My Day In Nepal #Chapter2 เที่ยวเนปาล กาฐมัณฑุ

December 28, 2017
Scroll Down

“ทำไมมันหนาวจังวะ?” ผมคิดในใจ ในจังหวะที่ตื่นขึ้นมาในยามเช้าตรู่

ผมมองนาฬิกาในมือถือ หกโมงกว่าๆ กับอากาศเลขหลักเดียว มิน่า ถึงได้หนาวเหน็บแบบนี้ ผมเปิดเฟสบุค เห็นฟีดเพื่อนๆในกรุงเทพฯโพสต์อวดความหนาวกันเต็มไปหมด บอกว่าวันนี้กรุงเทพฯ หนาวต่ำกว่า 20 องศา ผมเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่ากรุงเทพฯ จะมีความหนาวแบบนี้ด้วยเหรอ ผมอยู่มาสิบกว่าปี เจอความหนาวแบบนับวันได้เลย แต่ก็ดีครับ จะได้หนาวไปด้วยกันทั้งทางโน้นและทางนี้

“พี่สนถ่ายภาพมาฝากน้องเยอะๆนะ” น้องชายผมส่งข้อความมาให้

“ถ่ายภาพมาฝากเฮียเยอะๆเลยนะน้อง” เฮียของผมก็บอกผมก่อนผมจะมา

ดังนั้นผมไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังแน่นอน เพราะต่อให้ไม่มีใครบอก ผมก็พร้อมจะถ่ายรูป รัวๆอยู่แล้ว ดังนั้นเตรียมพร้อมที่จะเจอการถล่มเฟสบุคด้วยภาพของผมได้เลย ฮ่าๆ

แม้จะมีเครื่องทำน้ำอุ่น แต่ก็ต้องเปิดน้ำร้อนทิ้งไว้ประมาณสองสามนาทีครับ เพื่อให้มันอุ่นพอที่จะสู้กับความหนาวเหน็บได้ ผมรีบอาบน้ำแล้วแต่งตัว จะได้ออกไปสัมผัสเนปาลแบบจริงจังซะที

ผมเดินลงไปที่ล็อบบี้

“Hello! How are you?” เสียงร้องทักของพนักงานต้อนรับที่โรงแรมดังขึ้น เขาชื่อว่าซานโทส ครับ

“ผมสบายดีครับ” ผมตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นผมก็ถามเขาว่า วันนี้ผมจะไปเที่ยวไหนได้บ้างในระยะที่เดินได้. เขาก็เลยบอก่วาเอาแผนที่มาเดี๋ยวเขาจะแนะนำ ซึ่งจุดที่ใกล้โรงแรมที่สุดก็คือ Kathmandu Dubar Square ห่างจากโรงแรมแค่ประมาณ 800 เมตรครับ ผมก็โอเค งั้นวันนีผมไปที่นี่แหละ

แล้วผมก็เดินดุ่ยๆไปตามทางที่ซานโทสบอกผม

“ยูเดินไปนะ แล้วจะเจอทางแยกที่แยกเยอะๆ ตรงนั้นให้ถามคนแถวนั้นอีกทีว่าจตุรัสนี้ต้องไปถนนเส้นไหน แล้วเดินตรงไปอย่างเดียว” เขาแนะนำผมแบบนี้

และเมื่อผมเดินไปถึงแยกที่ว่า ผมก็ถามคนที่นั่น เขาก็ชี้เส้นทางให้ครับ

ระหว่างที่ผมเดินฉุยฉายอย่างไม่รีบร้อน ผมก็ได้ยินเสียงผู้ชายชาวเนปาลพูดภาษาจีนครับ เดาว่าน่าจะเป็นไกด์

ผมรีบหันไปมอง ตามนิสัยสอดรู้สอดเห็น เอ้ย ช่างสังเกต ของผม

เขากำลังเดินพาสองสาววัยรุ่นจีนไปเที่ยวสักที่ครับ

ผมเลยเดินเข้าไปทักสองสาว

“Ni men shi zhong gu0 ren ma?” (พวกคุณเป็นคนจีนหรือคับ?)

สองสาวหันมามองผม แล้วตอบว่า ใช่ค่ะ คุณก็เป็นคนจีนเหรอ?

