่องเรือนั้น พวกเรานั่งรถแทรม ไปยังสถานนี Eminonu ครับ

อาหารบ้านเค้าครับ ถามว่าอร่อยไหม ก็พอได้ครับ ตัวข้าวนะ เพราะเอาน้ำพริกจากไทยไปด้วย ส่วนอันอื่นๆก็พอถูไถได้ครับ ไม่ถึงกับไม่อร่อย แต่ก็ไม่ถึงกับคำว่าอร่อย อธิบายไงดี เอาเป็นว่าไปแล้วคิดถึ้งคิดถึงอาหารไทยครับ

ทริปนี้มีสาวติดไปด้วยครับ นานๆทีจะมีผู้หญิงเดินทางด้วย ขอลงภาพสักภาพครับ 55

สำหรับการล่องเรือนี้พวกเราก็ไม่ได้จองล่วงหน้านะครับ มีคนมาเสนอขายทัวร์ เราก็ซื้อเลยในราคาคนละ 7 Euro สำหรับราคาค่าล่องเรือก็แล้วแต่จังหวะนะครับ ลองต่อรองราคากันดูครับ

ตอนแรกนั้นเราก็ขึ้นเรืออีกลำ แต่เหมือนว่าคนจะน้อยเค้าก็เลยย้ายเราไปอีกลำแทน จากนั้นก็เริ่มออกเดินเรือครับ รอไม่นานสักเท่าไหร่

พอเรือเริ่มออก ความสนุกก็บังเกิดครับ หนึ่งในสมาชิกร่วมทาง “เมาเรือ” ครับ เรือเพิ่งออกและเกือบสองชั่วโมงต่อจากนี้ เพื่อนต้องนั่งพะอืดพะอมตลอดทาง ดังนั้นใครเมาเรือง่ายแนะนำเลยว่า กินยาแม้เมาไปก่อนเลยครับ ไม่งั้นหมดสนุกแน่นอนครับ

วิวสองฝั่งทะเลนั้นสวยงามมากครับ กิจกรรมการล่องเรือก็ไม่มีอะไรมาก นั่งชมวิวไปเรื่อยๆ รับลมเย็นๆที่พัดปะทะหน้า แต่แสงแดดอันเจิดจ้ายามเที่ยงวันก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน จริงๆผมคิดว่ากิจกรรมล่องเรือช่วงเย็นน่่าจะสบายกว่าครับ ไม่โดนแดดเผา ฝั่งที่มองเห็นภาพคือสั่งที่อยู่ทวีปเอเชียนะครับ มีสะพานเป็นตัวเชื่อม หอคอยโดดเด่นนั้นคือ Galata Tower ครับผม

สถาปัตยกรรมที่นี่ก็โดดเด่นมากครับ มีมัสยิด มีพระราชวัง สมแล้วกับที่เป็นเมืองอันรุ่งโรจน์มาช้านาน

สำหรับท่านใดที่ชอบสถาปัตยกรรมยุโรปก็น่าจะชอบกิจกรรมล่องเรือนี้นะครับ นั่งชิลๆ ดูวิวเพลินๆไปครับ

 

มีมัสยิดริมทะเลด้วยครับ ที่นี่มัสยิดเยอะมาก ก็อารมณ์เหมือนมาเมืองไทยแล้ววัดวาอารามเต็มไปหมด แต่ผมก็ชอบนะครับ ไม่ค่อยได้มีโอกาสเข้ามัสยิดสักเท่าไหร่

ชมวิวไปเรื่อยๆครับ ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดี เพราะมันคือทริปล่องเรือ ฮ่าๆ

ผ่านไปสักพัก โอ้โห แดดแรงมากครับ ผมเลยขอผ้าพันคอน้องมาพันรอบตัว ทำให้กลายเป็นจุดเด่นในเรือเลย ผมไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายนะ ผมแค่ร้อน!!

พอกลับมาถึงฝั่ง ก็มานั่งรถแทรมต่อครับ เป้าหมายต่อไปคือจะไปพระราชวัง Dolmabahçe Palace ครับ นั่งไปลงสถานี KABATAS

พระราชวังแห่งนี้ใช้บัตร Pass Museum ไม่ได้นะครับ ต้องซื้อแยกต่างหาก 90 รีล่าครับผมสำหรับเข้าชมทั้งพระราชวังและฮาเร็ม แต่ถ้าซื้อแยก ค่าเข้าพระราชวัง 60 รีล่า และค่าเข้าฮาเร็ม 40 รีล่าครับ ที่นี่ห้ามถ่ายภาพครับ เลยไม่มีภาพข้างในมาฝากนะครับ แต่บอกเลยว่า อลังการมาก ยิ่งใหญ่จนทึ่งว่าทำไมร่ำรวยขนาดนี้ แค่ด้านนอกยังอลังการเลยครับ

พระราชวัง Dolmabahce สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 เป็นหนึ่งในพระราชวังที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลก เป็นศูนย์กลางการบริหารของจักรวรรดิออตโตมันตอนปลายและสุดต่านออตโตมันองค์สุดท้ายก็พำนักอยู่ที่พระราชวังแห่งนี้ครับ

หลังจากการจัดตั้งสาธารณรัฐตุรกีในเมืองอังการา, มุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก ก็ย้ายหน่วยงานภาครัฐทั้งหมดไปยังเมืองหลวงแห่งใหม่ที่อังการา แต่เมื่อเขาไปเยือนอิสตันบูลอาตาเติร์ก เขาใช้ห้องเล็กๆห้องหนึ่งพระราชวังแห่งนี้เป็นที่พำนักครับ โดยใช้พระราชวังนี้เป็นที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง สำหรับเป็นศูนย์บัญชาการ และการประชุมระดับชาติและนานาชาติครับ และอตาเติร์กก็เสียชีวิตที่พระราชวังแห่งนี้ด้วย เวลาที่จัดแสดงในพระราชวังในห้องที่ท่านเสียชีวิต ถูกหมุนไปเวลาที่ท่านเสียชีวิตครับ คือ 09:05 น. วันที่ 10 พฤศจิกายน 1938 ทุกปีในเวลานี้ ชาวตุรกีทั้งหมดจะยืนสงบนิ่งไว้อาลัยและรำลึกถึงวีรบุรุษของพวกเขา

จริงๆแล้ว ตอนที่เราล่องเรือผ่านช่องแคบบอสฟอรัส เราก็จะเห็นพระราชวังนี้เด่นชัดมากเลยครับ คือมันสวยโดดเด่นออกมาเลย พระราชวังแห่งนี้มีความยาว 600 เมตร ใช้เวลาในการก่อสร้าง 13 ปี  สร้างเสร็จในปี 1856 ใช้เป็นศูนย์กลางบริหารจัดการของจักวรรดิออตโตมันถึงปี 1922

พระราชวังแห่งนี้ได้รับมอบหมายให้มีการก่อสร้างโดยสุลดต่าน อับดุลเมอซิด (Abdülmecid) ซึ่งเป็นคนที่ตัดสินใจว่าเราควรจะมีพระราชวังแห่งใหม่ ที่นอกเหนือจาก Topkapi และพระองค์ก็ชอบสถาปัตยกรรมแนวยุโรปมากๆ โดยให้สถาปนิกชาวอาร์เมเนียและลูกชายเป็นคนออกแบบครับ พระราชวังแห่งนี้สวยงามน่าทึ่งเป็นอย่างมาก เพราะมีการใช้สถาปัตยกรรมหลากหลายมาใช้ร่วมกัน ได้แก่ สไตล์บาร็อค โรคโคโค นีโอคลาสิคลั และออตโตมันสมัยใหม่ แบบเห็นแล้ว ต้องร้องว้าวในความหรูหรากันทุกคนเลยครับ

เนื่องจากข้างในห้ามถ่ายภาพ เลยเอาภาพจากอินเตอร์เน็ตมาช่วยเล่าเรื่องละกันนะครับผม

Credit: https://www.istanbulclues.com

ตอนเข้าไปข้างในมีหลายส่วนที่ผมร้องว้าวเลยครับ เช่นห้องที่ใช้แก้วคริสตัลประดับประดา มันหรูสุดๆ หรือโคมระย้าขนาด 4.5 ตันในห้องโถงพิธี อันเป็นของขวัญจากสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียและถือว่าเป็นโคมระย้าคริสตัลโบฮีเมียที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยครับ

Credit: https://istanbultourstudio.com

ภาพด้านบนผมเอามาจากเว็บการท่องเที่ยวอิสตันบูลนะครับ เนื่องจากเค้าห้ามถ่ายภาพ เลยหาภาพมาประกอบอยากให้เห็นภาพมากขึ้นครับ คือนอกจากพวกบรรดางานแกะสลักที่สวยงาม โคมไฟระย้าที่มลั่งเมลื่องแล้ว ยังมีรูปภาพที่เป็นบรรดาภาพวาดที่ดีที่สุดในยุคปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ครับ ข้อมูลมีบอกไว้ว่ามีทั้งหมด 202 ใบเลยทีเดียว

Credit: https://istanbultourstudio.com

ว่ากันว่า การสร้างพระราชวังแห่งนี้ใช้งบประมาณมหาศาลมากๆ เยอะขนาดเทียบกับใช้ทองเป็นตัน และเป็นต้นเหตุที่ทำให้การเงินมีปัญหา และนำมาซึ่งการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมันในที่สุดครับ โดยเฉพาะห้องสุดท้ายนั้น มันเหมือนสวรรค์มากๆ

 

Credit: https://bit.ly/2KTyBxb

และนี่คือห้องสุดท้ายครับ ห้องเซเลสเชียล ของจริงมันยิ่งใหญ่มากๆ มากแบบไม่ไหวแล้ว ทำไมสร้างได้อลังการขนาดนี้นะ เป็นพระราชวังที่ห้องสวยที่สุดที่เคยเจอในชีวิตครับ ผมกับเพื่อนชาวตุรกีพากันยืนอึ้งไปนานมาก เพื่อนชาวตุรกีพูดว่า ตัวเขาเองก็ยังนึกไม่ถึงว่ามันจะอลังการได้ขนาดนี้ เป็นหนึ่งในความภูมิใจของพวกเค้าที่มรดกทางสถาปัตยกรรมที่สวยงาม แต่ก็แลกมากับความฟุ้งเฟ้อ เพราะค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสูงมากเช่นเดียวกันครับ

เที่ยวพระราชวังเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินทางไปยัง Taksim Square ครับ แต่อยู่แป็บเดียว เพราะคนเยอะมาก และสูบบุหรี่จัดมาก เราเลยพากันเดินเล่นไปอีกที่แทนครับ ก็เจอโบสถ์นี้โดยบังเอิญ สวยมากๆ ชื่อว่าโบสถ์ Hagia Triada Church เป็นโบสถ์ยุคกรีกออธอดอกซ์ครับ สวยมากๆเลย ข้างในก็มีภาพเขียนสวยๆด้วยแต่เค้าห้ามถ่ายภาพครับ

วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่อิ่มเอบกับการเดินทางมากครับ เมืองอิสตันบูลเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ ผู้คนน่ารัก (ถ้าตัดเรื่องสูบบุหรี่จัดออกไป) เป็นเมืองที่มาแล้วอยากกลับมาอีกครับ เพราะมีหลายที่มากที่ผมยังไม่ได้ไป ถ้ามีโอกาสจะกลับมาแน่นอนครับ เดี๋ยวตอนหน้าเราจะย้ายไปยังเมืองใหม่แล้วครับ รอติดตามกันนะครับผม ^^

 

The post แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที่ 3 ล่องเรือชมสองทวีป เที่ยวพระราชวังสุดอลังการ appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/backpack-turkey-part-3-bosphorus-and-visit-the-palace.html/feed 0
แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที 2 ชมมัสยิด และ พิพิธภัณฑ์ ณ อิสตันบูล https://backpackstory.com/travel-istanbul-part-2-visit-museum-and-mosque.html https://backpackstory.com/travel-istanbul-part-2-visit-museum-and-mosque.html#respond Mon, 27 May 2019 21:44:00 +0000 http://backpackstory.com/?p=6070 เช้าวันถัดมา พวกเราตกลงกันว่าเราต้องรีบไปเข้าแถวเพื่อชมพิพิธภัณฑ์ Hagia Sophia ครับ หลังจากที่เมื่อวานเราเห็นแล้วว่าคนล้นหลามขนาดไหน เราก็เลยรีบตื่นนอนกันแต่เช้า แล้วหาอะไรทานกัน แต่ที่นี่ร้านอาหารเปิดช้ามากครับ เลยต้องฝากท้องไว้กับ Burger King ครับผม เสร็จแล้วก็ไปต่อแถวกัน ซึ่งคนก็เยอะอยู่ดี สงสัยทุกคนคิดแบบเรา 55

The post แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที 2 ชมมัสยิด และ พิพิธภัณฑ์ ณ อิสตันบูล appeared first on Backpack Story.

]]>
เช้าวันถัดมา กับการ แบกเป้เที่ยวตุรกี พวกเราตกลงกันว่าเราต้องรีบไปเข้าแถวเพื่อชมพิพิธภัณฑ์ Hagia Sophia ครับ หลังจากที่เมื่อวานเราเห็นแล้วว่าคนล้นหลามขนาดไหน เราก็เลยรีบตื่นนอนกันแต่เช้า แล้วหาอะไรทานกัน แต่ที่นี่ร้านอาหารเปิดช้ามากครับ เลยต้องฝากท้องไว้กับ Burger King ครับผม เสร็จแล้วก็ไปต่อแถวกัน ซึ่งคนก็เยอะอยู่ดี สงสัยทุกคนคิดแบบเรา 55

แต่ด้วยความเรามีบัตร Museum Pass อยู่แล้ว การเข้าแถวก็ง่ายครับ เข้าตรง Fast Track ได้เลย แป็บเดียว

เมื่อผ่านเครื่องแสกนเรียบร้อยแล้ว เราก็จะเห็นว่าอาคารแห่งนี้ยิ่งใหญ่มากเลยครับ นี่คือหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางเลยแหละครับ เป็นอาคารที่เป็นที่หมายตาของนักท่องเที่ยวทั้งหลายว่ามาตุรกีแล้วห้ามพลาด เพราะการก่อสร้าง และการตกแต่งภายในนั้นเลอค่าแก่การต่อคิวเข้าชมเป็นอย่างมาก อายุของที่นี่ก็มากกว่า 1,500 ปีเข้าไปแล้ว ยังคงงามสง่าอยู่เลย


Hagia Sophia มหาวิหารฮาเกียโซเฟีย

Hagia Sophia Museum

พอลอดซุ้มเข้าไปแล้ว ก็จะมองเห็นภาพโมเสคสวยงามที่อยู่ด้านบนโค้งประตูครับ เป็นภาพของพระเยซูคริสต์ เพราะว่าก่อนหน้านี้นั่น ครั้งแรกที่สร้างขึ้นมา สร้างเพื่อจะเป็นโบสถ์สำหรับชาวคริสต์นิกายออธอดอกซ์ แต่พอมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่แห่งนี้ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นมัสยิด และถูกทาปูนขาวทับเพื่อปกปิดการตกแต่งดั้งเดิม เนื่องจากชาวมุสลิมไม่อนุญาตให้ใช้รูปสิ่งมีชีวิตพวกคน สัตว์ประดับประดาครับ พอถึงยุคการรวมชาติฝรั่งเศสในสมัยท่านอตาเติร์ก บิดาแห่งชาวตุรกี ก็เปลี่ยนที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์และมีการเลาะปูนขาวออก ทำให้เราได้เห็นความสวยงามดั้งเดิมที่มีมา . ในภาพโมเสค คนที่กำลังก้มกราบพระเยซูคือจักรพรรดิ์ลีโอที่ 6 ครับ อีกฝั่งคือภาพของพระแม่มารี ซึ่งในสมัยยุคไบเซนไทน์นั้น คนที่มีสิทธิ์เข้าออกประตูนี้ต้องเป็นจักรพรรดิ์เท่านั้นนะครับผม

โมเสคนี้ตั้งอยู่ที่ประตูจักรพรรดิ กระเบื้องโมเสคของจักรพรรดิ์ลีโอที่ 6 สร้างในช่วงศตวรรษที่ 9 กระเบื้องโมเสคที่น่าสนใจนี้มีเรื่องราวอันน่าขำขัน จักรพรรดิลีโอที่ 6 แต่งงานกับหญิงเคร่งศาสนาที่ต้องการนอนหลับบนเสื่อเพื่อให้สามารถสวดภาวนาได้บ่อยขึ้น แต่เพราะไม่มีทายาทด้วยกันจักรพรรดิก็แต่งงานกับคนใหม่ทันทีที่ภรรยาคนแรกเสียชีวิต ภรรยาคนใหม่ชื่อว่าโซอี้ (Zoe) อย่างไรก็ตามโซอี้ก็เสียชีวิตเมื่อคลอดบุตรสาวให้กับเขา เมื่อลีโอที่ 6 แต่งงานครั้งที่สามเขาถูกประณามจากนักบวช ภรรยาคนที่สามของเขาให้กำเนิดบุตรชายแต่ว่าก็บุตรก็เสียชีวิตทันที่คลอดออกมาครับ

จักรพรรดิ์ลีโอที่ 6 ก็ไม่ยอมแพ้และตัดสินใจแต่งงานใหม่อีกครั้ง ในที่สุดเขามีลูกชายกับภรรยาคนที่สี่ของเขา แต่คราวนี้เขาถูกลงโทษโดยคริสตจักร

ในงานโมเสกชิ้นนี้เราเห็น จักรพรรดิ์ลีโอที่ 6 แสดงท่าทางแบบ proskynesis (เป็นการแสดงความเคารพ) พระคริสต์ประทับอยู่กับ 2 ท่านคือพระแม่มารีและเทพกาเบรียล พระองค์แต่งกายด้วยชุดทูนิค รัดเอว (เรียกว่า Chiton) มือของพระแม่แมรี่ยื่นมือออกไปถึงพระคริสต์เพื่อให้อภัยแด่ลีโอ พระเยซูคริสต์กำลังถือถ้อยความที่เขียนว่า: “สันติสุขจงมีแด่ท่าน ข้าพเจ้าคือแสงสว่างของโลก

พอเข้าไปข้างในก็อึ้งกับความยิ่งใหญ่ ในการก่อสร้างที่มีชั้นเชิง และดีเทลประดับประดามากเลยครับ ที่นี่ไม่ใช้เสาสักต้น แต่มีการกระจายน้ำหนักโดมลงด้านข้างครับ เป็นอาคารที่สูงมากๆ แสงแดดสาดส่องเข้ามาให้เราได้เห็นความสวยงามที่คงเหลืออยู่ ในวันที่ผมไปแสงจ้ามากครับ ถ้าใครชอบถ่ายภาพด้านใน อาจจะไปช่วงเย็น น่าจะได้ภาพที่สวยกว่านะครับ

จากที่ผมสังเกต ที่นี่จะชอบใช้โคมไฟประดับครับ เราจะเห็นว่ามีโคมแนวนี้ แบบหรูๆ ประดับทั่ววิหาร และมัสยิดอื่นๆ

เห็นแบบนี้แล้วน่าจะหนักเอาเรื่องเหมือนกันนะครับ

สิ่งพิเศษอีกอย่างของที่นี่คือ ด้วยความที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทั้งโบสถ์คริสต์ และมัสยิดชาวมุสลิม เราก็จะเห็นการผสมผสานของสองศิลปะเข้าด้วยกันครับ มีภาพพระเยซูคริสต์ และมีป้ายอักษรจากศาสนามุสลิม

โถงที่เราเห็นขนาดมหึมานั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 32 เมตร สูง 56 เมตรครับ ตอนนั้นผมรู้สึกว่า มันสมควรแล้วที่ได้เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก รายละเอียดที่ประดับประดา ผมสามารถใช้เวลาได้หลายชั่วโมงในการดื่มด่ำแน่นอน ที่นี่มีหน้าต่าง 40 ช่องช่วยให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาภายใน

คือตัวอาคารมันใหญ่มากครับ ใหญ่จนกล้องผมเก็บไม่ได้ และผมก็ไม่รู้ว่าถ่ายพาโนผ่านกล้องโอลิมปัสนี่มันถ่ายยังไง เอาเป็นว่าชมเป็นส่วนๆไปด้วยกันละกันนะครับ ตอนที่ผมไปก็มีการปรับปรุงพื้นที่บางส่วนด้วย

ผมเดินถ่ายภาพอาคารเพลินเลยครับ ระหว่างนั้นก็มีเด็กนักเรียนชาวตุรกีมาขอถ่ายภาพด้วยครับ น้องๆแลดูตื่นเต้นมากที่ได้ถ่ายภาพกับนักท่องเที่ยว ดูแล้วน่าจะเรียนชั้นประถมต้น น้องๆพยายามหัดใช้ภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆ ถามว่า พี่มาจากไหนครับ ผมก็บอกว่าจากประเทศไทยครับ น้องๆก็มองหน้ากัน แล้วคุยกันว่า ไทยแลนด์ สงสัยไม่รู้จักครับ 55 ตอนนั้นมาขอถ่ายรูปด้วยเยอะจริงๆ แล้วก็แนะนำตัวว่าหนูชื่อนี้นะ ผมชื่อนี้นะ เราก็แบบเออ เป็นดาราวุ้ยทริปนี้ 55

การมาเที่ยวตุรกี ถ้าอ่านประวัติศาสตร์และที่มาก่อน หรือมีหนังสือนำเที่ยว หรือมีไกด์พาชม ผมว่าจะเที่ยวอย่างสนุกและมีคุณค่ามากขึ้นครับ เพราะแต่ละที่ล้วนผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน เคยผ่านจุดรุ่งเรือง จุดตกอับมาแล้ว

ด้วยความที่เป็นสายแช่ ผมเป็นคนคลั่งไคล้งานศิลปะ ประวัติศาสตร์ ครับ เข้าไปในพิพิธภัณฑ์ทีเหมือนได้อยู่ในโลกที่เราอยากค้นหา จึงค่อยๆดื่มด่ำไปเรื่อยๆ จนเพื่อนๆผมหนีไปก่อน ฮ่าๆ ผมก็เดินชมอะไรเรื่อยเปื่อยครับ ที่วิหารฮาเกียโซเฟียนั้นมีสองชั้นนะครับ อย่าลืมเดินเข้าไปดูชั้นสองด้วยนะครับ

เมื่ออยู่ชั้นสองและมองลงมา จะเห็นว่ามันยิ่งแสดงความยิ่งใหญ่ของวิหารนี้เลยทีเดียว

บรรดานักท่องเที่ยวเองก็ไหลหลั่งเข้ามาเรื่อยๆครับ อย่างว่าครับที่นี่คือ The Must มาแล้วต้องห้ามพลาด

ภาพนี้เป็นอีกหนึ่งโมเสคที่สวยงามมากครับ แต่ก็น่าเสียดายมากที่มันเสียหายจากการเวลา

เป็นโมเสคที่ชื่อว่า Deesis Mosaic ครับ สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 นี่ถือว่าเป็นผลงานสุดยอดเกี่ยวกับศิลปะโมเสคจากสมัยไบเซนไทน์ครับ Deesis Mosaic ถูกวาดในสไตล์มนุษยนิยม  และเพราะหน้าต่างที่เปิดทิ้งทางด้านซ้าย ส่งผลให้ภาพของพระแม่มารี ได้รับความเสียหายมานานหลายศตวรรษ

เรื่องราวในโมเสกก็คือ  พระแม่มารี และ เซนต์จอห์นเดอะแบปทิสต์และพระคริสต์ กำลังถูกขอร้องให้มีการทักทายมนุษย์โดยแสดงอารมณ์ในแบบที่เสมือนจริงครับ โมเสคชิ้นนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในฐานะผู้บุกเบิกศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาด้วย

ด้านบนเป็น กระเบื้องโมเสกเซราฟิมครับ (Seraphim Mosaic) เป็นผลงานที่สร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 9 ครับผม ตั้งอยู่ตรงแถวตรงกลางโดม ในภาษาฮิบรู คำว่า เซเซราฟิมหมายถึง ‘ผู้เผาไหม้’ ภาพผลงานเราจะเห็นว่าเซราฟิมจะถูกปิดใบหน้าไว้ด้วยดวงดาวครับผม คือภาพต้นฉบับเราจะเห็นหน้าเซราฟิมนะครับ แต่ว่าด้วยความที่ในยุคออตโตมัน คือยุคมุสลิมเค้าห้ามมีภาพคนไงครับ ก็เลยวาดดาวทับเลย ฮ่าๆ

ทูตสวรรค์เซราฟิมมี 6 ปีกเลยครับ 2 ปี คลุมเท้า 2 ปีก ปิดหน้าและ 2 ปีก กางออกพร้อมที่จะบิน เซราฟิมส์ทางด้านตะวันออกเป็นภาพต้นฉบับในขณะที่ภาพอื่น ๆ เป็นเพียงภาพวาดเลียนแบบครับ

ส่วนตัวอักษรยึกยือที่เขียนบนแผ่นไม้กลมๆรอบๆมหาวิหารนั้นเป็นผลงานเขียนอย่างวิจิตรบรรจงโดย M. Izzet Efendi ครับ  ซึ่งถูกนำมาประดับเพิ่มในช่วงรัชสมัยของสุลต่านอับดุลเมจิด (Abdulmejid) เป็นชื่อของพระอัลเลาะห์ โมฮัมเหม็ดและหลานชายของเขา ฮะซันและฮุสเซน และกาหลิบสี่คน ในตอนที่มีการเปลี่ยนจากมัสยิดมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ภาพเหล่านี้เกือบจะถูกถอดทิ้งไปแล้วนะครับ แต่สุดท้ายก็ยังคงอยู่ครับ

The Zoe Mosaic เป็นอีกหนึ่งผลงานโมเสคที่น่าสนใจครับ โมเสคนี้ถูกค้นพบในปี 1934​ โดยสถาบัน Byzantine Institute เป็นโมเสคที่มีอะไรมากมายที่จะบอกเราเกี่ยวกับจักรพรรดินีโซอี้ โซอี้เป็นลูกสาวของคอนสแตนตินที่ 8 ที่มีความต้องการอยากให้เธอแต่งงานกับอาร์รีรอสก่อนที่เขาจะเสียชีวิต (ผมคิดว่าน่าจะเป็นคนละ Zoe ที่แต่งกับจักรพรรดิ์ลีโอที่ 6 นะครับ) เมื่อเธอแต่งงานกับอาร์กีรอส โซอี้อายุ 50 ปีแล้วและยังเวอร์จิ้นอยู่ หลังจากการแต่งงานของพวกเขา โซอี้ตกหลุมรักหนุ่มน้อยชื่อว่าไมเคิล

พอตกหลุมรักกัน พวกเขาทั้งคู่ก็พากันฆ่าอาร์กีรอสครับ โดยจับถ่วงน้ำในอ่าง และไมเคิลก็กลายเป็นจักรพรรดิแทน อย่างไรก็ตาม ประมาณ 7 ปีถัดมา ไมเคิลที่สี่ก็เสียชีวิต และหลานชายของเขา ไมเคิลที่ 5 ก็กลายเป็นจักรพรรดิ์แทน และจับโซอี้ไปกักขัง สิ่งนี้กลายเป็นเรื่องที่นำไปสู่การจลาจลต่อต้านจักรพรรดิ์องค์ใหม่ และเขาถูกปลดบัลลังก์โดยคอนตแสนตินที่ 9 ที่ชื่อว่า  Constantine IX Monomachos ซึ่งเป็นสามีคนที่สามของจักรพรรดินีโซอี้ ในช่วงชีวิตของโซอี้ เธอไม่มีลูกเลยครับ

ดังนั้นสามีแต่ละคนที่โซอี้มี ภาพใบหน้าในโมเสคก็เปลี่ยนไปตามยุคของสามีครับ ดังนั้นภาพที่เราเห็นจึงเป็นภาพของสามีคนสุดท้ายของจักรพรรดินีโซอี้

ข้อความที่อยู่ด้านบนภาพศีรษะของจักรพรรดิ์ Constantine IX Monomachos เขียนว่า “ศาสนาแห่งจักรพรรดิของชาวโรมัน คนรับใช้ของพระเยซู Konstantinos Monomakhos” ส่วนข้อความบนจักรพรรดินี เขียนว่า “ศรัทธาต่อศาสนา ออกัสต้า โซอี้” และยังมีตัวย่อ IC XC ซึ่งเป็นตัวย่อของพระคริสต์ครับ

จริงๆแล้วในมหาวิหาร Hagia sophia ยังมีผลงานจัดแสดงอีกเยอะมากเลยทีเดียวครับ แต่ผมขอนำเสนอเพียงเท่านี้ก่อน เพราะว่าเดี๋ยวจะเยอะและยาวไป ฮ่าๆ อีกอย่างเพื่อนๆผมหนีไปเที่ยวที่อื่นแล้วครับ ผมต้องรีบไปสมทบกับเพื่อนๆแล้ว โดยสถานที่ต่อไปคือ มัสยิดสีน้ำเงินครับ


Blue Mosque มัสยิดสีน้ำเงิน

ด้วยความที่มัวแต่ดื่มด่ำกับความงามของมหาวิหาร Hagia Sophia ผมก็เลยไปต่อคิวคนเดียวที่มัสยิดสีน้ำเงินครับ เพื่อนๆผมไปต่อคิวก่อนแล้ว ตอนนั้นคนเยอะมากๆ เราต้องใส่ถุงพลาสติกหุ้มรองเท้าเราด้วยครับ ที่นี่เข้าฟรีครับผม

คนต่อคิวยาวเหยียดมากๆ ช่วงที่ผมไปก็มีการปรับปรุงอีกแล้วครับ ผืนผ้าใบเต็มทั่วทั้งอาคาร เพื่อนผมเข้าไปแล้วบอกว่า ไม่ค่อยมีอะไร เพราะมีแต่การก่อสร้าง ผมก็บอกว่า ไม่เป็นไร ไหนๆก็มาถึงแล้ว ขอเข้าไปเห็นกับตาครับ

โชคดีมากที่ที่นี่อากาศไม่ค่อยร้อนครับ คือแดดแรงจริง แต่มันไม่ร้อน ทำให้เราอยู่กลางแดดได้นาาน และผิวถูก UV ทำร้ายโดยไม่รู้ตัวครับ ฮ่าๆ เอาน่าอย่างน้อยก็ไม่ต้องร้อนด้วยได้ยูวีด้วยเนอะ

บลูมอสก์ หรือ Blue Mosque สุเหร่าสีน้ำเงินนี้ เดิมมีชื่อว่า สุเหร่าสุลต่านห์อาร์เหม็ดที่ 1 (Sultan Ahmed Mosque) ครับ และเนื่องจากว่าเป็นมัสยิดสำหรับทำพิธีกรรมทางศาสนา เวลาเข้าไปเราก็ต้องสำรวมให้เกียรติศาสนสถานด้วยครับ  เป็นมัสยิดที่สร้างขึ้นในปี 1609 และสร้างเสร็จในปี 1616 ครับ เป็นการสร้างเสร็จหนึ่งปีก่อนที่สุลต่านอาห์เหม็ดจะสิ้นพระชนม์ด้วยวัยเพียง 27 พรรษาเท่านั้น

โดยส่วนตัวแล้วผมชอบมากๆเลยนะครับ งานข้างในคือละเอียดมาก เป็นงานกระเบื้องที่เข้าโค้งได้อย่างลงตัว มันมีความเยอะที่หรูหรา เอาจริงๆ ผมก็ว่าผมอยู่ดูได้เป็นชั่วโมงอีกนั่นแหละ บอกแล้วว่าผมสายเที่ยวแบบแช่ครับ 55