ผมบอกว่า เปล่า ผมเป็นคนไทย พวกเขาก็ทำสีหน้าแบบเซอไพรส์ วายยูพูดจีนได้หละ? ผมก็แบบ บอกว่าได้ง่ายๆหนะ มากกว่านี้ก็ไปไม่ถูกแล้ว

กด์เห็นดังนั้นก็เลยถามว่าผมจะไปไหน ผมก็บอกว่าจะไป Kathmandu Dubar Square. เขาก็รีบบอกว่า ทางเดียวกัน พวกเขาก็จะไปที่นี่ ไปด้วยกันเลยสิ ผมก็เลยไปด้วย อย่างน้อยก็คิดว่าได้เพื่อนใหม่ระหว่างเดินทาง

ซานโทสบอกผมว่าเดินตรงไปอย่างเดียวนะ

แต่ไกด์คนนี้เดินผมพาเข้าซอยนั้นทะลุซอยนี้ จนผมจำทางไม่ได้เลย ฮ่าๆ

แต่ก็ถือว่าดีนะครับ เพราะว่าผมได้เห็นวัดที่สวยมากๆ แกะสลักละเอียดละออสุดๆ ตอนนั้นทั้งผมและสองสาวก็ได้แต่ร้องว้าวๆ เพราะวัดเป็นสีทอง บานประตูหน้าต่างก็เป็นงานทองเหลืองที่ทำเป็นเรื่องราวทางศาสนา มีชาวบ้านมาไหว้พระขอพรอะไรด้วยครับ รวมทั้งขอทานที่มาขอเงิน 55

ที่ตรงนี้ มีคนมาเจิมหน้าผากให้ผมด้วย เหมือนที่เราเห็นในหนังที่เป็นสีๆแปะตรงหน้าผากอ่ะครับ ผมก็ชอบสิ ชอบอะไรที่มันโลคอลอยู่แล้ว

และที่นี่ก็นกพิราบเยอะเช่นเคยครับ คนก็มาให้อาหารนกกันอีกนั่นแหละ

นี่ก็เสียวๆ ถ้านกบินไปแล้วขี้ใส่ คงหมดสนุกแน่นอน

จากนั้นไกด์หนุ่มก็พาพวกเราเดินลัดเลาะไปอีกครับ ถามพวกผมว่าชอบกินโยเกิร์ตไหม? โยเกิร์ตที่เนปาลอร่อยนะ พวกเราสามคนก็บอกว่าอยากลองนะ เขาก็เลยพาไปร้านของเพื่อนเขา ผมแซวเขาว่า ยูเพื่อนทั่วไปหมดเลยนะ เขาหัวเราะ และบอกว่าก็ผมเป็นคนเนปาลนี่นา

ร้านโยเกิร์ตที่พวกเราทานอยู่ในซอยครับ รสชาติอร่อยดี ราคาสองร้อยรูปี ก็ราว 60 บาทครับ ไม่ถือว่าแพงมาก (มั้ง เพราะไม่รู้ว่าเรทจริงๆเท่าไหร่ ฮ่าๆ บอกแล้วทริปนี้เน้นใช้เงินแก้ปัญหาถ้าไม่เกินงบก็สรุปว่าดี)

จากที่คิดว่าเดินราว 20 นาทีก็น่าจะถึง Kathmandu Dubar Square กลายเป็นว่า นี่เราเดินกันนานมาก ฮ่าๆ และผมก็จำทางไม่ได้แล้วสิ ฮ่าๆๆๆ

“เรามาถึงแล้ว Kathmandu Dubar Square” เสียงไกด์พูด (ไกด์พูดจีนนะคับ แต่คือศัพท์จีนง่ายๆ ผมเข้าใจ)

ผมมองไปรอบๆ เห็นเป็นชาวบ้านเอาของมาเรียงรายขาย ส่วนมากก็จะเป็นงานพวกกำไล สร้อยคอ รูปปั้นทางศาสนา เยอะแยะมากมายครับ เบื้องหน้าเป็นงานก่อสร้าง ซึ่งก็คือการบูรณะวัดที่มันพังนั่นเอง ด้านหลังเยื้องไปหน่อยก็เป็นโรงเรียนครับ ซึ่งแน่นอนว่าก็มีไม้ยันไว้ไม่ให้พัง เห็นแล้วละเสี้ยวเสียว

“เดี๋ยวเราแยกกันตรงนี้เนาะ” ผมบอกกับสาวๆชาวจีน. แต่ก่อนจะแยกจากกันเราก็แลกวีแชทไว้เผื่อจะได้ติดต่อกันภายหลัง เผื่อผมไปจีน จะได้ขอคำแนะนำ หรือเขามาไทย ผมก็จะได้แนะนำ รู้จักกันไว้ก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา

ผมเปิดหนังสือไกด์บุคที่ผมเพิ่งซื้อสดๆร้อนๆก่อนจะบินมาเพียงหนึ่งวัน เขาบอกว่าตรงนี้คือตลาดของจตุรัส ที่เต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก งานศิลปะ ซึ่งถ้ามีเวลาก็ให้มาเดิน มันเป็นทางออกของจตุรัสครับ แสดงว่าผมเดินชมแบบจากทางออกไปยังทางเข้าเหรอ? ฮ่าๆ เอาวะ เอาไงเอากัน ในหัวไม่มีอะไรอยู่แล้ว ทริปนี้ลุยเล้ย

ระหว่างที่ผมเดินไปเรื่อยๆ ผมก็เก็บภาพไปเรื่อยๆครับ ทุกอย่างมันน่าสนใจสำหรับผม คนชุดพื้นเมือง แสงที่สะท้อนเป็นเงาในบางจังหวะ สถาปัตยกรรมที่แปลกตา แม้กระทั่งเสาไม้ที่ยันอาคาร มันก็ดูน่าเก็บภาพบันทึกไว้เป็นความทรงจำ

แล้วผมก็เห็นอาคารหนึ่ง เห้ย แกะสลักประตูหน้าต่างสวยจัง เป็นไม้สีดำๆ งานละเอียดมากๆ มีรูปปั้นสิงห์ยืนด้านหน้าด้วย และ ใช่ครับ มีไม้ยันไว้ไม่ให้ล้ม

ผมก็ยืนถ่ายภาพบานประตูเอย หน้าต่างเอย แม้จะเห็นว่ามีทางเข้า แต่ก็ไม่รู้ว่านี่คืออะไร กลัวเป็นบ้านคนแล้วเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าจะแย่เอา

เปิดหนังสือไกด์บุคดูหน่อยซิ

แต่… หนังสือไกด์บุคมันเป็นเวอร์ชั่นก่อนแผ่นดินไหว ดังนั้นที่เขาพูดกับสิ่งที่ผมเห็น มันไม่ตรงกัน 555

สักพักก็เห็นกลุ่มคนเดินเข้าไปข้างใน

แสดงว่ามันเข้าไปชมข้างในได้ เสร็จตู!!

ผมก็เดินเข้าไปข้างในบ้าง

โอ้โห!!!

ข้างในอลังการงานสร้าง เล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์มากกกกกกกกก

เสาอาคารที่ทำจากไม้ แกะสลักเป็นลวดลายละเอียดละออมาก ไหนจะบานประตู ไหนจะหน้าต่าง โอยๆ มันเป็นเรื่องราวทางศาสนาครับ สวยสุดๆ

ที่นี่มันคือที่ใดกันแน่!!

ผมพลิกไกด์บุคดู

ไม่มีบอก

หรือเพราะผมงง ว่ามันอยู่ตรงไหนด้วยมั้ง

“ที่นี่เป็นที่อยู่ของกุมารี”. ผมหูผึ่งทันที เมื่อได้ยินเสียงไกด์ที่พานักท่องเที่ยวพูดขึ้นมา

อะไรนะ? กุมารี? กุมารีคืออะไรวะ? ฮ่าๆ

ผมก็เลยใช้สกิลการสังเกต เงี่ยหูฟังไกด์พูดต่อไป ก็พอจะจับใจความได้ว่า กุมารี เป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่มีความสำคัญทางศาสนาฮินดูครับ เขาจะคัดเลือกกุมารีมาจากกระบวนการบางอย่าง แล้วก็จะให้อยู่ในนี้ กุมารีจะพ้นสภาพการเป็นกุมารีก็ต่อเมื่อมีประจำเดือนคับ เอาหละ ผมได้ยินคีย์เวิร์มาบ้างแล้ว ต่อจากนี้คือข้อมูลที่ผมมาค้นหาเพิ่มเติม เพื่อประกอบความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับกุมารีครับ

“กุมารี (เนปาล: कुमारी; อังกฤษ: Kumari) คือเทพธิดาผู้มีชีวิตจริงของชาวเนปาล ที่เชื่อว่าเป็นปางหนึ่งของเทวีทาเลจู ซึ่งเป็นปางหนึ่งของเทวีทุรคา ศักติ (ชายา) ของพระศิวะ ซึ่งเป็นหนึ่งในตรีมูรติ (เทพผู้ยิ่งใหญ่ 3 องค์) ที่ดุร้ายเหมือนเทวีกาลี มาจุติเกิด มาจากการสรรหาจากเด็กหญิงจากวรรณะล่าง และเป็นที่เคารพของผู้นับถือศาสนาฮินดู จนกระทั่งเทวีทุรคามาออกจากร่าง ซึ่งจะนับเมื่อเด็กหญิงผู้นั้นมีประจำเดือน หรือได้รับบาดแผลจนมีเลือดออกจากร่างกายเป็นจำนวนมาก

โดยความเชื่อเรื่องกุมารี เป็นการผสมผสมานกันระหว่างความเชื่อในศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาแบบธิเบตหรือวัชรยานในท้องถิ่น มีความเชื่อกระจายทั่วไปในอนุทวีปอินเดีย เช่น อัสสัม, ทมิฬนาฑู, เบงกอล, แคชเมียร์ แต่ที่ได้รับความนิยมและเชื่อถือมากที่สุด คือ เนปาล

การสรรหากุมารี การตรวจดูว่าเด็กหญิงคนนั้นมีลักษณะของเทพ หรือไม่ จะต้องเป็นผู้ที่มีรูปร่างเหมือนต้นกล้วย ขาเหมือนขากวาง หน้าอกเหมือนสิงห์ ลำคอเหมือนหอยสังข์ น้ำเสียงสดใสและอ่อนนุ่ม เมื่อคัดเลือกได้แล้ว เด็กหญิงคนนั้นจะต้องจากครอบครัวของเธอมาอาศัยอยู่กับครอบครัวของผู้ดูแลภายในวังใหญ่ ที่เรียกว่า การ์

กุมารีจะพ้นไปเมื่อเด็กหญิงมีประจำเดือนเป็นครั้งแรก และจะมีการสรรหากุมารีองค์ใหม่ และมีความเชื่อกันว่า ชายผู้ที่เป็นสามีของผู้ที่เคยเป็นกุมารีจะพบกับความหายนะ หรือมีอันเป็นไป ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด”

ผมเอามาจากวิกิพีเดียนะครับ

ระหว่างที่ทั้งผมกำลังยืนฟังไกด์พูด และคนอื่นๆก็ถ่ายภาพกันอย่างเมามัน ก็มีผู้หญิงสูงวัยโผล่หน้ามาที่ระเบียงบนอาคารครับ แล้วก็พูดภาษาเนปาล จากนั้นก็มีคนพูดภาษาอังกฤษบอกว่าขอให้ทุกคนหยุดถ่ายภาพก่อน และต่อจากนี้กุมารีจะมาปรากฎตัว ห้ามทุกคนถ่ายภาพเด็ดขาด ผมเองก็ตื่นเต้นสิครับ ได้เข้าตำหนักกุมารีมาแบบงงๆ แถมยังจะได้เห็นโฉมหน้าของกุมารีด้วย แม้ตอนนั้นจะไม่ได้รู้เรื่องราวของกุมารีมากนัก แต่ก็คิดว่ามันสำคัญมากแน่ๆคนถึงได้มายืนดูกันขนาดนี้

ทันใดนั้นก็มีเด็กหญิงตัวเล็กๆ แต่งหน้าโผล่มาที่ระเบียงครับ ไกด์ก็บอกว่านี่คือกุมารี นักท่องเที่ยวทั้งหลายก็พากันพูดว่า นมัสเตกุมารี. กุมารีก็ไม่ได้พูดอะไรนะครับ พูดตรงๆคือน้องดูเป็นเด็กน้อยมาก เด็กน้อยหน้าบูดอ่ะครับ ไม่ยิ้มแย้ม ไม่อะไรเลย เหมือนชีวิตเด็กอมทุกข์ หรือจะมาจากที่เป็นกฎว่าห้ามกุมารีมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นกระมัง กุมารีที่ผมเห็นอายุราวสี่ห้าขวบเองมั้ง เด็กน้อยมาก

กุมารีโผล่หน้ามาให้พวกเราได้เห็นอยู่สักพักก็กลับเข้าไปยังตำหนักครับ แล้วก็มีคนเดินลงมา เอาสีๆมาเจิมหน้าผากให้พวกเรา แล้วก็ยื่นอินทผลัมให้ครับ บอกว่าเป็นของขวัญจากกุมารี ผมก็หยิบมากินอันหนึ่ง อินทผลัมจากกุมารีเชียวนะเว้ยบักสน ผมบอกตัวเอง