เหตุผลได้ที่ชื่อว่า  Blue Mosque ก็เพราะว่าภายในมัสยิดมีการประดับด้วยกระเบื้องสีฟ้าจากอิซนิคครับ มีการประดับประดาด้วยลวดลายดอกไม้ต่างๆ เช่น ดอกกุหลาบ ดอกทิวลิป ดอกคาร์เนชั่น ที่นี่อนุญาตให้เข้าชมได้แค่ชั้นล่างเท่านั้น ชั้นสองจะห้ามขึ้นไปครับ

ดูสิครับ ลวดลายสวยงามเสียเหลือเกิน เสียดายนะครับที่ตอนผมมาเค้าก็ปิดซ่อมขนานใหญ่ อดเห็นความเป็นสีน้ำเงินภายในตัวอาคารเลย

เดินชมความงามของการตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตาไปครับ

มัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นอยู่ตรงข้ามกับวิหาร Hagia Sophia เลยครับ เพราะสุลต่านต้องการจะบอกว่า เห้ย เราก็สร้างสิ่งยิ่งใหญ่ได้เหมือนกันนะ ไม่แพ้วิหารนั้นหรอก ก็สร้างมัสยิดนี้ขึ้นมานั่นเอง

ผมใช้เวลาที่นี่พักใหญ่ ดื่มด่ำกับความงามของอินทีเรีย ก็ออกมาพบเพื่อนๆครับ เพื่อนผมถามว่าเป็นไงบ้างข้างใน ผมก็บอกว่าผมชอบนะ ผมทำงานสายออกแบบด้วยแหละ งานพวกนี้ผมก็ชอบดู จะได้เอามาประยุกต์ใช้กับการทำงานของตัวเอง พอเจอกันแล้วเราก็เดินไปตรงประตูด้านหลังมัสยิดครับ แล้วเราก็จะเจอตลาดขายของ และพิพิธภัณฑ์โมเสคด้วย


The Museum of Great Palace Mosaics

ต้องบอกก่อนเลยว่า ที่นี่จะเหมาะกับคนชอบงานโบราณนะครับ เพราะเป็นโมเสคที่สร้างขึ้นในช่วงปี คศ 450-550 ครับผม เราจะเห็นผลงานศิลปะวัตถุโบราณถูกจัดแสดงรอบพิพิธภัณฑ์เลยครับ

ผลงานโมเสคที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นภาพวิถีชีวิต สิงสาราสัตว์ สัตว์ในเทพนิยาย ครับ ไม่มีภาพเกี่ยวกับศาสนาใดๆ สามารถเดินชมได้เพลินๆ ที่นี้ใช้บัตร Museum Pass เข้าได้เลย

เสน่ห์ของภาพโมเสคก็คือ มันเป็นกระเบื้องชิ้นเล็กๆ ที่ศิลปินนำมาต่อต่อกันเป็นเรื่องราว และมีการไล่เฉดสีอีก เป็นงานที่ต้องอาศัยระยะเวลาและความพยายามมาก

นี่ครับผม ลองดูใกล้ๆ โมเสคกระเบื้องชิ้นเล็กมากเลยครับ

ชิ้นนี้ค่อนข้างสมบูรณ์ครับ เป็นภาพนายพรานกำลังออกไปล่าสัตว์

ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์เพิ่มเติม เราจะอินกับที่นี่มากครับ เพราะว่าครั้งหนึ่งนั้นที่นี่เคยถูกสร้างประดับประดาด้วยงานโมเสคหรูหราที่เป็นผลงานของศิลปินชั้นครูในยุคนั้น แค่เราได้เห็นถนนที่หลงเหลือที่ทำเป็นโมเสคละเอียดๆแบบนี้ ก็พอทำให้เราเห็นภาพความเจริญในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่งในสมัยนี้ผมก็คิดว่ายังไม่มีที่ไหนมีถนนที่ละเอียดได้แบบยุคนั้นกระมัง


Basilica Cistern

เที่ยวชมทั้งวิหารทั้งมัสยิดจนตะวันเริ่มบ่ายแล้ว เราก็พากันหาอาหารเที่ยงทานกันครับ แถวนั้นมีร้านอาหารหลายร้าน สามารถเลือกดูได้เลย ราคาอาหารตอนผมไปก็ราว 30-70 TL ครับ เรทเหมือนเรานั่งกินข้าวในห้างทุกมื้อ ผมชอบฮอตชอคโกแลตและน้ำผลไม้ที่นี่นะครับ มันคือผลไม้จริงๆ ไม่ใช่เน้นน้ำแข็งเยอะๆแบบบ้านเราอ่ะ บ้านเราได้แต่น้ำแข็ง น้ำผลไม้จริงประมาณ 2/10 ฮ่าๆ

กินข้าวอิ่มแล้ว ก็พากันเดินไปยังจุดต่อไปครับ ทีนี้เราจะต่อแถวลงไปใต้ดินกันจ้า ไปดูความมหัศจรรย์ของคนโบราณที่สร้างความยิ่งใหญ่ใต้พื้นพิภพได้ขนาดนี้เลยหรือเนี่ย มันคืออ่างเก็บน้ำใต้ดิน หรืออุโมงค์ส่งน้ำครับ สร้างในีปี คริสตศักราช 532  ก็เกือบ 1,500 ปีมาแล้วครับ สร้างในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน เพื่อที่ต้องการจะให้เป็นที่เก็บน้ำเอาไว้ใช้สอยภายในพระราชวัง

เข้าไปแล้วจะเห็นว่าเสาที่ตั้งตระหง่านเป็นร้อยๆเสานั้นดูน่าทึ่งเสียเหลือเกินครับ เป็นเสาคอลัมน์ที่ค้ำยันหลังคาอยู่ใต้ดิน เป็นศิลปะแบบคอรินเทียนของโรมันครับผม มีทั้งหมด 336 ต้น สูงต้นละ 9 เมตรเลยนะครับ!! เรียงๆกันทั้งหมด 12 แถว แถวละ 28 ต้น เมื่อก่อนก็จะเต็มไปด้วยน้ำเต็มเพดานเลย เราเข้าไม่ได้ แต่ตอนนี้เค้าสูบน้ำออกหมดแล้วครับ ที่นี่เคยเป็นที่ใช้ในการถ่ายทำหนัง Hollywood ด้วยนะครับ คือเรื่อง “Inferno”

หนึ่งในสิ่งที่คนให้ความสนใจคือเสาที่มีหัวเป็นเมดูซ่าแต่ว่าหันข้างและกลับหัวครับ คือเป็นเคล็ด เพราะว่าใครก็ตามที่จ้องตาเมดูซ่าจะกลายเป็นหิน จึงต้องออกแบบแบบนี้ ให้ปกปักสถานที่แห่งนี้อยู่ใต้บาดาล

ตามตำนานเทพกรีก เมดูซ่าเป็นผู้หญิงที่สวยและน่าสงสารมากครับ นางหลงรักเทพพอร์ซิอุลบุตรของซุส แต่เทพีอาธีนาก็ปลื้มเทพเพอร์ซิอุสเช่นเดียวกัน จึงเกิดความอิจฉา ก็เลยสาปเมดูซ่าว่า ขอให้เธอมีผมเป็นงู และใครจ้องมองเมดูซ่าจะต้องกลายเป็นหิน แหม่ เทพนี่ก็มีด้านร้ายไม่แพ้กันเลยครับ

ที่นี่ก็จะมีแต่เสาและเสา ครับ เราเลยไม่ได้ใช้เวลาอยู่นานเท่าไหร่ เรารีบออกไปยังจุดถัดไปก่อนที่มันจะปิดครับ นั่นก็คือพิพิธภัณฑ์งานศิลปะโบราณคดีครับ


Archeological Museum Istanbul

พิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล (Istanbul Archeology Museum) เป็นกลุ่มของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งจัดแสดงโบราณวัตถุ และผลงานทางศิลปะ ในด้านต่างๆ มากกว่าหนึ่งล้านชิ้น และครอบคลุมเกือบทุกยุค และทุกอารยะธรรมในประวัติศาสตร์โลกครับ โอ้ยยยย คนคลั่งพิพิธภัณฑ์อย่างผมอยากจะดิ้นแด่วๆ ชอบมาก ฮ่าๆ

ข้างในก็มีของโบราณเยอะมาก แบบเยอะ เยอะ เยอะะะะะะะะ ภาพนี้เป็นโลงศพจากอียิปต์ครับ มีอักษรภาพบนโลงศพด้วย

โอย ปลามปลื้ม ปลื้มปริ่ม มีความสุขกับการได้เห็นของเหล่านี้ ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงคลั่งไคล้งานโบราณ อาจจะมาจากเคยอ่านหนังสือสมัยเด็ก แล้วก็ใฝ่ฝันอยากจะเห็นสิ่งที่เราเคยอ่านด้วยตาตัวเอง พอมาเจอแล้วมันเหมือนฝันที่เป็นจริงครับ อักษรภาพแม้จะเคยเห็นผ่านหนังสือ แต่มันก็คนละความรู้สึกนะ ไม่เหมือนเวลาเห็นด้วยตาตัวเองจริงๆ

อักษรคูนิฟอร์ม!! วะ วะ วะ ว้าววววว นี่คืออักษรรูปลิ่ม เป็นรูปแบบของการเขียนอักษรที่เก่าแก่ที่สุดของโลกในยุคเมโสโปเตเมียเลยนะครับ!

และนี่คือสนธิสัญญาแห่งคาเดช (Treaty of Kadesh) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาสงบศึก ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก!! ถ้าไม่รู้ประวัติศาสตร์ก็คงจะเฉยๆใช่ไหมครับ บักสน แกจะตื่นเต้นทำไมนักหนา มาครับ มาดูเรื่องราวที่ว่าทำไมผมถึงตื่นเต้น

คลิกเพื่ออ่านบทความเกี่ยวกับ The Battle of Kadesh นี้ดูนะครับ เค้าเขียนได้ดีมากๆเลยครับ

เป็นไงครับ? อ่านหรือยัง แล้วก็คงจะเข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่าทำไมผมถึงตื่นเต้นที่ได้เห็นเจ้าตัวนี้ ฮะฮะฮ่า

ผลงานจัดแสดงหนึ่งล้านชิ้น ผมไม่สามารถเอามาฝากได้หมดครับ อยากเห็นต้องไปดูเองนะครับ ผมถ่ายมาเฉพาะบางจุดครับ มันเยอะเสียเหลือเกิน แล้วก็เสียดายมากที่ไปตอนเย็นแล้ว มีเวลาเที่ยวไม่เยอะ ไม่เป็นไร ไว้เก็บตังค์ไปใหม่ ฮิๆ ภาพนี้ผมก็กรีสอีกแล้วครับ เป็นผลงานจากประตูอิชตาร์แห่งบาบิโลน อ้ากกกกกก

คือในยุคสมัยของบาบิโลน พระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ ให้มีการสร้างกำแพงล้อมกรุงไว้ครับ โดยจะมีประตูหลวงที่เรียกว่า “ประตูอิชตาร์” (The Ishtar Gate) เค้าสร้างขึ้นมาเพื่อถวายแก่มหาเทวีอิชตาร์ ผู้ที่เป็นเทวีประจำเมืองและเทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่ชาวบาบิโลเนียนเคารพนับถือ

ตัวประตูที่สมบูรณ์นั้นจะอยู่ที่เบอร์ลินนะครับ อันนี้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ชอบมากๆ

เรียกได้ว่ามันเยอะมาก เยอะจนละลานตาครับ อยู่ได้ทั้งวัน หรือไม่แน่อาจจะสองวันเลยก็ได้ถ้าให้ดูละเอียดทั้งสามอาคาร ตอนนั้นผมเสร็จที่อาคารแรกก็เดินออกมายังสวนด้านนอกครับ เดินไปยังอาคารถัดไป สวนเข้าก็ทำสวยครับ ประดับด้วยวัตถุโบราณที่สวยมาก

และระหว่างที่ผมถ่ายรูปผมก็ได้ยินเสียงคนทัก ขอให้ถ่ายรูปให้ครับ เป็นหนุ่มน้อยชาวตุรกีที่มาทราบชื่อทีหลังว่า ชื่อ อาห์เหม็ด เป็นนักเรียนปีหนึ่งคณะ Biochemsitry ที่มหาลัย Ege University ที่อิซเมียร์ น้องบอกว่าเดินทางเที่ยวตุรกีคนเดียว คุยกันถูกคอเพราะชอบเที่ยวเหมือนกัน จากนั้นน้องก็เลยไปเที่ยวกับผมเกือบทุกเมืองเลยครับ

ในอาคารที่สองเป็นอาคารหลักครับ ถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุด และสำคัญที่สุดด้วย ก่อตั้งโดยโอซมัน ฮัมดีเบย์ (Osman Hamdi Bey) ในปี ค.ศ. 1891 เพื่อเก็บรักษาวัตถุทางวัฒนธรรม ที่ได้รับจากการขุดพบ ตามเมืองต่างๆ ในเขตปกครอง ของจักรวรรดิออตโตมันครับ

แค่ชั้นแรกที่เข้าไปเห็นบรรดาโลงศพที่มีการแกะสลักแบบไม่เกรงใจคนดู ก็ทึ่งละจ้า

แกะสลักได้งามงาม ควรค่าแก่การมาเยี่ยมชมมากเลยครับ

ถือว่าวันนี้เป็นอีกวันที่อิ่มมากๆครับ อิ่มอกอิ่มใจกับการได้เห็นงานศิลปะที่มีอายุนับพันปี และมีความสวยงาม จนเห็นแล้วก็ปลื้มใจแทนที่พวกเขามีสมบัติมรดกโลกกันเยอะแยะขนาดนี้

หลังจากเที่ยวเสร็จ พวกเราก็ไปยัง Grand Baazar เพื่อไปทานร้านอาหารที่โด่งดังจากท่าโรยเกลือครับ “Nur-Est”  เป็นร้านที่ดังมาก และค่าอาหารแพงมากจ้า แพงทุกอย่าง ตั้งแต่โค้ก แต่เอาหนะมาถึงแล้วก็ลองทานดูเนาะ

สาขานี้ตอนผมไปรอคิวประมาณครึ่งชั่วโมงครับ

ได้เนื้อบางๆหกชิ้น ราคาเกือบพันบาท ฮืออออออออ และบอกตามตรงว่า โดยส่วนตัวคิดว่าไม่อร่อยครับ ไม่คุ้มค่าเงิน อาจจะเป็นเพราะผมไม่ชินกับรสชาติอาหารที่นี่ด้วยแหละครับ ปากใครปากมันเนอะ แต่น้องที่ไปด้วยคนตุรกีแอบมาถามผมว่า พี่ว่าอร่อยไหม เอาจากใจจริงนะ ผมก็บอกว่าไม่อร่อยอ่ะ น้องบอกว่า ผมก็ว่าไม่อร่อย และแพงเกิ๊น 555 ส่วนขวดแยมนั้นคือน้ำพริกปลาย่างที่พกไปจากเมืองไทยครับ ช่วยชีวิตได้จริงๆนะ ฮ่าๆๆๆ

รวมเบ็ดเสร็จ มื้อเย็นในร้านดังของเรา ก็หมดไปราว 4,000 บาทครับ แพงสุดในบรรดาอาหารทุกมื้อของทริป

และเรื่องราวการเดินทางในตอนที่สองของผมก็ขอจบลงเท่านี้ก่อนนะครับ มันยาวมากอีกแล้ว ฮ่าๆ  แล้วเจอกันตอนที่สามนะครับ

The post แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอนที 2 ชมมัสยิด และ พิพิธภัณฑ์ ณ อิสตันบูล appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/travel-istanbul-part-2-visit-museum-and-mosque.html/feed 0
แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอน 1 อิสตันบูล โคตรคูลเลย https://backpackstory.com/backpack-to-turkey-part-1-istanbul-is-wonderful.html https://backpackstory.com/backpack-to-turkey-part-1-istanbul-is-wonderful.html#respond Sat, 25 May 2019 13:06:25 +0000 http://backpackstory.com/?p=5907 ตุรกีนี่เป็นประเทศแรกที่ผมไปไกลขนาดนี้ ปกติลัดเลาะแต่แถบเอเชียใกล้ๆ อยู่ๆก็อยากจะไปเที่ยวไกลๆดู ก็ลองหาประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า แล้วก็เหมาะเจาะที่ประเทศตุรกีพอดีครับ ประเทศนี้เคยได้ยินมาบ้างสมัยเรียนหนังสือ แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดเชิงท่องเที่ยวมากนัก แล้วผมก็ชวนเพื่อนๆน้องๆไปด้วย รวมกันเป็นสี่คน

The post แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอน 1 อิสตันบูล โคตรคูลเลย appeared first on Backpack Story.

]]>
สวัสดีครับผม กลับมากันอีกครั้งกับบันทึกเรื่องราวการเดินทางแบกเป้ของผมนะครับ ครั้งนี้ผมจะมาเล่าการเดินทางที่เพิ่งกลับมาสดๆร้อนๆ ที่ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ เต็มไปด้วยอารยธรรม ศิลปะ และผู้คนที่เป็นมิตรมากๆ นั่นก็คือประเทศตุรกี ไล่ตั้งแต่ อิสตันบูล ไปสิ้นสุดที่อิสเมียร์ครับ

นี่เป็นประเทศแรกที่ผมไปไกลขนาดนี้ ปกติลัดเลาะแต่แถบเอเชียใกล้ๆ อยู่ๆก็อยากจะไปเที่ยวไกลๆดู ก็ลองหาประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า แล้วก็เหมาะเจาะที่ประเทศตุรกีพอดีครับ ประเทศนี้เคยได้ยินมาบ้างสมัยเรียนหนังสือ แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดเชิงท่องเที่ยวมากนัก แล้วผมก็ชวนเพื่อนๆน้องๆไปด้วย รวมกันเป็นสี่คน การเดินทาง 2 – 15 พ.ค. 2019 ครับ

แพลนการเดินทางนะครับ

  • DAY 1 นั่งสายการบิน​ Gulf Air ไป อิสตันบูล ทรานสิทที่บาเรห์น
  • พักที่โรงแรม จองผ่าน AirBnb
  • DAY 2 เที่ยว Nuruosmaniye Mosque, พระราชวัง Topkapi และ Harem ต่อด้วยสวนสาธารณะ GÜLHANE PARK และเลาะทะเลตรงช่องแคบบอสฟอรัส
  • DAY 3 Hagia Sophia , Blue Mosque , Mosaic Museum, Archeological Museum, Underground Cistern
  • DAY 4 ล่องเรือชมวิวช่องแคบบอสฟอรัส, พระราชวัง Domabahce Palace + Harem, จตุรัส Taksim
  • DAY 5 บินไปยังเมือง KAYSERI เช่ารถเที่ยวในแถบ Cappadocia, Pasabagi, Panoramic View Point
  • พักที่โรงแรม Caravanserai Inn Hotel
  • DAY 6 ไปเที่ยว Uchisar, เมืองใต้ดิน Kaymakli Underground City
  • DAY 7 เที่ยวในเมือง Cappadocia ไปเดิน Treking ชมวิว ตอนดึกนั่ง Night Bus ไปยัง Antalya
  • DAY 8 เที่ยวเมืองเก่า Antalya, ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน, หอคอยเก่า, Hadrian’s Gate, Antalya Museum
  • พักโรงแรม Hotel Twenty
  • DAY 9 นั่งรถบัสไปยังเมือง Pamukkale
  • พักที่โรงแรม Aspawa Hotel
  • DAY 10 เที่ยวข้างใน Pamukkale
  • DAY 11 นั่งรถไฟไปยังเมือง Selcuk เที่ยว Roman Aqueduct, Ephesus, Basilica of St. John, Ayasuluk Fortress, Isa Bey Mosque
  • พักโรงแรม Homeros Pension & Guesthouse
  • DAY 12 เที่ยว Ephesus Museum
  • DAY 13 บินไปยัง Istanbul
  • พักโรงแรม
  • เที่ยว Grand Bazaar, Spice Bazaar
  • DAY 14 บินกลับไทยสายการบิน Gulf Air
  • งบประมาณต่อคน รวมทุกสิ่งอย่าง 40,000 บาท

เอาละครับ ทีนี้มาเริ่มอ่านบันทึกการเดินทางของผมกันได้เลยครับ

การเดินทางครั้งนี้ด้วยความที่ต้องการประหยัดงบ เพราะเป็นประเทศแรกที่ต้องแลกเงินยูโรไปด้วย ก็แบบโอเค ยอมนั่งสายการบินที่ทรานสิทก็ได้ ฟรีแลนซ์แบบผมไม่มีปัญหา เพื่อนที่ไปด้วยทำงานประจำก็ไม่มีปัญหา ก็เลยจบที่สายการบิน Gulf Air ครับ ไม่เคยนั่งเหมือนกัน พยายามหาอ่านรีวิวก็มีเขียนทั้งดีและไม่ดี ก็ได้แต่คิดว่า เอาหนะ ไม่ลองไม่รู้ ปรากฎว่ามันก็ดีมากนะครับ ยกเว้นตอนบินจากไทยไป เครื่องบินกระจกสกปรกมาก ถ่ายภาพวิวด้านนอกไม่ได้เลย และแอร์แอบเห็นหยากไย่ 55 แต่ขาบินไป อิสตันบูล และตอนขากลับไทยก็ดีมาก โดยรวมผมให้ 8.5/10 ครับ มีอาหาร มีน้ำเสิร์ฟ แต่ก็มีเรื่องดีเลย์ครับ เกือบ ชั่วโมง

เราไปทรานสิทกันที่บาเรห์นก่อน ที่นี่ Duty Free แพงไม่ดูโลกภายนอกเลยจ้า เห็นราคาแล้วสะอึก นี่คือ Duty Free มิติไหนกันเนี่ย แพงกว่าร้านช้อปในห้างอีกครับ ก็ได้แต่เดินดูเฉยๆ เพราะไม่มีเงิน มีสิ่งเดียวที่เราซื้อได้คือ Coke เพราะราคาแค่ 1 USD ครับ ที่นี่รับบัตรเครดิตไม่มีขั้นต่ำ พวกผมก็นั่งๆทำไรฆ่าเวลาตลอด 6 ชั่วโมงครับ เป็นสนามบินที่เล็กมาก และมีเน็ตฟรีบริการแค่ 45 นาที รู้สึกแบบ อืม ผิดหวังหน่อยสำหรับคนติดเน็ตแบบผมครับ 55

พอมาถึงสนามบินอิสตันบูล โอ้โห สนามบินเค้าใหญ่มากๆ มารู้ว่าเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ การเข้าประเทศเขาก็ง่ายมากครับ เดินไปที่ ต.ม. เลย ยื่นพาสปอร์ต จบปิ้ง ไม่มีถามไรสักคำ ไม่ต้องกรอกใบขาเข้า คือเป็นประเทศที่ชิลจริง แต่แสกนกระเป๋าไม่ชิลนะครับ อย่างผมมีคอมพิวเตอร์ มี iPad เค้าให้เปิดเครื่องให้ดูทุกครั้งเลย ไม่เข้าใจเหมือนกัน แถมเป็นแค่ของผมนะ เพื่อนไปด้วยก็ไม่เจอ หรือเขาสงสัยอะไรก็ไม่รู้ครับ บางทีอาจจะสงสัยพวกแบตเตอรี่มั้ง แบบในหนังที่เอาระเบิดพ่วงกับแบตอะไรทำนองนี้ ก็เดาไปนะครับ

ทีนี้ด้วยความที่เราไปถึงอิสตันบูลตอนตีหนึ่งกว่า กว่าจะได้กระเป๋า ก็เกือบตีสอง ตอนนั้นก็ไม่มีรถสาธารณะแล้วครับ ผมก็ใช้วิธีเรียก Taxi ที่สนามบิน ได้มาราคา 25 EUR ที่นี่จ่ายเงินด้วยเงินลีร่า หรือยูโร ก็ได้ เอาที่สะดวก จริงๆเป็นค่ารถที่แพงนะครับ แต่ก็ซื้อเวลาครับ เพราะเจ็ทแล็คกันหมดเลย เหนื่อยมาก อยากไปถึงที่พักเร็วๆ ตอนนั้นก็หกโมงเช้าไทยแล้ว แต่ที่นั่นเพิ่งตีสอง พอไปถึงที่พักก็รีบนอนเอาแรงกันครับ เพลีย นั่งเครื่องนาน แถมเวลาถอยหลังอีกครับ


DAY 2 MERHABA ISTANBUL!

เช้าวันถัดมา พวกเราก็ตื่นนอนกันแบบสลืมสลือครับ ในที่สุด ทริปแดนไกลของพวกเราทั้งสี่คนก็พร้อมแล้วครับ ทริปนี้มีน้องผู้หญิงไปด้วยคนหนึ่ง หนึ่งสาวกับชายหนุ่ม อย่างแรกที่เราต้องทำคือ “แลกเงิน” ครับ และนำว่าไปแลกตรงแถว Grand Bazaar ได้เรทดีครับ ตรงประตูทางเข้า ตอนผมไปก็ได้ราวๆ 1 EURO = 6.6 TL ครับ

ช่วงที่อยู่ตุรกี จะมีคนมาขอถ่ายรูปด้วยหลายคนครับ รู้สึกเหมือนตัวเองหน้าตาดีมากเลย 55 มีครั้งหนึ่งมีคนเดินมาบอกว่า น้องของฉันอยากถ่ายรูปกับคนญี่ปุ่น เราขอถ่ายรูปกับคุณด้วยได้ไหม พวกเราก็บอกว่าเราเป็นคนไทย ไม่ใช่คนญี่ปุ่น เค้าก็บอกว่า ไม่เป็นไร อยากถ่ายด้วย เราก็ฮากันไปครับ

ที่อิสตันบูลวันนี้อากาศดีมากครับ เย็นสบายมาก เดินกันเพลินเลยทีเดียว บ้านเมืองเค้าก็สะอาดด้วยครับ ตรงจุดที่ผมพักนั้นจะเดินลงเนินไปหน่อย ใครที่มีกระเป๋าลากก็อาจจะต้องเดินหอบนิดนึงนะครับ

ระหว่างทางก็จะเห็นอาชีพที่หาไม่ได้แล้วในเมืองไทยคือ อาชีพช่างขัดรองเท้าครับ ผมเคยอ่านเจอมีคนรีวิวบอกว่าที่นี่จะมีพวกที่มาทำท่าทำแปรงขัดรองเท้าตก พอเราหยิบให้ เค้าก็จะเสนอขัดรองเท้าให้ฟรี แต่พอขัดเสร็จก็ขอเงินเราอะไรแบบนี้ อันนี้ก็ต้องระวังนะครับ แต่ถ้าคนที่นั่งขัดอยู่กับที่ พวกนี้คืออาชีพเค้าอยู่แล้ว ใช้บริการได้เลย

ที่ตุรกีมีร้านขายของแบบรถเข็นเหมือนบ้านเราด้วยนะครับ ส่วนมากจะขายขนมปัง ขายผลไม้ แล้วก็พวกไอติม

หลังจากที่ได้เงินลีร่าตุรกีมาแล้วแล้ว กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องครับ ผมกังวลเรื่องอาหารมาก หลังจากไปอินเดียก็ทำให้รู้ว่า ผมไม่สามารถทานอาหารได้ทุกชาติ ทริปนี้จึงพกมาม่าคัพไป 6 ถ้วย และน้ำพริกปลาย่าง 2 กระปุก เผื่อพลาด ก็ปรากฎว่าจริงด้วยครับ อาหารที่นั่นไม่ค่อยถูกปากผมเลย ก็ได้เจ้าน้ำพริกนี่แหละครับ ที่มาทาขนมปังกินกับข้าวได้ ไม่งั้นนะ โอ้ย น้ำหนักคงลดมากกว่านี้ ทุกครั้งที่เราทานอาหารจะพากันขำตลอด ขำกับรสชาติอาหารที่แปลกลิ้น ลุ้นกันทุกมื้อว่าจะรสชาติเป็นอย่างไร

ในเมืองอิสตันบูล เค้าจะให้ถนนร่วมกันระหว่างคนเดิน รถราง และรถอื่นๆครับ นั่งรถรางที่นี่ถูกมากๆ ราวสองรีล่ากว่า หรือประมาณสิบสองบาทครับ และต้องใช้บัตรแตะ ซึ่งบัตรนี้สามารถใช้ร่วมกันได้ด้วย คือถ้าผมแตะแล้วก็ส่งให้เพื่อนอีกคนแตะเข้ามาก็ได้ ข้อดีของมันก็คือ คนที่สองจะได้รับส่วนลด! ประหยัดไปอีก เป็นนโยบายให้คนของเค้าใช้รถสาธารณะกันครับ

เดินเล่นได้เรื่อยๆครับ อากาศแบบนี้ อยากให้เมืองไทยมีอากาศเย็นๆแบบนี้บ้าง ฮ่าๆ

จุดแรกที่เราไปเที่ยวกันนั้น เป็นมัสยิดที่เราก็ไม่รู้จักหรอกครับ ทริปนี้ชิล ทุกคนไม่ได้วางแผนอะไรเลย มานั่งหาจุดท่องเที่ยวกันสองสามวันก่อนเดินทาง ระหว่างเดินในถนนก็เห็นป้ายแนะนำว่า ตอนนี้คุณอยู่ตรงไหน มีอะไรล้อมรอบที่น่าสนใจ ซึ่งมันประหลาดมาก เพราะมีภาษาตุรกีกับภาษาเกาหลี และอักษรเบรล!! แต่ไม่มีภาษาอังกฤษ ก็ได้แต่ร้อง อะไรวะเนี่ย 5555 พวกเราก็เลยเดินไปดู เพราะมันอยู่ใกล้ๆกันครับ

นี่คือตัวมัสยิดเมื่อมองจากภายนอกครับ ยิ่งใหญ่ตระการตา เชื้อเชิญให้เข้าไปสัมผัสเสียเหลือเกิน เอาจริงๆแค่ความยิ่งใหญ่ของตัวอาคารภายนอกมันก็ดูไม่ธรรมดาแล้วแหละ

ตัวอาคารใหญ่มากจริงๆครับ โดดเด่นเห็นแต่ไกล

พอไปถึง โอ้โห แม่เจ้าโว้ยยย นี่มันมัสยิดอะไร ทำไมสวยแบบนี้ บ้านเราไม่มีด้วยไงครับ ก็พากันถ่ายภาพกันยกใหญ่ แล้วก็เดินเข้าไปข้างใน ไปดูกันว่าข้างในมัสยิดนั้นจะเป็นแบบไหนนะ

พอไปเห็นสถาปัตยกรรมข้างในแล้ว อึ้งครับ สวยจริงๆ มันสวยแบบคลาสิค และเงียบสงบ เพราะแทบจะไม่มีคนเลย ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นมัสยิดที่สวยงามแบบนี้  ที่นี่เข้าชมฟรีด้วยครับ แต่ผู้หญิงต้องมีผ้าโพกศีรษะครับ

มัสยิดนี้คือมัสยิด Nuruosmaniye Mosque ครับ เป็นมัสยิดที่ได้สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 1 สั่งให้ดำเนินการก่อสร้างในปี 1749 แต่ว่าสุลล่านก็สิ้นพระชนม์ก่อนที่จะสร้างเสร็จ มัสยิดนี้สร้างเสร็จในปี 1755 ในช่วงการปกครองของออสมันที่ 3 และได้รับการตั้งชื่อว่า Nuruosmaniye ที่แปลว่า “แสงกว่าแห่งออสมัน” เนื่องมาจากการที่มีหน้าต่างจำนวนมากที่เปิดให้แสงส่องเข้ามาในมัสยิดครับ

ที่นี่มีการก่อสร้างที่มีโครงสร้างซับซ้อนอยู่ภายในตัวมัสยิดเอง คือมีทั้ง มาดราซ่า (โรงเรียนสอนศาสนา) ห้องครัว ลานน้ำพุ ห้องสมุด หลุมฝังศพ โดยมัสยิดนี้สร้างโดยสถาปนิคสองคนได้แค่ มุสตาฟาอากา และ ไซเมียนคาลฟ่า โครงสร้างนี้เป็นโครงสร้างที่เป็นตัวอย่างผลงานของสถาปัตยกรรมออตโตมันบาร็อคเนื่องจากองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมบาร็อค เช่นการตกแต่งที่อวดโดมขนาดใหญ่ ให้ความสำคัญกับแสงที่สอดส่องลงมา มีหน้าต่างหลายบาน เป็นต้น