พอกุมารีกลับเข้าตำหนัก พวกเราก็สามารถถ่ายภาพกันได้ตามอัธยาศัยเช่นเคยครับ ผมก็เดินเก็บภาพไปเรื่อยๆ เพราะรายละเอียดของตำหนักนี้มันประณีตมากๆ ผมมาทราบทีหลังว่าตำหนักนี้เรียกว่า Kumari Bahal ครับ พอรู้ชื่อมันแล้วผมก็หาข้อมูลเพิ่มเติม ก็พบว่ามีข้อมูลที่น่าสนใจว่า เป็นอาคารที่สร้างขึ้นมาตามลักษณะของวิหารทางพุทธศาสนาครับ (แต่เป็นของฮินดู? งงแฮะ ฮ่าๆ) สร้างขึ้นมาในปี 1757 โดย Jaya Prakash Malla ครับ ตำหนักนี้ไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปี 2015 นะครับ ทั้งๆที่อาคารโดยรอบก็ได้รับผลกระทบกันหมด คนเนปาลก็เลยยิ่งเชื่อว่า นี่เป็นพลังการปกป้องของกุมารีนี่เอง ยิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้าไปใหญ่เลยครับทีนี้

“ตำหนักกุมารี…”

ผมหูผึ่งอีกรอบ ใช่ ครั้งนี้ผมได้ยินเสียงคนพูดภาษาไทย ผมรีบหันไปยังต้นตอของเสียง ก็พบว่าเป็นพระที่ปิดหน้าปิดตาด้วยหน้ากากกันฝุ่น มากับผู้ชายผิวคล้ำคนหนึ่ง

“คนไทยหรือครับ? สวัสดีครับ” ผมถาม และทักทาย

“อ้าว! นี่ไงเจอคนไทยแล้ว มาคนเดียวเหรอ?” พระองค์นั้นตอบกลับมา

“ครับผม”

“เออ ดี นี่เขาก็มาคนเดียว ดีแล้วจะได้มีเพื่อนเที่ยว” แล้วพระองค์นั้นก็แนะนำคนไทยที่มาด้วยให้ผมรู้จัก ชื่อว่าคุณโน๊ต คุณโน๊ตมากับญาติ พากันมาปีนเขา และเพิ่งกลับลงมา จากนั้นก็ว่าจะไปสักการะสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าที่ลุมพินีวัน แต่วันนี้เขาแยกมาเที่ยวกาฐมัณฑุก่อน โดยมีพระอาจารย์พาเที่ยว ซึ่งภายหลังก็รู้ว่าท่านเป็นพระเนปาล แต่พูดไทยเก่งมาก

หลังจากที่เจอคนไทยแล้ว พระอาจารย์ก็แยกขอตัวกลับครับ สองชั่วโมงต่อจากนี้ ผมก็เลยได้เที่ยวกันกับคุณโน๊ตครับ เราทั้งคู่ก็ไม่มีข้อมูลอะไรในหัวเลย

“ผมอาจจะแช่แต่ละที่นานหน่อยนะครับ คุณโน๊ต ผมสายชิล ไม่ใช่สายเช็คอิน” ผมรีบบอกเพื่อนร่วมทางที่เจอกันโดยบังเอิญก่อน จะได้รู้สไตล์การเที่ยวของกันและกัน

“ผมก็เหมือนกันครับ ไม่ได้รีบร้อน” คุณโน๊ตตอบกลับ

โอเคงั้นไปด้วยกันได้

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ผมยังไม่ได้เข้าไปถึง Kathmandu Dubar Square เลยนะครับ เพิ่งอยู่ข้างนอกเท่านั้นเอง 555

พอเราทำความรู้จักกันแล้วเราก็เดินไปด้วยกันครับ ไปดูว่าสถานที่ว่านั้นเป็นอย่างไร ซึ่งเมื่อไปถึงผมก็จะเห็นว่ามีอาคารที่เป็นเหมือนศาลาครับ แล้วก็มีคนเนปาลมานั่งตากแดดบ้าง รับลม ชมวิวบ้างก็ว่ากันไป ผมเองก็เป็นพวกสายชอบถ่ายภาพแนวแคปเจอร์วิถีชีวิตอยู่แล้ว ก็ถ่ายภาพกันตรงนี้สนุกเลย