ตามความหมายของ “แสงสว่างแห่งออสมัน” มัสยิดแห่งนี้มีหน้าต่างจำนวน 174 บานเลยครับ ทำให้แสงที่สอดส่องเข้ามาสว่างไสวไปทั่วภายในตัวอาคาร

ภายในโดมของมัสยิด Nuruosmaniye นั้นได้รับการตกแต่งด้วย “verse of light” จากอัลกุรอาน

มัสยิดนี้มีสิ่งที่แตกต่างจากมัสยิดออตโตมันอื่นๆ คือเสี้ยวที่อยู่ด้านบนของหออะซานของมัสยิด ทำจากหินแทนที่จะเป็นทองสัมฤทธิ์

มัสยิดแห่งนี้การตกแต่งภายนอกที่หรูหราและมีหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับแสงเข้าสู่ภายในตัวอาคาร เมื่อเราเดินเข้าไปข้างในก็ตะลึงกับการตกแต่งภายในที่เรียบง่ายแต่หรูหราเช่นเดียวกันครับ บอกไม่ถูกเหมือนกัน คือมันสวยอ่ะ เป็นการมาเจอมัสยิดแบบงงๆ แต่โดนใจเลยครับ ตอนนั้นผมคุยกันว่านี่ขนาดมัสยิดที่เราไม่รู้จักยังขนาดนี้  แล้วที่ดังๆจะขนาดไหน ตรงนี้ตั้งอยู่แถวสุลต่านอาเหม็ดเลยนะครับ มาง่ายมาก เปิดทุกวัน 09:00-18:00 น. ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมจ้า

พอดื่มด่ำกับเสร็จแล้วเราก็เดินกันไปยังจุดต่อไปครับ ที่พักของเราอยู่ในแถบ Sulatanahmed ซึ่งดีมาก เพราะใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ระยะทางคือเดินได้ครับ อากาศไม่ร้อนมาก (แต่แดดแรง) ตอนนั้นตั้งใจจะไปที่พิพิธภัณฑ์ Hagia Sophia แต่เห็นแถวยาวเหยียดแล้ว เลยเปลี่ยนแพลนไปพระราชวัง Topkapi แทนครับ

อย่างแรกเราต้องไปซื้อบัตรเข้าชมก่อน พวกผมใช้วิธีซื้อ Museum Pass 315 TL ใช้ได้ 15 วัน เข้าได้ที่ละครั้ง และใช้ในช่อง fast track ได้ด้วย ประหยัดเวลามาก คุ้มค่ามากครับสำหรับคนที่ชอบพิพิธภัณฑ์

Topkapi Palace Museum มีการเปิดให้เข้ามชม และมีบางจุดที่ห้ามถ่ายภาพครับ คือพวกแถบที่จัดแสดงเครื่องครัว เครื่องเรือน เครื่องใช้ครับ ไปเห็นแล้วก็อึ้งอีกครั้งกับความร่ำรวย อยากรวยแบบนี้บ้าง แค่เห็นกาน้ำชาก็หรูหรามากแล้วครับ 55

Topkapi Palace เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของของเมืองอิสตันบูลเลยครับ มีการเจริญและเสื่อมโทรมตามกาลเวลาและประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงสมัย ทุกวันนี้ที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดโอกาสให้คนเข้ามาสัมผัสว่าที่ที่ครั้งหนึ่งบรรดาเจ้าของจักรวรรดิเคยพักอยู่มันเป็นอย่างไร เราเข้าไปแล้วจะได้ได้ทำความรู้จักกับสุลต่านแห่งจักรวรรดิออตโตมันค่อนข้างใกล้ชิดผ่านแต่ละห้องที่มีการเปิดให้เข้าชมครับ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

พระราชวังนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1461 โดยสุลต่านเมห์เม็ตที่ 2 ที่แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นทั้งบ้านและสัญลักษณ์ทางการเมืองของจักรวรรดิ์ออตโตมัน จนกระทั่งยุคสมัยของสุลต่านอับดุล เมซิด ที่ 1 ได้ย้ายครอบครัวและข้าราชบริพารไปยังพระราชวัง Dolmabahce ในปี 1853 เท่ากับว่าในตลอดระยะเวลา 4 ศตวรรษ สถานที่นี้ทำหน้าที่เป็นที่พำนักให้กับสุลต่านถึง 22 พระองค์เลยครับ

ต่อมาก็ถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ครับ ภายหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมันและยุคการสร้างชาติสาธารณรัฐตุรกีในปี 1924

ภาพด้านบนนี้เป็นภาพของ “ช่องเพดาน” ครับ เค้าทำเป็นช่องๆ โปร่ง ให้อากาศถ่ายเทได้ แล้วตอนแสงส่องลงมา มันมีสีๆแบบดังภาพครับ ผมเลยถ่ายภาพมาฝากด้วย

ต้องบอกเลยว่าที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผมแนะนำว่าต้องมาดูให้ได้ครับ ข้างในมีสวนที่ประดับด้วยดอกไม้หลากสี สนามหญ้าสวยๆ มีนิทรรศการจัดแสดงเยอะด้วยครับ ไล่ตั้งแต่คลังอาหาร ห้องครัว คลังอาวุธ คอลเลคชั่นชุดชงกาแฟ ภาพวาด โอย เยอะแยะจริงๆครับ ก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะที่นึ่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่คนเข้าเยี่ยมชมเยอะสุดในอิสตันบูล ผมอ่านเจอมีเขียนว่าปีนึงคนเข้าประมาณ 3 ล้านคนครับ และแน่นอน คิวก็จะยาวด้วย ดังนั้นก็วางแผนดีๆเด้อ ใช้บัตร Museum Pass ประหยัดเวลาสุดครับ อิอิ

คือข้างในนี้มันมีห้องหับเยอะมากครับ เยอะจนแบบถ่ายภาพกันเพลินเลย ลวดลายที่ประดับประดาก็จะเป็นลายแบบดังภาพครับ งานกระเบื้อง งานพรม คือดีจริงอะไรจริง

ตามกฎของมุสลิมจะไม่อนุญาตให้ใช้ภาพคนหรือสัตว์มาประดับครับ ดังนั้นข้างในก็จะเป็นพวกงานกระเบื้องที่มีการประดับด้วยภาพพืช ดอกไม้ อย่างตรงนี้จริงๆมันคือโดมที่ใหญ่มากครับ แล้วเค้าก็วาดต้นองุ่นลงไป คือสวยมากๆ

นอกจากนี้ที่พระราชวังแห่งนี้ยังมี Harem ด้วยครับ ใช่แล้ว สถานที่ไว้บำเรอกามของสุลต่านนั่นเอง คือสุลต่านเค้าจะมีนางสนมเยอะมากครับ ตามตัวเลขที่ผมเห็น ในช่วงรัชสมัยของAbdülaziz (2404-1919) มีมากถึง 800 กว่าคนเลยครับ ว่ากันว่านางสนามเหล่านี้มักถูกนำมาจากจอร์เจียหรือคอเคซัสหรือไม่ก็ถูกจับในฮังการีโปแลนด์และเวนิส

บางคนบอกว่าการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมัน  ส่วนหนึ่งเนื่องจากความบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นกับน้องชายที่โชคร้ายของสุลต่านผู้ถูกกักขังในคุก (ตั้งอยู่ในส่วนฮาเร็ม) เพื่อป้องกันสงครามสืบราชบัลลังก์ เมื่อถึงตาของพวกเขาที่จะขึ้นครองบัลลังก์ หลายคนดูเหมือนจะคลุ้มคลั่งและเป็นบ้าจากการถูกจำคุกเป็นเวลาหลายปีและก็เลยถูกลอบสังหารในเวลาต่อมา

ที่นี่จะมีส่วนที่จัดแสดงผนังที่ประดับด้วยเพชร 86 ชิ้น ที่เป็นเพชรเม็ดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลกด้วยครับ แต่ผมไม่เห็นนะ เพราะเค้าปิดซ่อม 55 พลาดไป เสียดายเหมือนกัน สงสัยต้องได้กลับไปแก้ตัว อิอิ

ในฮาเร็มมีหลายห้องมากครับ ผมว่าใช้เวลาทั้งหมด ราวสองสามชั่วโมงได้เลย ถ้าคนชอบงานดีเทลก็น่าจะมากกว่านั้น

ในห้องสุดท้ายของฮาเร็ม คือผมตื่นตะลึงยิ่งขึ้นไปอีกครับ งานข้างในคือสวยมาก สวย สวย สวยยยยยยย ถ่ายภาพมาก็ไม่ได้อย่างตาเห็น แอบเสียดายอยู่เหมือนกันครับ

พอชมพิพิธภัณฑ์ที่นี่เสร็จ ผมก็บอกกับเพื่อนๆว่า เราไปชม Archeological Museum Istanbul กัน เพราะมันอยู่ติดกัน แต่ปรากฎว่ามันปิดแล้วครับ ก็เลยเดินลัดเลาะตามทางเดินมาเรื่อยๆ คือต้องบอกเลยว่าช่วงที่ผมไปอากาศมันดีมาก แม้แดดจะแรงแต่มันไม่ได้ร้อนไงคับ แล้วตอนนั้นเราก็เห็นสวนสาธารณะข้างๆ โอ้โหหห ทุ่งดอกไม้กำลังผลิบาน ดอกทิวลิปหลากสี เห็นแล้ว อดรีนาลีนไหลพลุ่งพล่าน

เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นดอกไฮยาซินธิ์ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นดอกทิวลิปสาระพัดสี ใครที่ชอบอ่านตำนานกรีกอาจจะผ่านหูผ่านตาเกี่ยวกับความเป็นมาของดอกไฮยาซินธิ์นะครับ เพราะมันคือดอกที่เกิดจากเทพอพอลโลสร้างจากชายคนรักของตัวเองที่เสียชีวิตในอ้อมกอด เป็นความเศร้าของอพอลโลจึงสร้างดอกนี้เพื่อรำลึกถึงชายคนรักของตัวเองครับ ตำนานเทพกริกโรมัน ความรักไม่แบ่งเพศนะครับ ดังนั้นเราจะเห็นว่ามีคู่รักแบบเพศเดียวกันเยอะมาก ไล่ตั้งแต่เทพเจ้าซุสลงมาเลย

ดอกเป็นพุ่มๆ สวยดีครับ และมันเยอะมาก เยอะแบบละลานตาครับ สวนนี้ อยู่ติดกับพระราชวัง Topkapi และพิพิธภัณฑ์ Archeological Museum Istanbul เป็นสวนสาธารณะที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองนี้ครับ

สวนแห่งนี้เป็นสวนที่มีขนาดใหญ่มาก ทอดตัวยาวลงไปยังทะเล เราสามารถเดินเล่นไปเรื่อยๆ แล้วก็จะเห็นชายทะเลที่ช่องแคบบอสฟอรัสครับ

Gülhane Park เคยเป็นส่วนหนึ่งของสวนด้านนอกของพระราชวัง Topkapı และส่วนใหญ่ประกอบด้วยป่าละเมาะ ส่วนหนึ่งของสวนด้านนอกได้รับการวางแผนให้เป็นสวนสาธารณะโดยเทศบาล . และเปิดให้สาธารณชนเข้าชมในปี 1912 สวนสาธารณะแห่งนี้มีพื้นที่สำหรับสันทนาการ มีสนามเด็กเล่นและอื่น ๆ มีรูป รูปปั้นAtatürk แห่งแรกในตุรกีด้วยครับ รูปปั้นถูกสร้างขึ้นในสวนสาธารณะในปี 1926 โดย Heinrich Krippel

ส่วนบรรดาดอกทิวลิปนั้นก็เยอะมากเหมือนกันครับ ตอนแรกไม่คิดว่าจะได้เห็นด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าทิวลิปคงร่วมหมดแล้ว แต่ที่ไหนได้ ที่สวนนี้ยังมีให้เห็นเพียบ เป็นพันเป็นหมื่นต้น หลากสีสัน อ้อ ทิวลิปมีต้นกำเนิดที่ตุรกีนะครับ ตอนนี้ทางรัฐบาลตุรกีเองก็พยายามที่จะประชาสัมพันธ์ให้คนรู้ เพื่อทวงคืนตำแหน่งทิวลิปกลับมา

ดอกทิวลิปสีเหลืองอร่าม แต่ละสีเหมือนมีความหมายด้วยครับ

นี่ก็ครั้งแรกที่เพิ่งเคยเห็นดอกทิวลิปสีนี้ครับ เหมือนสีกำมะหยี่คล้ำๆ

เราเห็นว่ามีคนมาที่สวนนี้ค่อนข้างเยอะพอสมควรครับ น่าจะเป็นสวนที่สวยที่สุดของอิสตันบูลนะครับ คนมาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์เบิกบาน บางคนก็มานอนอ่านหนังสือกัน

ทิวลิปสีชมพูก็สวยมากเหมือนกันครับ มีหลากสีจริงๆ

พอเราเดินสุดทางของสวนเราก็จะเห็นทางเชื่อมไปยังชายทะเลครับ ที่นี่ไม่มีชายหาดครับ ไปถึงปุ๊บ ก็ทะเลเลย แปลกดีครับ อีกฝั่งที่มองเห็นก็คนละทวีปแล้วนะครับ

อากาศที่นี่ก็เริ่มเย็นครับ เห็นแสงแดดแบบในภาพ อย่านึกว่าเพิ่งสี่ห้าโมงเย็นนะครับ นี่เกือบสองทุ่มแล้วจ้า มาเที่ยวช่วงนี้กำไรมากๆ เพราะกว่าพระอาทิตย์จะตกดินก็หลังสองทุ่มแล้วครับ ถ่ายภาพได้เพลินทั้งวัน

แถวนี้เราจะเห็นชาวตุรกีจูงคนรัก ลูก หลาน มาเดินเล่น และหลายคนก็มาตกปลาครับ

ตกปลาได้แล้ว ผมเห็นว่าเขาโยนให้แมวด้วย ที่นี่แมวเยอะมากๆ

น้ำทะเลสีเข้มมาก เข้มแบบไม่ต้องใช้ฟิลเตอร์ ไม่ต้องแต่งภาพใดๆ ส่วนคลื่นก็จะแรงๆหน่อยๆครับ

สาวๆบอกว่า หนุ่มตุรกีงานดี ดีจริงไหม ลองดูเองครับ จากที่ผมเห็น ผมรู้สึกว่าคนตุรกีมีความหลายหลายทางใบหน้าสูงมาก ส่วนใหญ่จะหน้าตาเป็นฝรั่งแต่ผมดำ บ้างก็เหมือนชาวอาหรับ บ้างก็คล้ายคนอินเดีย และหลายๆคนก็เหมือนคนเอเชียแบบจีนอะไรทำนองนี้ครับ

อ้อ มานี่คนจะทักพวกเราว่าเป็นคนจีน ไม่ก็ญี่ปุ่น ไม่ก็เกาหลี ผมเคยถาม เค้าบอกว่าเค้าแยกไม่ออก ก็คงเหมือนเราแยกฝรั่งไม่ออกว่าชาติไหนมั้ง มาที่นี่รู้สึกฮอตครับ ฮ่าๆๆๆๆๆ

อีกเรื่องที่ผมสังเกตที่นี่ครับ คือหาผู้หญิงตุรกียากมาก ที่เจอส่วนมากคือนักท่องเที่ยวครับ ไม่แน่ใจว่าเพราะกฎหมายมุสลิมหรือเปล่า แต่ก็ไหนบอกว่าเป็นประเทศมุสลิมที่ไม่เคร่ง แล้วผู้หญิงไปไหนหมด แทบจะไม่เคยเห็นผู้หญิงทำงานเลยครับ มานี่จะมีแต่ผู้ชายมาบริการเรา

ที่นี่แมวเยอะมากครับ เยอะแบบเยอะไปไหม แล้วผมก็ไม่รู้ว่าแมวมันสะอาดไหม มีเชื้อไหม แต่ก็เห็นบรรดาทาสๆทั้งหลายก็พากันวิ่งไปเล่นกับน้องแมวครับ แมวก็อ้วนพี เพราะคนตุรกีรักแมว ริมทะเลนี่เค้าตกปลาให้แมวกินจ้า

วันนี้เราทั้งสี่คนยังมีอาการเจ็ทแล็คกันอยู่บ้างครับ พระอาทิตย์ก็ตกดินช้าเสียเหลือเกิน ข้อเสียก็คือเราเดาเวลาไม่ถูกถ้าอิงแค่จากสภาพแสง ข้อดีคือ เราเที่ยวได้นานขึ้น และผมคิดว่าสำหรับบล็อกตอนนี้ผมขอจบการเล่าเรื่องของวันแรกก่อนละกันนะครับ ไม่งั้นมันจะยาวมหากาพย์อีก เดี๋ยวติดตามการเดินทางวันต่อไปครับ ขอบอกก่อนเลยว่า อิสตันบูลนะ สามสี่วันมันไม่พอหรอกครับ ผมชอบมากๆ แล้วเจอกันตอนต่อไปนะครับ

The post แบกเป้เที่ยวตุรกี ตอน 1 อิสตันบูล โคตรคูลเลย appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/backpack-to-turkey-part-1-istanbul-is-wonderful.html/feed 0
ลี่เจียง แชงกรีล่า บินลัดฟ้าไปหาความหนาว https://backpackstory.com/lijiang-shangri-la-backpack-in-march.html https://backpackstory.com/lijiang-shangri-la-backpack-in-march.html#respond Wed, 03 Apr 2019 16:26:56 +0000 http://backpackstory.com/?p=5685 หลังจากที่เมื่อปลายปี ผมได้พาน้องชายของผมไปเที่ยวจีน แถบยูนนาน เพราะน้องชายอยากจะเห็นหิมะและเล่นหิมะสักครั้งในชีวิต แต่ว่าบุญมีแต่กรรมบัง ครั้งก่อนไปถึงเขาหิมะมังกรหยกแล้ว ปรากฎว่าลมแรงมาก เค้าเลยไม่ให้ขึ้นกระเช้า คนที่เดินทางไปวันนั้นเลยอดกันหมด น้องชายผมเลยบอกว่า ขอทริปแก้ตัวอีกสักครั้งนะครับพี่สน ผมก็บอกว่า ได้สิ แล้วเราก็นัดกันเดือนมีนาคม สองพี่น้องตะลุยต่างแดนกันอีกครั้ง ทริปนี้เป็นทริปที่สนุกมากๆ แม้ว่าผมจะไปจีน

The post ลี่เจียง แชงกรีล่า บินลัดฟ้าไปหาความหนาว appeared first on Backpack Story.

]]>
หลังจากที่เมื่อปลายปี ผมได้พาน้องชายของผมไปเที่ยวจีน แถบยูนนาน เพราะน้องชายอยากจะเห็นหิมะและเล่นหิมะสักครั้งในชีวิต แต่ว่าบุญมีแต่กรรมบัง ครั้งก่อนไปถึงเขาหิมะมังกรหยกแล้ว ปรากฎว่าลมแรงมาก เค้าเลยไม่ให้ขึ้นกระเช้า คนที่เดินทางไปวันนั้นเลยอดกันหมด น้องชายผมเลยบอกว่า ขอทริปแก้ตัวอีกสักครั้งนะครับพี่สน ผมก็บอกว่า ได้สิ แล้วเราก็นัดกันเดือนมีนาคม สองพี่น้องตะลุยต่างแดนกันอีกครั้ง

ทริปนี้เป็นทริปที่สนุกมากๆ แม้ว่าผมจะไปจีนหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ว่าแต่ละครั้งมันก็มีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไปเนาะ ก่อนอื่นมาดูแพลนการเดินทางของผมกันก่อนครับ ผมออกเดินทาง 12-22 มีนาคม 2019 ครับผม

  • Day 1 – บินออกจากเมืองไทยด้วยสายการบิน Air Asia ถึงสนามบินคุณหมิงตอน 2:00AM
  • Day 2 – ตอนเช้า บินจากสนามบินคุณหมิงไปยังเมืองลี่เจียง ด้วยสายการบิน China Eastern Airline
  • Day 3 – เที่ยวเมืองเก่าลี่เจียง ชมสวนดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง
  • Day 4 – เที่ยวเขาหิมะมังกรหยก
  • Day 5 – ขี่ม้าลัดเลาะเขา และเที่ยวทะเลสาบในลี่เจียง
  • Day 6 – นั่งรถบัสจากลี่เจียงไปยังแชงกรีล่า (68 หยวน)
  • Day 7 – เที่ยวภูเขาหิมะ Shika และทะเลสาบ Napa Hai
  • Day 8 – เที่ยวอุทยานแห่งชาติระดับ 4A ชื่อว่า Balagezong
  • Day 9 – พักผ่อน พักร่าง แต่น้องชายดันพาไปขึ้นเขาเทรคกิ้งข้ามเขาที่วัด Baijisi!
  • Day 10 – เที่ยววัด Songzanlin และมาถ่ายภาพ Napa Hai อีกรอบ
  • Day 11 – บินจากแชงกรีล่า มาคุณหมิง
  • Day 12 – บินกลับกรุงเทพฯ

มาดูเรื่องที่พักกันบ้างครับ

  • ลี่เจียง ผมพักที่ Warm Flower Guesthouse เป็นโรงแรมของเพื่อนผมเองครับ สนับสนุนเพื่อน และโรงแรมก็ดีนะ มีฮีทเตอร์ด้วย น้ำร้อนก็ร้อนเร็ว จองผ่าน Booking.com ได้ครับผม ลิงค์โรงแรม
  • แชงกรีล่า ผมพักที่ Home Away From Home เป็นโรงแรมที่ผมเห็นมันขึ้นแนะนำมาใน Booking คะแนนดีมาก พอไปถึงแล้วก็เข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงมีคนชอบขนาดนี้ เพราะว่าโรงแรมโลเคชั่นคือดี ราคางาม และที่สำคัญ เจ้าของโรงแรมรวมถึงพนักงาน เป็นมิตรมากกกกกกกกกกกกกกกกกก มารู้ทีหลังว่าเป็นโรงแรมที่ได้รับการบอกต่อในหมู่นักท่องเที่ยวไทยด้วยครับ มิน่าคนไทยเยอะเลย ผมก็ขอแนะนำต่อเช่นเดียวกัน อยากให้คนไทยไปเยอะๆ ลิงค์โรงแรม
  • ที่คุณหมิง ด้วยความที่ผมมี Flight บินอีกทีคือตีสองของอีกวัน มันเช้ามาก ผมเลยหาโรงแรมที่ไว้งีบใกล้สนามบินครับ หาเจอโรงแรมนี้ Hanggong Holiday Hotel เค้ามีรถรับส่งจากสนามบินฟรีด้วย เลยใช้บริการดู ไม่ผิดหวังครับ ตอนจะบินกลับ ห้าทุ่มเค้าก็มาส่งครับ ส่งฟรี ลิงค์โรงแรม

พร้อมจะออกเดินทางไปพร้อมกันหรือยังครับ? ถ้าพร้อมแล้ว ไปลุยกับผมสองพี่น้องได้เล้ย!!

การเดินทางไปเมืองจีนเราจำเป็นต้องทำวีซ่านะครับ ราคา 1,500 บาท สำหรับเข้าจีนหนึ่งครั้ง และสามารถอยู่ได้ 30 วัน แต่ผมไม่มีเวลาไปทำเองครับ เสียเวลาทั้งวันถ้าจะไป เลยจ้างเค้าทำให้ ราคา 1,800 บาท ก็ถือว่าให้ค่าเค้าดำเนินการครับ เราก็ทำมาหากินหาเงินไปเที่ยวต่อ 55 และเนื่องจาก Flight บินที่เราบินไปนั้นค่อนข้างจะดึกมาก ไปถึงที่สนามบินคุณหมิงก็ตีสอง สิ่งที่เราสองพี่น้องต้องทำก็คือ หาที่นั่งพัก ก็หาแถวสนามบินนั่นแหละครับ คนจีนนอนกันจริงจังมาก มีผ้าปูนอนแบบเหมือนมาปิคนิค ไม่ต้องเขินอายอะไร อ้อ การไปจีน เล่น Facebook, Line, Twitter ไม่ได้ ผมแนะนำว่าให้ซื้อ Internet Sim Card จากเมืองไทยไป ไม่แพงครับ ผมซื้อของ Dtac Go Inter ราคา 399 บาท เล่นได้ 4GB จำนวน 10 วัน ก็เร็วแรงดีครับ แต่ผมก็สายแชร์รูป เล่นได้สองวัน เน็ตก็หมดครับ พอเน็ตหมดแค่นั้นแหละ อืดมาก แต่ผมเตรียมซื้อ VPN ไปด้วยบน iPad ก็ต่อกับเนตที่โรงแรม ก็เล่น Facebook ได้ครับ

สนามบินลี่เจียงอยู่ห่างจากเมืองเก่าลี่เจียงมากเลยนะครับ ผมก็เรียกแทกซี่ให้ไปส่ง ค่ารถแทกซี่ 105 หยวนครับ มันไกลมากจริงๆ ก็นั่งชมวิวกันเพลิน รายทางก็จะเห็นภูเขาหิมะ น้องชายผมก็กดชัตเตอร์รัวๆ ส่วนผมเหรอ ก็นั่งมองว่ากดอะไรนักหนา แต่ก็คิดถึงตัวเองตอนออกเดินทางใหม่ๆแหละ ก็ไม่แพ้น้องชาย กดรัวประหนึ่งรัวกระสุนปืน 55 ก็นะ ยุคนี้แล้ว เม็มโมรี่ไม่ได้แพงมาก และใช่ว่าจะมีโอกาสได้ไปบ่อย ยิ่งวิวนั้นคาดการณ์ยากว่าฟ้าจะเปิด ฝนจะตกไหม ถ่ายได้ก็ถ่ายไปเถอะ

พอมาถึงที่หมาย คุณพ่อของเพื่อนก็มารับครับ แล้วเราสองพี่น้องก็นอนเอาแรงกันก่อน ผมบอกน้องเสมอว่า เรามาเที่ยว สิ่งสำคัญคือร่างกายเราต้องแข็งแรง ไม่ไหวอย่าฝืน อย่างวันนี้เราไม่ได้นอนกันเลย มาถึงที่พัก ก็ควรนอนก่อน จะได้ให้ร่างกายสดชื่น แล้วค่อยออกไปเที่ยวตอนเย็นก็ได้

หลังจากร่างกายฟื้นดีแล้ว เราสองพี่น้องก็สวมเสื้อโค้ชออกไปตะลุยเมืองเก่าลี่เจียงกันครับ ในช่วงที่ผมมาเป็นช่วงใบไม้ผลิ ดอกไม้พากันออกดอกสวยงามเลย ดอกเหมย ดอกท้อ ดอกซากุระ เพียบ ประทับใจมาก แถมหิมะบนยอดเขาก็เยอะมากเสียด้วย ขนาดมองจากเมืองเก่ายังยิ่งใหญ่ขนาดนี้ โอ้ย น้องชายผมตื่นเต้น พี่สนๆ รอบนี้ผมต้องได้เห็นและเล่นหิมะ ถ้าไม่ได้ขึ้น วันต่อมาเราก็ไปอีกรอบนะ ผมได้แต่พยักหน้า พลางคิดในใจว่า ต้องได้ขึ้นสิ พระเจ้าไม่เล่นตลกสองครั้งหรอกมั้ง 555

เมืองเก่าลี่เจียงเวลานี้เต็มไปด้วยดอกไม้ที่กำลังบานครับ ผมเองก็เป็นคนชอบต้นไม้ ดอกไม้อยู่แล้ว ยิ่งเพลิน ถ่ายมุมนั้นที มุมนี้ที แถมอากาศก็ดี เย็นสบายครับ แต่แดดก็แรงเอาเรื่อง วันแรกคอไหม้เลยครับ แสบไปหมด ต้องไปซื้อครีมมาทา

ผมไม่ค่อยรู้ว่าเป็นดอกอะไรนะครับ รู้แต่ว่ามันสวยดีครับ

“พี่สนๆ นี่ใช่ซากุระหรือเปล่า?” น้องชายผมถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เพราะริมทางเดินนั้นมีต้นไม้ออกดอกสีชมพูสะพรั่งไปทั่วทั้งถนน ผมบอกน้องไปว่า ไม่แน่ใจเหมือนกัน อาจจะเป็นดอกท้อ หรือดอกเหมย หรือซากุระก็ได้มั้ง แยกไม่ค่อยออก แต่จะดอกอะไรก็ช่างเถอะ มันสวย เราชอบก็พอแล้ว เราสองพี่น้องก็ใช้เวลากับถนนเส้นนี้นานมาก คือมันสวยจริงๆครับ

ผมว่าผมโชคดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ตอนไปเที่ยว มักไม่ค่อยเจอคนเท่าไหร่ เลยถ่ายภาพได้ค่อนข้างสบายๆ เมืองลี่เจียงไม่ค่อยเจอฝรั่งครับ มีแต่คนจีนมาเที่ยวกันเอง อากาศอุณหภูมิสิบกว่าๆ สบายๆสำหรับผมครับ เสื้อคอเต่าตัวนึง เสื้อโค้ชตัวนึงก็เดินเล่นได้ชิลๆแล้ว

อย่างที่บอกครับว่า รอบนี้ดอกไม้บานทั่วทั้งเมือง มีความสุขมากๆ เมืองจีนเค้าดีอย่างคือแหล่งท่องเที่ยว ชาวบ้านเค้ามีความสามัคคีกันมาก บ้านเมืองสะอาด พากันพร้อมใจกันปลูกต้นไม้ ทำให้มันสวย คนก็อยากมาเที่ยว พอคนมาเที่ยว เงินก็สะพัดในชุมชน ที่ไทยเราก็น่าจะเอามาปรับใช้ได้นะครับ

ซอยนี้ก็มีการจัดดอกไม้อีกเช่นกันครับ มันเยอะเหลือเกิน เยอะมากๆๆๆ

และตรงนี้คือเป็นจุดขายของเมืองนี้เลยครับ สระน้ำมังกรดำ ตรงนี้เราต้องเสียค่าเข้าชมด้วยครับ รอบนี้ผมเสีย 50 หยวน เพราะเป็นช่วง Low Season แต่วิวไม่โลว์เลยครับ ง้ามงาม ชอบอีกแล้ววว

ตอนมองเห็นมุมนี้นะครับ ภาพติดผนังที่เคยเห็นวัยเด็กโผล่มาเลย

ผมว่าใครที่ชอบดอกไม้มาช่วงนี้คือสวรรค์เลยครับ ไม่ร้อนไม่หนาวมากไปด้วย จริงๆเมืองลี่เจียงก็มีที่เที่ยวอีกหลายที่นะครับ แต่รอบนี้เพราะเคยมาแล้วก็เลย เน้นเดินถ่ายภาพวิวเมืองเก่าไปกันสองพี่น้องครับ

ฟ้าก็เปิดตลอดวันครับ มาอยู่นี่รู้สึกว่าหายใจสบายๆ สมแล้วกับที่คนจีนต่างพากันอย่างมาเที่ยว เพราะอากาศดีตลอดปี เมืองแห่งฤดูใบไม้ผลิแบบที่ชาวจีนเรียกขานจริงๆ