ถัดจากศาลาที่ว่าผมก็เดินเข้าไปยังโซนของจตุรัส แล้วก็สังเกตเห็นรูปปั้นขนาดยักษ์ครับ เป็นรูปปางดุร้าย ผมรีบเปิดไกด์บุคดูว่านี่คืออะไร หนังสือก็บอกว่าเป็นปางที่เอาไว้จ้องมองความชั่วร้าย เมื่อก่อนเวลามีนักโทษทำผิดก็จะให้มาสาบานตนต่อหน้าเทพปางมารร้ายองค์นี้ครับผม

ที่แห่งนี้มีนกพิราบเยอะมาก เยอะแบบเต็มไปหมด นักท่องเที่ยวบางคนก็ซื้ออาหารให้นกพิราบเพื่อจะได้เรียกนกมาหาเยอะแล้วก็เดินให้มันกระพือปีกบินหนี ก็ยิ่งสวยงามสำหรับคนชอบถ่ายภาพ และที่นี่ผมก็เจอสองสาวชาวจีนที่ผมเจอเมื่อตอนเช้าครับ พวกเธอแปลงกายเป็นสาวเนปาลไปแล้ว ผมก็เข้าไปทักทายเธอ เธอสองคนก็ดีใจมาก บอกว่าดีใจมากที่ได้เจอกันอีก ทั้งๆที่เราก็เพิ่งแยกจากกันไม่นาน

ผ่านไปชั่วขณะ คุณโน๊ตก็บอกว่าเดี๋ยวต้องขอตัวกลับก่อน เพราะว่าเดี๋ยวมีธุระต่อ ผมก็อำลากันแล้วก็เดินดื่มด่ำบรรยากาศต่อไปอีกคนเดียวครับ

หนังสือไกด์บุคที่ผมเตรียมถือว่าช่วยได้เยอะ

เพราะมีการเล่าประวัติของแต่ละที่ด้วย

“อาคารนี้เต็มไปด้วยภาพแกะสลักกามาสูตรา” ผมอ่านถึงบรรทัดนี้แล้วก็สะดุดกึก อยากจะรู้ว่าพูดถึงอาคารไหน ก็เลยลองอ่านดูดีๆ ก็ปรากฎว่าเป็นอาคารที่นกพิราบลงมาเยอะๆนั่นแหละครับ ผมก็รีบเดินดุ่ยๆ ออกไปดูว่ากามาสูตราที่ว่าเป็นอย่างไร พอเห็นแล้วก็โอ้โห โบ๊จั้มโบะ เป็นภาพแกะสลักไม้ในท่าทางของการร่วมเพศครับ แหม่ น่าสนใจขึ้นมาละสิ ฮ่าๆ เหตุผลที่เขาแกะสลักเป็นเรื่องราวของกามาสูตราก็เพราะว่าในสมัยก่อนนั้นคนเนปาลแต่งงานกันตั้งแต่อายุยังน้อยครับ จึงให้มาเรียนรู้เรื่องเพศผ่านงานแกะสลักพวกนี้

ผมก็เดินถ่ายภาพงานแกะสลักพวกนี้ไปเรื่อยๆ โดยในอาคารนี้ก็จะมีคนมานั่งเล่นอยู่ไม่ต่างจากอาคารอื่นๆ นกพิราบที่อยู่หน้าอาคารก็พากันกระพือปีกโบยบิน เห็นแล้วก็สวยมากๆ แต่ก็แอบกังวลว่าเอ๊ะ ถ้านกพวกนี้อึมาคงสยองน่าดู

อ้อ Kathmandu Dubar Square นี่เป็นมรดกโลกด้วยนะครับ มาเที่ยวเนปาลเราจะได้เที่ยวมรดกโลกหลายแห่งกันเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะพังทลายไปแล้วก็ตาม แต่ก็ชวนให้จินตนาการถึงความยิ่งใหญ่ก่อนหน้านี้ได้พอสมควร

“afhskowx%200×78*” ผมได้ยินเสียงผู้หญิงทักผม ซึ่งผมฟังไม่ออก

ผมหันไปดู เป็นผู้หญิงชาวเนปาลครับ กำลังสื่อสารกับผมอยู่

ผมตอบไปเป็นภาษาอังกฤษว่า ผมฟังไม่รู้เรื่องครับ

เธอทำสีหน้าประหลาดใจ แล้วร้องว่า

“What?! I think you are Nepali!”