เดินทางสู่ท้องฟ้า ปีนภูผา 4,500 เมตร! หิมะมังกรหยก

วันต่อมา ผมก็พาน้องชายไปขึ้นเขาหิมะมังกรหยก แก้ตัวกันครับ รอบที่แล้วไม่ได้ขึ้น รอบนี้ต้องได้! ผมก็ซื้อตั๋วแบบ One Day Trip จากโรงแรมเลยครับ คนละ 480 หยวน เป็นกลุ่มเล็กๆ ไม่เกินสิบคนครับ ก็มีผมกับน้องที่เป็นคนไทย นอกนั้นคนจีนหมด ซึ่งพวกเค้าก็ดีมาก รู้ว่าเราเป็นต่างชาติ ไม่ค่อยได้ภาษาจีน ก็พยายามช่วยเหลือครับ จริงๆผมก็ได้จีนบ้างนะครับ แต่ถ้าให้พูด Advance ก็ไปไม่ถูกเหมือนกันครับ เลยบอกเค้าว่า ใช้ภาษาอังกฤษดีกว่า ฮิๆๆ

รอบนี้ฟ้าเปิด หิมะจัดหนักจัดเต็ม สาแก่ใจพวกเรายิ่งนัก คนที่ตื่นเต้นสุดก็คือน้องชายผมนี่แหละ วิ่งไปจับหิมะ จนผมบอกว่า นี่มันสูงมากนะ อย่าทำอะไรเร็วเกินไปเดี๋ยวแพ้ที่สูงเอา ผมมารู้ว่าเค้าจำกัดคนขึ้นด้วยนะครับ เจอคนไทยหลายคนบอกว่า ไม่มีตั๋วขึ้น ดังนั้นใครจะมาก็ลองเช็คดูดีๆว่าวันที่จะมาเที่ยวมีตั๋วขายไหม

ครั้งนี้เราจะเห็นท้องฟ้าที่ลอยมาปะทะร่างกายเราเลยครับ สวยมาก เย็นมาก หนาวมาก แต่ก็ไม่ได้หนาวจนทนไม่ได้ครับ ยังชิลอยู่

ทางทัวร์เค้าจะมีเสื้อกันหนาวแจกด้วยนะครับ สีแดงๆ แบบี้แหละ ดังนั้นอย่าแปลกใจว่าทำไมเจอแต่คนใส่ชุดแดงเต็มไปหมด

แต่กระนั้น เส้นทางเดินไปสู่ 4,680 เมตรที่ผมเคยขึ้นไป เค้าก็ปิดครับ เพราะหิมะตกหนักมาก เลยให้เราขึ้นไปได้แค่ 4,500 เมตร แต่แค่นั้นก็ดีมากแล้วแหละ มันคุ้มค่ามากแล้ว หิมะที่ละลานตา ท้องฟ้าที่เปิดกว้าง ลมพัดเย็นสบาย บางคราก็มีท้องฟ้าไหลมาปะทะร่างกาย มันคือบรรยากาศประหนึ่งสรวงสวรรค์กันเลยทีเดียว

เรามีเวลากันเยอะเลยครับสำหรับการมาเที่ยวบนเขา เพื่อนๆที่มาด้วยกันในกลุ่มทัวร์ก็แลก WeChat กับผมครับ เค้าก็คอยถามเรื่อยๆ ว่าอยู่ไหนกันแล้ว คือคนจีนแม้เค้าจะไม่ได้ภาษาจีนนะ แต่เค้าก็ยินดีมากๆที่จะช่วยเหลือเราครับ มันเป็นอีกหนึ่งความประทับใจของการเดินทาง ก็คือการได้รู้จักคนดีๆเพิ่มเติมนี่แหละครับผม

ใครอยากจะเดินไปลุยหิมะ เค้าก็มีเส้นทางให้เดินครับ แต่คิดว่าน่าจะเสียเงินเพิ่มนะครับ ส่วนผมไม่ได้ลงไปเดิน คือตั้งแต่เดือน กันยายน จนยันมีนา ผมไปเขาหิมะมาตลอดเลย รอบนี้ทริปเพื่อน้องครับ ฮิๆ

ทริปครั้งนี้ผมเริ่มรู้ใจกล้อง Olympus ที่ซื้อมาแล้วครับ โอ้ ถือว่ามันเจ๋งเลยครับ ถ่ายแบบ JPG เก็บรายละเอียดได้ดีมาก เลนส์ 14-150 ที่ติดมาก็ครอบจักรวาล ตอบโจทย์กล้องตัวเดียวเที่ยวทั่วโลก ไม่หนักด้วย

คนเป็นพี่ก็ต้องทำหน้าที่ดูแลน้อง ถ่ายภาพให้น้อง หามุมหล่อๆให้น้อง พอบอกให้น้องถ่ายให้บ้าง คนจีนเดินมาเต็มจ้า 555

ทริปนี้เป็นทริปที่หน้าพังมากครับ ตอนอยู่ลี่เจียงไม่พังนะครับ หน้าใส ไร้สิว ผิวดี เพราะยังไม่หนาวมาก แต่พอถึงแชงกรีล่า โอ้โห นี่หน้าหรือเปลือกไม้ นึกว่าตัวเองเป็นโรคสะเก็ดเงิน ปากแตก สิวขึ้น ลิปมันก็เอาไม่อยู่ กลับมาไทย ต้องมารักษาหน้าต่อกันอีก ฮ่าๆ

สองสาวจากเมืองฉางชาครับ เค้าบอกว่า ยูเคยไปฉางชาด้วยเหรอ? ผมบอกว่า เคยไปหลายครั้งด้วย นิสัยดีมากครับ แม้จะจบทริปก็ยังแลกเปลี่ยนรูปถ่ายกันดู ว่าไปเที่ยวไหนบ้าง

ผู้คนก็เดินไหลหลั่งกันเรื่อยๆครับ บางช่วงก็เหมือนจะคนเยอะ บางช่วงก็คนน้อย ถ้าชอบถ่ายภาพ ยืนอยู่ที่เดิม เดี๋ยวสักพักก็จะซาคนครับ เก็บภาพสวยๆไร้คนได้เลย

เสร็จจากเที่ยวหิมะเสร็จ เราก็ลงจากเขา นั่งกระเช้าลงมา แล้วไปทานข้าวเที่ยงกันก่อนครับ ฟรีนะ เป็นอาหารแบบหม้อไฟอ่ะครับ คนจีนก็เทคแคร์ดีมาก ตักนั่นตักนี่ให้ทาน พอทานเสร็จแล้ว ก็มายังสถานที่ต่อไปคือ


ทะเลสาบพระจันทร์สีน้ำเงิน

วิวตรงนี้คือดีงามมาก วิวอย่างกะยุโรปเลยครับ แต่รอบนี้น้ำน้อย ไม่เหมือนตอนผมมาเมื่อปลายปีที่น้ำยังเยอะอยู่

วิวอลังการจริงๆครับ หลายคนถามว่านี่ใช่จีนจริงหรือ? จริงจ้า จริงแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์

น้ำในทะเลสาบก็สีสวยมากๆครับ บางจุดก็น้ำเงินเข้ม บางจุดก็เขียวๆ ใสแบบเห็นพื้นเลย

กิ่งไม้กลางทะเลสาบ

น้ำใสมากจริงๆครับ

สวย สวย สวย สวยจนไม่รู้จะอธิบายยังไง ต้องมาสัมผัสเองครับ

ทริปนี้อยากเห็นหิมะ ก็เห็นแบบเต็มอิ่ม แต่น้องชายยังไม่เจอโมเมนต์หิมะตกครับ ไปลุ้นกันว่าที่แชงกรีล่า จะตกไหมนะ

ถ้าใครชอบถ่ายรูป มาที่นี่มีมุมให้ถ่ายเพียบครับ แต่บางจังหวะก็ต้องหลบคนหน่อย

แสงแดดเริ่มคล้อยต่ำ เราก็ต้องเดินทางกลับสู่เมืองเก่าลี่เจียงครับ วันนี้ถือว่าเป็นวันที่ประสบการณ์คุ้มค่ามากๆ ความสุขมันไม่ได้อยู่แค่การได้เจอจุดหมายปลายทาง แต่เรื่องระหว่างทางมันก็ส่งผลไม้แพ้กัน


ขี่ม้าเลาะหุบเขา ชิลเบาๆริมทะเลสาบ Lashi

วันนี้เป็นกิจกรรมที่ผมไม่เคยทำมาก่อนตอนมาลี่เจียง ส่วนน้องชายผมนั้นตื่นเต้นมากๆ เพราะชอบม้ามาก ผมชวนน้องชายไปขี่ม้าครับ ก็ซื้อกับทางโรงแรมคับ เค้าจะมีคนขับรถพาเราไปยังจุดขี่ม้า ราคา 160 หยวน ได้ขี่ม้า และเข้าชมทะเลสาบ ระยะเวลาก็ราว 4-5 ชั่วโมง ถามว่าคุ้มไหม ผมว่าคุ้มนะ

เราขี่ม้าลัดเลาะเส้นทางม้าไปเรื่อยๆครับ ผ่านทิวต้นซากุระบ้าง ต้นสนบ้าง ไม่ต้องกลัวนะครับ เค้ามีคนไปกับเราด้วยตลอดเวลา เราขี่ม้า พวกเค้าเดินจ้า เดินกันเป็นชั่วโมงๆ แต่ก็นะ เงินดีมาก 55555

พอไปถึงจุดพักม้า ก็จะมีคนเอาชามใส่ข้าวโพดมาเสนอขาย

“ข้าวโพดจ้า ให้อาหารม้าจ้า” เราสองคนก็นิสัยรักสัตว์ ก็อุดหนุนครับ เอามาให้ม้าที่เรานั่งมากิน ชามละ 10 หยวนครับ

ทริปนี้คุณป้าจากซีอานบินมาเที่ยวลี่เจียงด้วย เราเลยได้เที่ยวด้วยกันหนึ่งวันครับ ป้านิสัยดีมากจริงๆครับ

แถบนี้มันเป็นชนบทของลี่เจียงนะครับ ก็จะเห็นบ้านเรือนแบบเก่าๆ ด้วย ผมเจอเมฆหมวกด้วย ชอบมาก

ดอกไม้ที่เบ่งบาน ผมถามคนที่นั่นว่านี่คือดอกอะไร เค้าตอบว่า อิงฮัว ที่แปลว่าซากุระ

ถัดจากขี่ม้าเสร็จ เราก็ไปทานข้าวเที่ยวกัน ราคารวมในตั๋วแล้วนะครับ ทานแบบบุบเฟต์หม้อไฟเช่นเคย ทานเสร็จแล้วไปต่อกันที่ทะเลสาบครับ อันนี้ผมก็เพิ่งเคยมาครั้งแรก เค้าจะมีพิพิภัณฑ์ชาวน่าซีด้วยครับ แต่ห้ามถ่ายรูป ไกด์ก็บรรยายเป็นภาษาจีนไป ผมฟังไม่ออกสักคำ 555

เป็นจุดที่น่ามาไหม ผมว่าถ้ามีเวลาพอก็มาได้นะครับ อากาศดี กว้างใหญ่ ไพศาล แต่ถ้าถามว่ามันสวยแบบหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินไหม ผมว่าก็ไม่ครับ

ที่นี่เป็นจุดขึ้นชื่อเรื่องชมนก แต่ผมมาก็เห็นแต่นกปูนปั้นครับ 55 ที่เห็นเยอะหน่อยก็น่าจะเป็นพวกนกเป็ดน้ำครับ

ทัวร์เสร็จ ผมแวะที่ตลาดท้องถิ่น ที่นี่ข้าวของถูกมาก คนละเรื่องกับในเมืองเก่าลี่เจียงเลยครับ และที่สำคัญนะ เค้าเป็นสังคมไร้เงินสด จ่ายทุกอย่างผ่านแอพ!!

มะเขือเทศลูกใหญ่ สีแดงสวยมาก หิวส้มตำขึ้นมาทันที


ดินแดนสุดขอบฟ้า แชงกรีล่า หรือ ซัมบาลา

หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศเมืองเก่าลี่เจียงแล้ว ผมก็ซื้อตั๋วรถบัสจากลี่เจียงไปแชงกรีล่าครับ รถมีออกทุกชั่วโมงนะครับ สถานีรถบัสห่างจากเมืองเก่าพอสมควร ผมนั่งแทกซี่ 15 หยวน ครับ ราคาตั๋วรถบัสคนละ 68 หยวน นั่งๆนอนๆไปราว 4 ชั่วโมง ขอบอกเลยว่า วิวระหว่างทางไปแชงกรีล่า มันสวยมากกกกก

เมื่อมาถึงที่สถานีรถบัส ที่โรงแรมที่ผมพักเค้ามีบริการรับส่งฟรีครับ คุณลุงหวูเกอ ก็ขับรถไปรับพวกเรา ผมบอกพวกเค้าว่า ผมเคยมาแชงกรีล่าหลายรอบแล้วนะ แต่ผมก็เที่ยวแต่ที่เดิมๆ พวกคุณมีที่ไหนแนะนำผมบ้างไหม

พนักงานที่โรงแรมบอกว่า งั้นคุณไปที่วัด Bai Ji Si ไหม แปลเป็นไทยก็วัดร้อยไก่ครับ ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน มีด้วยรึ อยู่ตรงไหน เธอหัวเราะ และบอกว่า อยู่ตรงโน้น พร้อมชี้ไปทางยอดเขา

ผมเห็นแล้ว อืม… เอาวะ ไปลองดูสักตั้ง

รายทางก็จะผ่านป่าสนเลยครับ สวยอีกแล้ว สนกับสน ฮิๆ

คือต้นสนนี่มันมีหลากพันธ์มาก เปลี่ยนแปลงไปตามระดับความสูง ความรู้สมัยเรียนชีววิทยาก็เอามาใช้ประกอบการเที่ยวก็คราวนี้แหละครับ

ระหว่างเดินๆอยุ่ เอ๊ะ หิมะตก!!! น้องชายผมตื่นเต้นมาก

“พี่สน นี่คือหิมะนี่!!”  ใช่แล้ว ผมตอบ แล้วหิมะก็ตกลงมาอย่างกะฝน

ภาพนี้ถ่ายหิมะตกตอนคืนนั้นครับ ตกแบบกระหน่ำมาแบบนี้เลย น้องชายผมวิ่งไปอยู่กลางหิมะ ส่วนผมถ่ายภาพสองสามภาพ ก็หนีไปจิบชาร้อนๆ ในห้องรับรอง ไม่ชอบความหนาว หิมะตก นี่คือยิ่งเย็น ยังเข็ดกับความหนาวจากเลห์อยู่เลยครับ

บนวัด Bai Ji Si มีอะไรบ้าง? ต้องบอกเลยว่า มันเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวครับ ด้านนึงจะเห็นวิวเมืองเก่าแชงกรีล่า อีกฝั่งเป็นภูเขาหิมะยิ่งใหญ่เรียงตัวกัน

เดินไปถ่ายรูปไปครับ ถ่ายรูปวิวเหรอ? เปล่า รูปตัวเองนี่แหละ 555

ไม่มีคนเลยครับ ท้ังวัดเป็นของเรา พร้อมกับไก่และหมูอีกร้อยตัวบนยอดเขา ไก่เยอะสมคำว่า วัดไก่ร้อยตัวจริงๆ

บนวัดนี้ไม่รู้จะถ่ายอะไร ก็ถ่ายตัวเองนี่แหละครับ มันสวยนะ แต่ถ่ายตัวเองสนุกกว่าไง 5555

เบื่อภาพตัวเองของผมแล้ว ได้เวลาไปเที่ยวตะลุยความหนาวแบบปากสั่น ขาสั่น เหนือความสูงสี่พันกว่าเมตรกันต่อเลยครับ ที่


Shika Mountain เขาสูงตัวสั่น สะท้านทรวง

เช้าวัดถัดมา ผมใช้บริการเช่ารถพร้อมคนขับ ซึ่งก็คือคุณลุงหวูเกอ นั่นแหละครับ ค่ารถไปยัง Shika Mountain และ ไปทะเลสาบนาพาไห่ 200 หยวน ครับ ส่วนค่าตั๋วขึ้นกระเช้า ก็คนละ 150 หยวนครับ

ตอนแรกเราก็ไม่ได้วางแผนจะมาที่นี่กันวันนี้หรอกครับ แต่ด้วยความที่เมื่อคืนหิมะตกหนักมาก เลยเปลี่ยนแพลน ขึ้นเขาหิมะแทน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง แค่รายทางก็เห็นหิมะเพียบ น้องชายผมบอกว่า ลงไปถ่ายรูปกันครับพี่ ลุงหวูเกอก็บอกว่า อยากจอดตรงไหน บอกได้เลย ไม่มีปัญหา เราคุยจีนกันครับ มาอยู่แชงกรีล่าผมต้องงัดสกิลภาษาจีนออกมาให้ได้มากที่สุด สำหรับคุณลุง ต่อจากนี้ผมจะเรียกว่า ซู่ซู่นะครับ (แปลว่าคุณลุง)

เราสองพี่น้อง่ถายภาพกันนานพอสมควร คือเวลาเจออะไรถูกใจ เราก็มักจะดื่มด่ำกับมัน จนลืมเวลา 55

ซู่ซู่บอกว่า ถ้ามาเดือน พค หรือ มิย หุบเขาทั้งหมดนี้จะเป็นสีชมพู เพราะเต็มไปด้วยต้นดอกไม้ป่าครับ คุณลุงเอารูปให้ผมดู หือ มันก็สวยมากเลย ใครมาช่วงนั้น ถ่ายภาพมาฝากหน่อยนะครับ

บนเขา Shika ไม่รู้อ่านว่าอะไร สิกขาหรือเปล่า ฮ่าๆ สวยครับ เราจะขึ้นกระเช้าสองรอบ ผมแนะนำว่า ถ้ารอบแรก จุดแรกที่ลง ถ้ามันมีหิมะเยอะ ให้เที่ยวตรงนั้นก่อนเลยครับ เพราะไม่งั้น หิมะจะละลายจ้า มันละลายเร็วมาก อย่างผมก็โชคดี เล่นตรงนี้ก่อน แล้วค่อยขึ้นไปเล่นบนยอดเขา เพราะบนยอดเขามันสูงอยู่แล้ว หิมะไม่ละลายเร็วแบบด้านล่าง

เราสองคนพี่น้องก็เดินลุยหิมะไปครับ บางช่วงเราเดินบนลำธารที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง ที่นี่เค้าทำกระท่อมไว้ด้วย ก็เดินกันไกลเลย หิมะสะท้อนแสงจ้ามาก แนะนำว่าต้องมีแว่นกันแดดครับ

สนุกกันสุดๆไปเล้ย

จากนั้นก็ไปบนยอดเขาครับ หนาวมากๆ หนาวจนผมทนไม่ไหว อยู่แป็บเดียวก็ขอบายเข้าห้องรอกระเช้าขาลงครับ ปล่อยให้น้องชายถ่ายภาพไป เพราะผมลืมใส่ฮีทเทค!!!

วิวด้านบนน้ันสวยมาก เหมือนเรายืนอยู่บนหลังคาโลกแล้วมองลงมา แต่ร่างกายไม่อำนวยครับ ถ่ายมาแบบเร่งๆ

ดูกองหิมะสิครับ สูงมากๆเลย  ลมก็พัดแรงมากนะครับ น้องชายผมก็บอก พี่สนๆถ่ายภาพให้น้องหน่อย ผมก็บอก บักหำเอ้ย พี่หนาว จะรีบไปเข้าห้องหนีลม 555

ตรงนี้คือสูงมาก ใครที่มาเที่ยวควรซื้อออกซิเจนกระป๋องมาด้วยนะครับ แต่ถ้าพักที่โรงแรม เค้าจะให้มาก่อนถ้าไม่ใช้ค่อยเอาไปคืนครับ ไม่เสียตังค์

วิวด้านบนครับผม

ไปแชงกรีล่า ห้ามพลาดนะครับ มันคือ The Must เลยแหละ บ้านเราไม่มีหิมะ ไปบ้านเค้าต้องได้เห็น!

จากนั้นเราจะไปที่หมายถัดไปคือทะเลสาบนาพาไห่ครับ


ทะเลสาบนาพาไห่ วิวหลักล้าน ชมนกหายาก

สำหรับทริปนี้ที่แชงกรีล่า ผมยกให้ทะเลสาบนาพาไห่คือที่สุดของทริปครับ เพราะว่ามันวิวสวยมาก และนกเอย ม้าเอย บ้านเรือนเอย ต้นไม้เอย สายน้ำเอย ทุกอย่างลงตัวไปหมด ต้องขอบคุณคุณลุงที่เห็นเราสองคนพี่น้องชอบถ่ายภาพ ลุงเลยบอกว่า เอาหงี้ เราขับรถเล่นกันดีกว่า เจอตรงไหนหนูสองคนอยากลงไปถ่ายรูปก็ไปเลยนะ คือลุงอยู่กับเรายันสองทุ่มอ่ะครับ (แต่สองทุ่มที่นี่แดดยังส่องนะคับ)

ตอนแรกเราก็ไม่รู้ครับว่านั่นคือนกอะไร รู้แต่ว่ามันตัวใหญ่มาก และไม่เคยเห็นที่ไทย มารู้ทีหลังว่าเป็นนกกระเรียนคอดำ ซึ่งเป็นนกหาชมได้ยากมาก เรายิ่งตื่นเต้นสิคับ

สายน้ำสีน้ำเงินคือทะเลสาบนาพาไห่ครับ ตรงนี้คนมาเยอะ แต่ยังไม่ใช่จุดไฮไลท์สำหรับพวกผม

เราขับรถเลาะไปเรื่อยๆ วิวระหว่างทางก็มีฝูงม้า ฝูงแกะครับ ถ่ายภาพเพลินอีกแล้ว

แกะนี่ก็เดินขึ้นหินบนหน้าผาได้ชิลๆเนาะ

จากนั้นเราไปชมนกกันครับ อู้หูว ถ่ายภาพได้หลายชอตมาก แต่ก็เสียดายที่แบตผมหมดเสียก่อน ถ่ายภาพต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะถ่ายอะไรดี

ผมกับน้องมีความสุขกับการดูนกมาก ตรงนี้เสียค่าเดินไปข้างใน 10 หยวนครับ จ่ายๆไปเหอะ บ้านเราไม่มี 555

วิวทะเลสาบนาพาไห่ที่เราเคยเห็นในรีวิวนั้น มักจะเป็นแบบเป็นทุ่งหญ้า มีม้า แต่ครั้งนี้คือวิวแปลกตากมาก เพราะคุณลุงบอกว่า

“แถวนี้ ลุงก็เพิ่งเคยมาพร้อมเอ็งนั่นแหละเจ้าหนุ่ม ลุงเห็นชอบถ่ายรูป ดูสีหน้ามีความสุข ลุงเลยพาเข้ามา”

ต้องขอบคุณลุงมากจริงๆครับที่พาเรามาเห็นมุมสวยๆแบบนี้ ที่เห็นในรูปไม่ใช่เก้าอี้นะครับ ของจริงมันใหญ่มากๆ ใหญ่เท่าบ้าน สังเกตจากตัวม้าก็ได้ เค้าเอาไว้ใส่ฟางให้ม้าครับ

วิวรายทางระหว่างขับรถริมทะเลสาบ มันสวยไปหมดเลยครับ อยากหยุดถ่ายทุกร้อยเมตร 555

วิวอย่างกะสวิสซ์

มันดีงามมากจริงๆครับ ดีจนวันสุดท้ายผมบอกคุณลุงว่า ผมอยากไปถ่ายภาพริมทะเลสาบอีก ลุงก็เลยคิด 70 หยวน ค่ารถครับ อยู่กับเรายันสองทุ่มอีกแล้ว

น้องชายผมนี่ชอบม้ามาก ถ่ายภาพเพลิน

ม้าน้ำ 555

หญ้าริมทะเลสาบยังสวยเลยครับท่านผู้ชมมมมมม โอ้ยยย ใจละลายอีหลีอีหลอ

โอ้ มาย ก้อดดดดดดด ฝูงนกกระเรียนคอดำเป็นร้อยๆตัว อ้ากกกกกกกกกกกกก

วิวรายทางอีกครับ คือภาพในบล็อกอาจจะไม่คมเท่าไหร่นะคับ เพราะย่อเยอะมาก

คุณลุงบอกว่า ถ่ายภาพให้ลุงหน่อยเจ้าหนุ่ม

ลุงขอดูภาพที่ผมถ่าย แล้วลุงบอกว่า ว้าววว กล้องนี้ราคาเท่าไหร่ ผมบอกว่ากล้องกับเลนส์ตอนผมซื้อราว 27,000 บาท ลุงบอกว่า อืม ก็ไม่แพงนิ . ครับ ไม่แพงเลยครับ ครับบบบบ แล้วลุงก็ยืมไปเป็นพร้อบ ลุงช่างรู้งาน แต่ลุงสายตายาวไปหม้ายยยยยย

ถ่ายภาพผู้คนที่ขับรถมาแถวนี้บ้าง

คือเป็นทริปที่มีความสุขมากจริงๆครับ ผมแนะนำเลยนะครับ ถ้าใครชอบธรรมชาติ นาพาไห่ เลอค่ามากจริงๆ ให้ลุงหวูเกอพาตะลอนครับ

มีป้อมปราการขนาดใหญ่ด้วยครับ สวยเลย

คุณลุงผู้ใจดีมาเป็นแบบให้เราถ่ายภาพ ทริปวันนี้สนุกจริงๆ เสียดายแบตหมดไปก่อนตะวันจะตกดิน ไว้มีโอกาสจะมาแก้ตัวใหม่ครับ


Balagezong แกรนด์แคนยอนแห่งซัมบาลา

“ที่นี่คือที่ไหนหรือครับ?” ผมถามพนักงาน เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นโบรชัวร์วิวแปลกตา

“ปาลาเกอซงค่ะ” เธอตอบ อะไรนะ? ไม่เคยได้ยิน พอดูรูปแล้วก็เลยบอกว่า โอเค ผมจะไปที่นี่ด้วย เธอบอกว่าต้องนั่งรถไปอีกเช่นเคย และมันไกลมากเลยนะ ค่ารถไปกลับ 400 หยวน และค่าเข้า คนละ 160 หยวน

ผมคำนวณดูค่าใช้จ่าย ไม่เกินงบ จัดสิฮะ รออะไร

เส้นทางไป Balagezong นั่นสวยดีครับ แต่มันก็ไกลมากๆ ถ้าถามผมเหรอ มันอารมณ์เหมือนบางช่วงที่ไปเที่ยวเลห์อ่ะคับ ที่รายทางเป็นหุบเขาสองข้างทางขนาบไป

เจอฝูงแพะ แมะๆๆๆ จอถ่ายรูป

ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ AAAA ครับ มันยิ่งใหญ่มากๆ พื้นที่ใหญ่มาก ต้องนั่งรถบัสชม โดยส่วนตัวเลยรู้สึกว่าใช้เวลาบนรถนานไปหน่อย แถมฟังไกด์จีนไม่รู้เรื่อง ไกด์ก็อธิบายทุกจุดที่วิ่งผ่าน อึดอัดใจ อยากเข้าใจภาษาจีนมากกว่านี้

มันเป็นสถานที่ที่สวยมากเมื่อดูด้วยตาเปล่า แต่ถ่ายภาพออกมา มันจะมุมซ้ำๆครับ เพราะมันใหญ่เกินกว่าที่กล้องจะเก็บได้ ต้องมาดูเอง

แม่น้ำในอุทยานก็สีสันอย่างกะทะเลเลย มรกตมากๆ มีล่องแพยางด้วยครับ แต่ผมไม่เล่นนะ หนาว

นี่ครับ แพยาง กระแสน้ำไม่แรงมาก เหมือนนั่งชมวิวมากกว่า ที่นี่

วิวข้างในครับ มีวัดโบราณอายุหลายร้อยปีด้วยครับ

จุดชมวิวตรงนี้เป็นกระจกครับ ค่าเช่ารองเท้าเดิน หนึ่งหยวนเองครับผม ก็พอได้เสียวๆไป แต่ผมไม่เสียวนะ ไปเจอที่อื่นมาแล้ว 55

ถ่ายสายน้ำมาฝากอีกสักภาพครับผม ถ้าให้ผมแนะนำหรือ ผมว่าถ้ามีเวลาว่างเหลือก็มาครับ การจะได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ 4A ของจีนก็ไม่ใช่จะได้มาง่ายๆนะครับผม


วัดโปตาลาน้อย Zongsanlin Temple

วัดแห่งนี้เป็น Landmark สำคัญของเมืองนี้ครับ สร้างจำลองมาจากวัดโปตาลาที่เมืองลาซา ทิเบต แต่เพราะว่าผมมาหลายครั้งแล้ว เลยไม่ได้ตื่่นเต้นมากนัก ข้างในนั้นก็ยังคงความขลังแบบเดิม

ข้างหน้าวัดจะเป็นทะเลสาบเล็กๆครับ เดินเล่นได้ ผมก็เดินเล่นเก็บภาพไป เจอวิวนี้ชอบมาก  สำหรับวิวที่วัดแห่งนี้ผมเคยเขียนถึงไปหลายครั้งแล้ว เลยไม่ขอเล่ารายละเอียดมากในบล็อกนี้นะครับ เพราะตอนนี้มันก็ยาวมากจริงๆ หลังๆมาเขียนบล็อกทีนึกว่าจะเขียนวิทยานิพนธ์ ฮ่าๆ


บทส่งท้าย

การเดินทางมีจุดเริ่มต้น ก็ย่อมมีจุดสิ้นสุดลง ผมกับน้องชายก็มีประสบการณ์ดีๆในการเดินทางครั้งนี้ ผมเห็นน้องชายมีความสุข เราผู้เป็นพี่ก็มีความสุขด้วย บางอย่างเราเคยเห็นมาเยอะ แต่สำหรับบางคนเค้าเพิ่งเคยเห็น ผมก็เข้าใจความรู้สึกแบบนี้ดี

มาเมืองจีน ไม่ว่าจะมาครั้งไหนผมก็ประทับใจอยู่เสมอ ผมได้เพื่อนใหม่ๆ ผมได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้เจอสิ่งใหม่ๆ และที่สำคัญเมืองจีนนั้น มีวิวที่ยิ่งใหญ่ สวยงาม ในราคาที่เราเอื้อมถึงได้อย่างไม่อยากเย็นครับ

ทริปนี้รวมกันสองพี่น้องก็หมด 39,000 บาท ครับ ไม่รวมค่าวีซ่าคนละ 1,80o บาท (จ้างเค้าทำ) นอกนั้นก็รวมทุกอย่างตั้งแต่ค่าเครื่องบินจาก กทม บินจากลี่เจียงไปแชงกรีล่า บินจากแชงกรีล่ามาคุณหมิง บินจากคุณหมิงมาไทย ค่าตั๋วเข้าชม บลาๆ ครับ หารแล้วก็คนละไม่ถึงสองหมื่น สำหรับทริปสิบกว่าวัน ก็ถือว่าคุ้มค่ามากมายเลยครับ

ขอบคุณทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนใหม่ที่จีน เพื่อนร่วมทาง หรือบรรดานักท่องเที่ยวชาวไทยที่ผมได้มีโอกาสได้รู้จักระหว่างเดินทางท่องเที่ยวให้ครั้งนี้ ทุกท่านเป็นหนึ่งในจังหวะชีวิตดีๆของผม ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ร่วมติดตามการเดินทางของผมเช่นเดียวกันครับ

ทุกการเดินทาง มีมิตรภาพ และความสุข รอเราอยู่ อย่างที่ผมเคยพูดเสมอว่า สำหรับผมนั้น การเดินทางคือการซื้อประสบการณ์ชีวิตที่คุ้มค่ามาก มันช่วยให้เราได้เปิดโลกทัศน์ ได้สัมผัสบรรยากาศใหม่ๆ และเติมเต็มความสุขบางอย่างในชีวิตครับ

แล้วเจอกันใหม่กับทริปต่อไปครับ

The post ลี่เจียง แชงกรีล่า บินลัดฟ้าไปหาความหนาว appeared first on Backpack Story.

]]>
https://backpackstory.com/lijiang-shangri-la-backpack-in-march.html/feed 0