ผมหัวเราะ แล้วก็บอกว่านี่มีแต่คนคิดว่าผมเป็นชาวเนปาลทั้งนั้นเลย เธอบอกว่าใช่เพราะว่าผมหน้าเหมือนคนเนปาลมาก แล้วเธอก็ถามว่าผมเป็นคนจีนหรือเปล่า

ผมก็ตอบไปว่า เปล่าๆครับ ผมเป็นคนไทย

“ใต้หวัน?” ผมก็บอกว่า “ไทยแลนด์”. เออ คนเนปาลหลายคนเข้าใจว่าไทยแลนด์กับไต้หวันคืออันเดียวกันนะครับ ผมถูกทักว่าไต้หวันประมาณสามสี่คนเลยหลังจากที่ได้ยินผมตอบว่าไทยแลนด์

“ถ่ายรูปฉันสิ” เธอยิ้มให้ เธอเป็นแม่ค้าขายของตรงจตุรัสครับ

“ได้เลย” ผมหยิบกล้องขึ้นมา เธอก็รีบวิ่งไปซบกับเพื่อนของเธอ แต่เพื่อนของเธอก็บ่ายเบี่ยงเพราะอายกล้องครับ เป็นภาพที่น่าขันเสียจริง

“หนึ่ง สอง สาม” ผมนับ ก่อนจะกดชัตเตอร์

“ฉันขอดูรูปหน่อย” เธอบอก ผมยิ้มและยื่นกล้องให้เธอดู

เธอก็ชอบมาก บอกว่าขอบคุณนะ แล้วก็บอกว่าขออีกสักช็อตได้ไหม ผมก็ไม่ปฏิเสธ

ผมเหลือบมองนาฬิกา โอ้ ตอนนี้ก็บ่ายมากแล้ว ผมเองก็ชักจะเริ่มหิวแล้วสิครับ จึงบอกเธอว่าเดี๋ยวผมต้องรีบไปแล้วนะ  วันนี้จะลองจัดอาหารเนปาลอีกสักอย่าง

ผมก็เดินออกมาจากจตุรัสครับ เดินผ่านอาคารที่มีคนนั่งเล่นกัน แต่ดูเหมือนว่ารอบนี้คนจะเริ่มหนาแน่นเข้าไปทุกที ทั้งจากคนเนปาลเอง และจากนักท่องเที่ยวเอง ผมยืนถ่ายรูปต่ออีกนิดหน่อย พลันก็นึกสงสัยว่า เอ คนที่เขามานอนกันที่นี่ เป็นชาวบ้านที่มานอนอาบแดด หรือว่าเป็นคน Homeless กันนะ? เพราะบางคนก็ดูนอนจริงจังกันมาก สภาพก็ดีแล้วเหมือนไม่น่าจะแค่หนีมานอนอาบแดด

หลังจากเดินลัดเลาะผ่านตรอกซอกซอยที่ผมเองก็หลงลืมไป แต่โชคดีที่มีแอพ Mapme ช่วยนำทางให้กลับไปสู่โรงแรมได้ถูกต้อง แม้จะหลงทางกับถนนเส้นเล็กเส้นน้อย ผมก็ไม่กลัวนะครับ กลับสนุกกับมันมาก เพราะผมได้เห็นวิถีชีวิตคนท้องถิ่นของคนเนปาลที่ไม่ใช่แค่สำหรับนักท่องเที่ยว ได้เห็นคนพากันรุมเลือกซื้อเสื้อผ้าราคาถูก คนขายหม้อ ขายผ้าห่มในราคาแบบไม่ได้ฟันนักท่องเที่ยวเท่าไหร่นัก

เมื่อเดินมาถึงโรงแรมแล้ว ผมก็ไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อย ก่อนจะเดินไปอีกไม่กี่อาคารก็ถึงร้านอาหารที่ชื่อว่า Paleti ครับ ผมเห็นป้ายด้านหน้าดูน่าสนใจ ก็ตัดสินใจว่าจะลองทานอาหารร้านนี้ดู

อาหารที่ผมสั่งคือ Chicken Stream Mo Mo ครับ เนื่องจากว่าน้องพนักงานต้อนรับที่โรงแรมเล่าให้ฟังว่าอาหารขึ้นชื่อของเนปาลก็เป็น Mo Mo ผมเองก็ใคร่รู้ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรก็เลยจัดมาสักชุด

หน้าตาก็คล้ายกับเกี๊ยวซ่าบ้านเราเปี้ยบเลยครับ ต่างกันแค่รสชาติข้างใน. “อร่อยมาก!” ผมชอบมากๆ ถือว่าผ่านเลยครับฝีมือพ่อครัวร้านนี้ และหลังจากที่ผมใช้ชีวิตในเมืองนี้ ผมก็ฝากท้องไว้กับที่นี่แหละคับ ผมลองทานหลายอย่าง อร่อยทุกอย่างที่สั่งในราคาที่ถูกกว่าร้านอื่นมากๆ อย่างเจ้า Mo Mo ก็ราคาราว 190-280 รูปีครับ ชุดเดียวก็อิ่มมากแล้วครับ

สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากของร้านอาหาร Paleti คือ Wifi ครับ แรงได้ใจมากเลย เหมาะมากกับโปรแกรมเมอร์ผู้เสพติดหน้าจอมือถือแบบผม 55

“You looks like Nepali” ชายที่นั่งโต๊ะข้างๆหันมาพูดกับผม

เอาอีกแล้ว หรือผมจะเนียนเป็นคนเนปาลไปเลยนะ

เขาเข้ามาพูดคุยกับผม เขาบอกว่านี่เป็นร้านของเขาเอง ผมมาเนปาลคนเดียวเหรอ มาอยู่กี่วัน มีแพลนจะไปที่ไหนบ้าง มีอะไรสงสัยก็ถามเขาได้นะ เขาเป็นคนท้องถิ่น ยินดีให้คำปรึกษา ผมก็ขอบคุณเขาไปครับ คนเนปาลส่วนใหญ่ก็เป็นมิตรมากครับ แม้ว่าเวลาเราจะเดินตามถนน เขาจะพยายามขายของ แต่โดยส่วนตัวก็รู้สึกว่าเขาก็ไม่ได้จะเข้ามาตื้อแบบน่ากลัวครับ

ผมก็ตอบไปว่านี่ผมเพิ่งมาได้สองวันเอง แพลนก็ไม่มีหรอกครับ วางแผนกันแบบวันต่อวัน คิดอยากไปไหนก็ไป แต่หลักๆก็อยากจะเห็นมรดกโลก อยากเห็นภูเขาหิมาลัย

“คุณจะไปเทรกกิ้งด้วยไหม?” เขาถาม

“ไม่หละครับ ผมไม่ได้เตรียมร่างกายมามากพอ ยังไม่อยากเดินขึ้นเขามากนัก แต่ว่าโอกาสหน้าผมจะหาเวลามาปีนดู”

“ Poon Hills เดินขึ้นไม่ยากนะแล้วก็สวยด้วย” เขาแนะนำ ซึ่งผมก็ขอบคุณกลับไป แล้วเขาก็ชวนคุยสัพเพเหระอีกหลายเรื่องครับ หลังจากวันนั้นทุกครั้งที่ผมกลับไปทานอาหาร เจ้าของร้านท่านนี้ก็จะมาคุยจ้อด้วยตลอดเลยครับ เขาเคยไปเที่ยวเมืองไทยด้วยแหละ เลยบอกว่าผูกพันกับคนไทย ร้านอาหารของเขาก็เป็นร้านกิจการครอบครัวที่เพิ่งเปิดใหม่ ผมก็บอกว่าดีๆ ร้านคุณทำอาหารอร่อยผมชอบ เดี๋ยวผมจะไปแนะนำเพื่อนๆให้มาลองชิม เขาก็ขอบคุณผมเสียยกใหญ่เลยครับ

การเดินทางเที่ยวคนเดียว มันก็ไม่ได้เดียวดายเสียทุกครั้งหรอกนะครับ แต่มันเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้เราได้เปิดใจ เรียนรู้ที่จะรู้จักผู้คนใหม่ๆ ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวกับผู้คนรอบข้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมว่าก็มีเสน่ห์ไม่แพ้จุดหมายปลายทาง หลายครั้งที่เราจำเรื่องราวระหว่างทางได้มากกว่าจุดหมายที่เราจะไปเสียอีก

แล้วจุดหมายพรุ่งนี้ของผมจะเป็นที่ไหนกันนะ เดี๋ยวมาดูกันต่อครับ

EN / FR

© Copyright BackpackStory.com.

Close